ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 166 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3301 - 3320 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3301 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ประจำครึ่งแรกของปี 2552 | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
3302 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2551) ธนาคารแห่งประเทศไทย และรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2552) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
3303 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2553 | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 41,762 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 4,172 โครงการ วงเงิน 38,833.22 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 37,590 โครงการ วงเงิน 304,848.01 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 9,733 โครงการ วงเงิน 35,396.90 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 634 โครงการ วงเงิน 14,380.52 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 9,099 โครงการ วงเงิน 21,016.38 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 27,857 โครงการ วงเงิน 269,451.11 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 27,857 โครงการ วงเงิน 247,151.80 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 2,630 โครงการ วงเงิน 70,898.00 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 23,903 โครงการ วงเงิน 149,493.00 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,324 โครงการ วงเงิน 26,760.80 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 25,227 โครงการ วงเงิน 176,253.80 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3304 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายภูวเดช อินทวงศ์) | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายภูวเดช อินทวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงการคลัง (นายมั่น พัธโนทัย) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะ รัฐมนตรีมีมติ (29 มิถุนายน 2553) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
3305 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คงหลักการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 (เรื่อง การบริหาร
โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555) ที่ให้นำเงินเหลือจ่ายมาจัดสรรใหม่ได้โดยไม่ต้องส่งคืนคลังและ ให้สามารถจัดสรรเงินคงเหลือและเงินเหลือจ่ายให้แก่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่น ซึ่งมิใช่เจ้าของโครงการเดิมได้ด้วย ไว้ตามเดิม โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาร่าง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สอคดล้องกับหลักการของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
3306 | โครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 หลักเกณฑ์การดำเนินโครงการสินเชื่อส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้บริการสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ โดยมีวงเงินสินเชื่อรวมของโครงการ : 5,000 ล้านบาท ระยะเวลาการรับคำขอกู้ยืม : 1 ปี ระยะเวลา การให้กู้ยืม : ไม่เกิน 7 ปี ผู้มีสิทธิขอสินเชื่อ : ผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ ได้แก่ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา และสตูล สำหรับอัตรากำไร : ให้คิดอัตรากำไรกับผู้ขอสินเชื่อร้อยละ 1.50 (อัตราคงที่) หรือเท่ากับอัตรากำไรลดต้นลดดอกที่ ร้อยละ 2.87 โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณรายปีเพื่อชดเชย ส่วนต่างกำไร 1.2 ให้ชดเชยส่วนต่างอัตรากำไรให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ตามโครงการระยะ 7 ปี โดยคำนวณจากอัตรากำไร SPRL เฉลี่ย-2.87%-1% คูณกับเงินต้นคงเหลือ เป็นวงเงินรวมประมาณ 515 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธอท. เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง โดยให้ประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณชดเชย ส่วนต่างอัตรากำไรต่อไป 2. ให้ ธอท. พิจารณาดำเนินการให้ผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ได้ใช้สิทธิขอสินเชื่อตามโครงการได้อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบอาชีพฯ ที่เป็นรายย่อย
|
|||||||||||||||||||||||||||
3307 | รายงานการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (ประจำไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2552 และไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2553) | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากประเทศสมาชิก
