ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 161 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3201 - 3220 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3201 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ) | กค | 19/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเพิ่มขึ้นอีก จากปัจจุบันที่ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้ รวมไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นให้ผู้มีเงินได้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีอีกเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ ๑๕ ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อรวมกับเงินได้ที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้วต้องไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
3202 | มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ | กค | 19/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราภาษีเงินได้ให้แก่ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๑๕.๐ ของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้จากการจัดซื้อและขายสินค้านอกประเทศไทยให้แก่วิสาหกิจในเครือ โดยสินค้าดังกล่าวมิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย หรือรายได้จากการขายวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนให้แก่วิสาหกิจในเครือเพื่อความมุ่งประสงค์ในการผลิตนอกประเทศไทยที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือ และลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้แก่คนต่างด้าวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการที่ปฏิบัติงานในศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศและคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๑๕.๐ สำหรับเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานโดยศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่คนต่างด้าวซึ่งทำงานประจำศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาความเห็นในเรื่องนี้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
3203 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2553 | กค | 19/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๔๖๗ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๓,๐๑๖ โครงการ วงเงิน ๒๓,๘๔๗.๔๙ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๓๙,๔๕๑ โครงการ วงเงิน ๓๒๖,๑๑๒.๙๕ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๓,๑๗๒ โครงการ วงเงิน ๒๑,๙๑๗.๑๑ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๖๑๓ โครงการ วงเงิน ๑๕,๑๓๕.๗๒ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๕๕๙ โครงการ วงเงิน ๖,๗๘๑.๓๙ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๖,๒๗๙ โครงการ วงเงิน ๓๐๔,๑๙๕.๘๔ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๖,๒๗๙ โครงการ วงเงิน ๒๙๓,๑๓๙.๓๗ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๕๔๖ โครงการ วงเงิน ๕๖,๐๗๗.๖๘ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๑,๓๐๒ โครงการ วงเงิน ๑๙๙,๘๐๕.๑๖ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๓,๔๓๑ โครงการ วงเงิน ๓๗,๒๕๖.๕๓ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๔,๗๓๓ โครงการ วงเงิน ๒๓๗,๐๖๑.๖๙ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3204 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 60 ปี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | กค | 19/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๖๐ ปี
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะจัด ทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ๖๐ ปี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชนิด ราคา โลหะ อัตราเนื้อโลหะ น้ำหนัก ขนาด อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ลวดลายและลักษณะอื่น ๆ ของเหรียญกษาปณ์ โลหะสองสี (สีขาวและสีทอง) ราคาสิบบาท ประเภทธรรมดา (จำนวนผลิตไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ) ตาม ที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3205 | มาตรการทางภาษีเชิงรุกเพื่อสนับสนุนการอ่าน | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติให้ถอนเรื่อง มาตรการทางภาษีเงินรุกเพื่อสนับสนุนการอ่าน และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตาม ความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์) เสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการสมควรพิจารณานำ หนังสือที่ไม่มีลิขสิทธิ์แล้วมาจัดพิมพ์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตจะไม่สูง รวมทั้งจัดพิมพ์หนังสือสำหรับเด็กและเยาวชน เผยแพร่ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการอ่านอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3206 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี 2552 | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหา
ริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๒ โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ ๑. รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัยอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรง แรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้าน อุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงินซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๒ รวมทั้งจัด ทำบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายเดือนและรายไตรมาส ๒. จัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่สรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์รายสัปดาห์ และเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.reic.or.th จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยรายไตรมาส และจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล RIEC Journal รายไตรมาส ประกอบด้วย รายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ สรุป สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทยและต่างแดน รายงานการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัย และบทความพิเศษการประเมิน มูลค่าอสังหาริมทรัพย์แบบ CAMA : Computer-assisted mass appraisal ๓. สถิติการใช้บริการข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ ในครึ่งปีหลัง ปี ๒๕๕๓ มีการใช้บริการเพิ่มขึ้นทุกช่องทาง มี ผู้สนใจซื้อข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบการสัมมนาหรือเอกสารที่จัดทำขึ้น โดยผู้ใช้บริการที่ซื้อข้อมูลของศูนย์ ข้อมูลฯ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ ๔๕ กลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินร้อย ละ ๑๖ ผู้ผลิตและผู้ค้าวัสดุก่อสร้างร้อยละ ๘ ๔. งานที่ศูนย์ข้อมูลฯ ดำเนินการเพิ่มเติมนอกเหนือจากแผนงาน ได้แก่ งานพัฒนาโปรแกรมระบบ Multiple Listing Service (MLS) มีหน่วยงานลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงการร่วมใช้งานระบบดังกล่าวที่ศูนย์ข้อมูลฯ พัฒนาแล้วเสร็จ จำนวน ๑๔ หน่วยงาน
|
||||||||||||||||||||||||
3207 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2553 | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๓๔๑ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๓,๓๓๔ โครงการ วงเงิน ๒๗,๔๗๗.๒๑ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๓๙,๐๐๗ โครงการ วงเงิน ๓๒๒,๔๘๓.๒๓ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๘๙๔ โครงการ วงเงิน ๑๘,๖๗๗.๙๒ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๕๘ โครงการ วงเงิน ๑๑,๙๙๘.๔๔ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๖๓๖ โครงการ วงเงิน ๖,๖๗๙.๔๘ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๖,๑๑๓ โครงการ วงเงิน ๓๐๓,๘๐๕.๓๑ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๖,๑๑๓ โครงการ วงเงิน ๒๙๒,๗๑๐.๒๘ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน ๑,๗๐๒ โครงการ วงเงิน ๕๗,๓๒๖.๘๘ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๑,๕๑๙ โครงการ วงเงิน ๑๙๙,๗๖๘.๗๗ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒,๘๙๒ โครงการ วงเงิน ๓๕,๖๑๔.๖๓ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๔,๔๑๑ โครงการ วงเงิน ๒๓๕,๓๘๓.๔๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3208 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ไตรมาสที่ 3 เมษายน - มิถุนายน 2553) | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปีงบ
ประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ไตรมาสที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓) สรุปได้ดังนี้ ๑. การเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงไตรมาส ที่ ๓ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๓) มีการเบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น ๑,๕๑๗,๗๙๖ .๐๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๗.๕๐ ของวงเงิน ๒,๒๔๘.๖๐๔.๔๘ ล้านบาท โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังแล้ว จำนวน ๑,๒๐๗,๐๑๗.๘๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๑.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ (๑,๗๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท) จำแนก เป็นรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๖,๓๑๓.๓๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๒.๒๑ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง (๑,๔๗๖,๗๑๕.๕๒ ล้านบาท) และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๐,๗๐๔.๕๑ ล้าน บาท หรือร้อยละ ๖๓.๐๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง (๒๒๒,๒๘๔.๔๘ ล้าน บาท) ๒. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของหน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่าย ภาพรวมต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ ๖๘.๐๐) มีจำนวน ๑๕ กระทรวง ซึ่งหน่วยงานที่มีผลการเบิกจ่ายต่ำ กว่า ๓ ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงคมนาคม ส่วนผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของหน่วยงานที่มีอัตราการเบิกจ่าย เงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ ๕๖.๐๐) มีจำนวน ๒๐ กระทรวง ซึ่งหน่วยงานที่มี ผลการเบิกจ่ายต่ำสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักนายก รัฐมนตรี และกระทรวงยุติธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
3209 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินในรอบ 6 เดือนหลังของปี พ.ศ. 2552 | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการ
นโยบายการเงิน ในรอบ ๖ เดือนหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมรวมทั้งสิ้น ๕ ครั้ง ได้แก่ การประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๒ เ มื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒ และการ ประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๓ เพื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งแนวโน้ม ในระยะต่อไปเพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย โดยสาระสำคัญของการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๕๓ ได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกว่าปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ปัจจัยเสี่ยงต่อ การฟื้นตัวในระยะต่อไปยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียมีโอกาส ฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความแตกต่างของการดำเนินนโยบาย และส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุน ระหว่างประเทศผันผวนมากขึ้น สำหรับเศรษฐกิจของไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวมีปัจจัย สนับสนุนที่สำคัญ เช่น คำสั่งซื้อสินค้าทั้งจากในและต่างประเทศ ความเชื่อมั่นทางธุรกิจ รายได้ภาคเกษตร ภาวการณ์จ้างงานและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมเร่งตัวขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผล จากราคาน้ำมัน ในขณะที่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ ประเมินว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมัน การยกเลิกมาตรการของรัฐ และ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มด้านอัตราเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดต่อไป ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๒๕ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะสมที่จะช่วยสนับ สนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในระยะต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