ใหม่อาเซียน ได่แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพพม่า ประจำไตรมาสที่ 1 ไตรมาสที่ 2 ไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ของปี พ.ศ. 2552 และไตรมาสที่ 1 ของปี พ.ศ. 2553 ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ ดังนี้ 1. ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2552 (มกราคม-มีนาคม 2552) มีการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากรรวม 319,239,164 บาท แยกเป็นมูลค่าสินค้าที่ยกเว้นอากร 319,197,044 บาท และมูลค่าสินค้าที่ลด หย่อนอากร 42,120 บาท 2. ในไตรมาสที่ 2 ปี พ.ศ. 2552 (เมษายน-มิถุนายน 2552) มีการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากรรวม 174,815,071 บาท เป็นมูลค่าสินค้าที่ยกเว้นอากร 174,815,071 บาท และไม่พบมูลค่าสินค้าที่ลด หย่อนอากร 3. ในไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ. 2552 (กรกฎาคม-กันยายน 2552) มีการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทาง ภาษีศุลกากรรวม 354,525,032 บาท เป็นมูลค่าสินค้าที่ยกเว้นอากร 354,525,032 บาท และไม่พบมูลค่าสินค้าที่ ลดหย่อนอากร 4. ในไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2552 (ตุลาคม-ธันวาคม 2552) มีการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากรรวม 202,589,699 บาท แยกเป็นมูลค่าสินค้าที่ยกเว้นอากร 202,131,501 บาท และมูลค่าสินค้าที่ลด หย่อนอากร 458,198 บาท 5. ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2553 (มกราคม-มีนาคม 2553) มีการนำเข้าสินค้าที่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี ศุลกากรรวม 11,641,339 บาท เป็นมูลค่าสินค้าที่ยกเว้นอากร 11,641,339 บาท และไม่พบมูลค่าสินค้าที่ลด หย่อนอากร |
|||||||||||||||||||||||||||
3308 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | กค | 29/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ดังนี้ 1.1.1 มาตรการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน และสำหรับผู้เช่าอาศัยในอาคารชุดหรือห้องเช่าที่ผู้ประกอบการถูกต้องตามกฎหมายเป็นอาคารชุด หรือห้องเช่าที่มีระดับราคาไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/เดือน และใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยไม่เกิน 90 หน่วย/เดือน/ห้อง และได้ลงทะเบียนไว้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1.1.2 มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยสารประจำทาง โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน 800 คันต่อวัน ใน 73 เส้นทาง ให้แก่บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 1.1.3 มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 โดยภาครัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น 3 เชิงสังคม จำนวน 164 ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น 3 ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน 8 ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 1.2 ให้รัฐวิสาหกิจซึ่งรับผิดชอบดำเนินมาตรการฯ ได้แก่ กฟน. กฟภ. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินเพื่อชดเชยรายได้จากการดำเนินการตามมาตรการฯ ในช่วงขยายระยะเวลาตามข้อ 1.1 และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินให้กับรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่งต่อไป 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า มาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน เป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยเป็นสำคัญเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ขยายแล้วมาตรการในบางเรื่องอาจจะปรับลดหรือยกเลิกไปได้ ในขณะที่บางเรื่องอาจจะต้องพิจารณาความจำเป็นที่จะให้คงมีอยู่ต่อไปเพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในระยะยาวโดยมาตร การเรื่องใดที่เป็นบริการสังคมของรัฐวิสาหกิจ ก็อาจปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) ต่อไป ไปพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
3309 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมให้สามารถนำเงินเหลือจ่ายมาจัดสรรใหม่ได้โดยไม่ต้องส่งคืนคลัง (ระเบียบฯ ข้อ 28) และให้สามารถจัดสรรเงินคงเหลือและเงินเหลือจ่ายให้แก่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่นซึ่งมิใช่เจ้าของโครงการเดิมได้ด้วย (ร่างระเบียบฯ ข้อ 14/1 ควรแก้ไขจากคำว่า "หน่วยงานเจ้าของโครงการ" เป็น "หน่วยงานผู้เสนอโครงการ") และให้พิจารณาแก้ไขความในข้ออื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 2. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และให้สำนักงบประมาณดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 3. รับทราบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการที่เป็นลักษณะแก้ไขข้อมูลคลาดเคลื่อน เช่น พิมพ์ผิดตกหล่น ปรับปรุงชื่อพื้นที่ให้ถูกต้องตามเขตปกครองที่สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติและรายงานคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ทราบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