3210 | รายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ SAL จากกรอบวงเงินสำรอง เพื่อดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามและประเมินผลสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ระยะที่ 2 | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการอนุมัติจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) จากกรอบวงเงินสำรองเพื่อดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามและประเมินผลสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ โดยที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาฯ วงเงินรวม ๖๐ ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากเงินกู้ SAL ภายใต้โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการ วงเงิน ๔๐ ล้านบาท และเนื่องจากโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อสนับสนุนการบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการมีวงเงินคงเหลือสำหรับจัดสรรเพียง ๒๙.๑๐๖ ล้านบาท จึงมีวงเงินในส่วนที่ขาดอีกประมาณ ๓๑ ล้านบาท ที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ จึงเห็นชอบให้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติใช้เงินกู้ SAL จากกรอบวงเงินสำรอง จำนวน ๓๑ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบสำหรับดำเนินโครงการในส่วนที่ขาด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้อนุมัติการจัดสรรเงินกู้ SAL จากกรอบวงเงินสำรอง จำนวน ๓๑ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสมทบสำหรับดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาฯ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
3211 | ขออนุมัติใช้เงินกู้ SAL เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) วงเงินรวม ๑๓๐ ล้าน
บาท เพื่อสนับสนุนโครงการเร่งรัฐปฏิบัติการด่วน (เพื่อคนไทย) และโครงการสนับสนุนการปฏิบัติงานตามข้อตกลง ความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลัง ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินโครงการที่ต้องมีการ จ้างบริษัทที่ปรึกษา ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการจ้างบริษัทที่ปรึกษาให้เหมาะ สมและมีความโปร่งใสเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||
3212 | ขออนุมัติจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี) | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์สำหรับรถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยทำสัญญาเช่าเป็นเวลา ๓ ปี วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การอนุมัติให้ทำสัญญาเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พร้อมพนักงานขับรถยนต์ เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ส่วนการขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์และค่าจ้างพนักงานขับรถยนต์ นั้น เป็นกรณีที่ส่วนราชการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๓ วรรคสี่ จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอ โดยเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีผลใช้บังคับแล้ว ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๘๑๗,๒๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๖๓๔,๔๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายในงบดำเนินงาน ลักษณะค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ
|
||||||||||||||||||||||||
3213 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มี กฎหมายว่าด้วยมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการจัด การสิ่งแวดล้อมสามารถนำมาตรการการคลัง เช่น มาตรการทางภาษี ค่าธรรมเนียมฯ มาใช้ในการจัดการสิ่งแวด ล้อมให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งนำรายได้ที่จัดเก็บได้จากการใช้มาตรการการคลังดังกล่าวกลับคืนมาจัด การสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้า ที่ความรับผิดชอบด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถนำมาตรการการคลังมาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ เกิดประสิทธิภาพ แต่มาตรการดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น เช่น มาตรการภาษี การจัดตั้ง กองทุนภาษี และการบริหารจัดการกองทุน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงสมควร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน แล้วส่งผลการพิจารณาให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไปไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๑ ไปพิจารณาหารือร่วมกัน แล้ว ส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดัง กล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3214 | การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นหรือใกล้เต็มขั้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๒ เมื่อวันที่
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขึ้นหรือใกล้เต็มขั้น เฉพาะในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวคือ ให้ ธ.ก.ส. จ่ายเงินตอบแทน พิเศษให้พนักงานที่มีเงินเดือนเต็มขั้นในอัตราร้อยละ ๒-๕ ของเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งที่ดำรงอยู่โดยพิจารณา จากการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี และให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า ธ.ก.ส. จะต้องปรับปรุงองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และปรับลดค่าใช้จ่ายตามแนวทางที่เสนอไว้ รวมทั้งจะต้องรักษาสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คง อยู่ต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3215 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2553 | กค | 05/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๒,๒๕๘ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๓,๓๓๖ โครงการ วงเงิน ๒๙,๑๙๙.๕๖ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๓๘,๙๒๒ โครงการ วงเงิน ๓๒๐,๗๖๐.๘๘ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๙๓๗ โครงการ วงเงิน ๑๗,๕๓๗.๕๐ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๕๗ โครงการ วงเงิน ๑๐,๖๓๖.๓๘ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๖๘๐ โครงการ วงเงิน ๖,๙๐๐.๖๗ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๕,๙๘๕ โครงการ วงเงิน ๓๐๓,๒๒๓.๓๘ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๕,๙๗๕ โครงการ วงเงิน ๒๙๒,๐๒๘.๒๐ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๗๕๔ โครงการ วงเงิน ๕๗,๖๒๗.๓๓ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) ๓๒,๒๙๑ โครงการ วงเงิน ๒๐๑,๓๒๒.๐๘ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๑,๙๔๐ โครงการ วงเงิน ๓๓,๐๗๘.๗๙ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๔,๒๓๑ โครงการ วงเงิน ๒๓๔,๔๐๐.๘๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3216 | ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ | กค | 05/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ (ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงระบบและเพิ่มศักยภาพการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) รวม ๒ ข้อ ดังนี้
๑. การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน จากเดิม “ให้ลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันลงจากร้อยละ ๒.๐๐-๒.๗๕ ลงเหลือประมาณร้อยละ ๑.๗๕ ของวงเงินค้ำประกันในระยะแรก และจะมีการปรับปรุงค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมในระยะต่อไป โดยจะคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้าและคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงินที่ใช้บริการ” เป็น “ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงคุณภาพของลูกค้า และคุณภาพการคัดเลือกลูกค้าของสถาบันการเงิน” ๒. เกณฑ์การจ่ายค่าประกันชดเชย จากเดิม “ปรับปรุงเกณฑ์การชดเชยความเสียหายให้รวดเร็วขึ้นจากที่จะต้องจ่ายเมื่อคดีถึงที่สุด และมีการบังคับคดียึดทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันครบถ้วนแล้ว เป็นจ่ายเมื่อมีการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างสถาบันการเงินกับผู้กู้” เป็น “จ่ายเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้เฉพาะการค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ภายใต้การค้ำประกันสินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยให้ ธ.ก.ส. และ บสย. ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางและขั้นตอนของการจ่ายค่าประกันชดเชยต่อไป”
|
||||||||||||||||||||||||
3217 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ) และให้หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ยังไม่ได้รวบรวมหรือรายงานวงเงินเหลือจ่ายไม่ครบถ้วนเร่งดำเนินการแจ้งวงเงินเหลือจ่าย มาที่กรมบัญชีกลางโดยด่วน 2. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จำนวน 17 โครงการ วงเงิน รวม 5,621.24 ล้านบาท รวมทั้งการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้ เงินฯ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจและกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินฯ วงเงิน 5,743.24 ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของ ระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยว ข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการลงทุนภายใต้ แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยโครงการ Creative Green Park ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี วงเงิน 76.8085 ล้านบาท โครงการของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม วงเงิน 710.35 ล้านบาท และโครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน วงเงิน 85.76 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการที่ไม่สามารถดำเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับ โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้ว เสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ซึ่งมีหน่วยงานที่ขอ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร กองทัพเรือ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยให้หน่วยงานดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ
|
||||||||||||||||||||||||
3218 | การประกาศกำหนดสินค้าและตัวแปรตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 เพิ่มเติม (สินค้าและตัวแปร จำนวน 14 ประเภท) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในการกำหนดสินค้าและตัวแปรตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 เพิ่ม เติม รวม 14 ประเภท เพื่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จะได้ประกาศกำหนดต่อไป ตามที่ กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 กลุ่มโลหะมีค่า ได้แก่ เงิน แพลทินัม 1.2 กลุ่มโลหะอื่น ได้แก่ ทองแดง สังกะสี เหล็ก อะลูมิเนียม และดีบุก 1.3 กลุ่มสินทรัพย์อื่น ได้แก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า และพลาสติก 1.4 กลุ่มตัวแปร ได้แก่ ค่าระวาง คาร์บอนเครดิต และดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ 2. ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอแนะของกระทรวงพลังงานที่เห็นว่าในอนาคตหากจะมีการออกสัญญา ซื้อขายล่วงหน้าสินค้าดังกล่าว ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ควรประสานหา รือกับกระทรวงพลังงานด้วยเพราะอาจมีผลกระทบต่อราคาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าของผู้ที่ซื้อสินค้าไปใช้ประโยชน์ (เช่น โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม) หากไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรม ไปพิจารณาประสานดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3219 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรข้าราชการ ซึ่ง มีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการ ตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยร่างระเบียบฯ มีสาระสำคัญคือ 1.1 กำหนดให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในประเทศที่ไม่มีสถานศึกษาที่ได้รับการรับรอง มาตรฐานการศึกษาจากสถาบันรับรองมาตรฐานสากลหรือเป็นประเทศหรือเมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ ตาม รายชื่อที่กระทรวงการคลังกำหนดให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร สำหรับบุตรที่ศึกษาในอยู่ในสถาน ศึกษานอกประเทศที่ข้าราชการผู้นั้นประจำการได้ ยกเว้นสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศไทย 1.2. กำหนดให้ส่วนราชการพิจารณาหากเห็นว่ามีเหตุผลความจำเป็นและสมควรให้ข้าราชการที่ประจำ การในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ ได้รับเงินช่วย เหลือการศึกษาบุตร สำหรับบุตรที่ศึกษา ณ สถานศึกษาในประเทศที่ข้าราชการประจำการได้ตามระเบียบนี้ โดยให้ เสนอกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติเป็นการเฉพาะราย 1.3 กำหนดให้อัตราการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตร กรณีตามข้อ 1.1 และ 1.2 ให้เบิกจ่ายได้ ในอัตราร้อยละห้าสิบของจำนวนที่จ่ายจริงตามที่สถานศึกษาเรียกเก็บ เฉพาะกรณีตามข้อ 1.2 ต้องไม่เกินอัตราร้อย ละห้าสิบของจำนวนเงินที่สถานศึกษาในประเทศที่ข้าราชการประจำการเรียกเก็บ 2. สำหรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการกำหนดให้ข้าราชการที่ประจำการในประเทศ หรือเมืองที่ไม่มีสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานและข้าราชการที่ประจำการอยู่ในประเทศที่มีภาวะความเป็น อยู่ไม่ปกติได้รับสิทธิ์เบิกเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรในกรณีที่ส่งบุตรไปศึกษา ณ สถานศึกษานอกประเทศที่ประจำ การ โดยให้รวมถึงสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และ ประเทศนิวซีแลนด์ โดยให้เบิกเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรในอัตราร้อยละห้าสิบของจำนวนเงินที่จ่ายจริงตามที่สถาน ศึกษาในประเทศที่บุตรข้าราชการศึกษาอยู่เรียกเก็บอาจมีผลกระทบต่องบประมาณจึงให้เชิญผู้แทนสำนักงบประมาณ แทนกระทรวงการคลัง และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมชี้แจงในคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายฯ ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
3220 | การพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้มีการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ 1.2 ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐเพื่อกำกับดูแลการพัฒนาระบบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ กำหนดกลุ่มเป้าหมายของการประเมิน มาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ รวมทั้งติดตามและรวบรวมผลการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเพื่อนำเสนอต่อคณะ รัฐมนตรี 1.3 ให้การประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐเป็นเครื่องมือในการติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดย รัฐ เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจที่ได้รับเงินงบประมาณ โดยกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.4 ให้หน่วยงานภาครัฐที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐของคณะกรรม การติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐ (ค.ต.ป.) ดำเนินการตามแนวทางที่ ค.ต.ป. กำหนด 1.5 ให้หน่วยตรวจสอบภายในของหน่วยงานรับผิดชอบติดตามและตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการ จัดซื้อโดยรัฐของแต่ละหน่วยงาน โดยมี ค.ต.ป. มีหน้าที่สอบทานการปฏิบัติงานของหน่วยตรวจสอบภายใน สำหรับ กรณีของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) มีหน้าที่กำกับ ติดตาม และตรวจสอบการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐวิสาหกิจ ตาม ลำดับ โดยมี ค.ต.ป. พิจารณารวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรี 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การ ประเมินมาตรฐานระดับหน่วยงานเรื่องแนวปฏิบัติการจัดซื้อจัดจ้างและผู้ประกอบการเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและ อุปสรรคในการจัดซื้อจัดจ้างในเชิงลึก และควรมีการสร้างความพร้อมให้กับส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการ ติดตามและประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐทั้งระบบ รวมทั้งสนับสนุนให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมิน ผลการจัดซื้อโดยรัฐได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และเมื่อส่วนราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการติดตามและ ประเมินผลการจัดซื้อโดยรัฐมีความพร้อมแล้ว ให้กำหนดเป็นประเด็นการสอบทานของ ค.ต.ป. และกำหนดเป็นตัวชี้ วัดตามคำรับรองการปฏิบัติราชการโดยมีกรมบัญชีกลางเป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ต่อไป นอกจากนี้ การกำหนดกลุ่มเป้า หมายของการประเมินมาตรฐานการจัดซื้อโดยรัฐ ค.ต.ป. ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความเสี่ยงเรื่อง การเงินสูงหรือมีมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างสูง โครงการที่มีผลกระทบต่อสาธารณชนเป็นจำนวนมาก โครงการที่มีความ ถี่ในการจัดซื้อจัดจ้างที่สูงเกินความจำเป็นจนเป็นที่ผิดสังเกต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
.....