3310 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1.1 กำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เช่น ประเภทของบัตรเครดิต หลักเกณฑ์ การออกบัตร วงเงิน คุณสมบัติของผู้ถือบัตร เป็นต้น 1.2 กำหนดสิทธิและหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ถือบัตรและผู้รับบัตร 1.3 กำหนดห้ามผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บเงินก่อนวันครบกำหนดชำระตามสัญญาและถ้าผู้ถือบัตร ชำระเงินเกินยอด และได้ร้องขอต่อผู้ประกอบธุรกิจเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้ประกอบธุรกิจต้องคืนเงินแก่ผู้ถือบัตร ทันที 1.4 กำหนดให้กรณีที่ผู้ถือบัตรซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเตอร์เน็ต เมื่อผู้ถือบัตรมีข้อโต้แย้ง เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ตนมิได้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากผู้รับบัตรนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องระงับการ เรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตรไว้และทำการตรวจสอบ 1.5 กำหนดให้หนี้อันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้น 2 ปีนับแต่วันที่สัญญา บัตรเครดิตสิ้นสุดลง 1.6 กำหนดบทเฉพาะกาลโดยให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ได้รับอนุญาตก่อนพระราชบัญญัตินี้ ใช้บังคับให้ถือว่าได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ผู้ที่ได้รับผ่อนผันตามกฎหมายเดิมได้รับการผ่อนผัน ต่อไปจนกว่าจะมีคำสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งให้ถือว่าบัตรเครดิตตามกฎหมายเดิมเป็นบัตรเครดิตตามพระ ราชบัญญัตินี้ด้วย 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ควรเพิ่มหลักเกณฑ์ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มี อำนาจในการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้รับบัตรหรือผู้ถือบัตรที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่อง มาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ใช้บัตรได้อย่างเต็มที่ ส่วนการยกเลิกการชำระ ค่าสินค้าหรือค่าบริการแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ควรครอบคลุมถึงกรณีผู้ใช้บัตรมิได้รับสินค้าหรือบริการจากผู้รับจาก ผู้รับบัตร หรือกรณีได้รับสินค้าหรือบริการดังกล่าวแต่เพียงบางส่วนซึ่งไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสัญญาด้วย รวมทั้งควรเพิ่มการจำกัดความรับผิดชอบของผู้ถือบัตรกรณีบัตรเครดิตสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกฉ้อฉล หรือถูก นำไปใช้โดยบุคคลอื่น และความเห็นของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรม เนียม และค่าบริการอื่น ๆ ควรกำหนดอัตราขั้นสูงที่เหมาะสมและเป็นธรรมเพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้ใช้ บริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องมิให้มีพฤติกรรมที่เป็นการ ผูกขาดหรือลดการแข่งขัน การตกลงร่วมกัน หรือพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจเข้าข่ายความรับผิด ตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการ ประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
3311 | การขยายระยะเวลาการจัดฝึกอบรม ประชุมสัมมนา | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขยายระยะเวลาการจัดฝึกอบรม ประชุมสัมมนา สำหรับส่วนราชการที่ไม่
สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมิถุนายน 2553 เป็นให้ส่วนราชการจัดการฝึกอบรม ประชุมสัมมนาให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว และเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินภายในเดือนกันยายน 2553 และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทาง ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3312 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2553 | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 41,644 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 4,239 โครงการ วงเงิน 41,303.36 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 37,405 โครงการ วงเงิน 302,423.64 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 10,617 โครงการ วงเงิน 35,668.27 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 767 โครงการ วงเงิน 11,747.70 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 9,850 โครงการ วงเงิน 23,920.57 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 26,788 โครงการ วงเงิน 266,755.37 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 26,788 โครงการ วงเงิน 244,196.31 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 2,810 โครงการ วงเงิน 73,208.02 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 22,654 โครงการ วงเงิน 144,227.47 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,324 โครงการ วงเงิน 26,760.82 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 23,978 โครงการ วงเงิน 170,988.291 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3313 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (จำนวน 4 ราย 1. นายนริศ ชัยสูตร ฯลฯ) | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคาร
เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวน 4 คน ตามนัยมาตรา 13 มาตรา 14 วรรค 2 และมาตรา 15 (3) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 ตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. นายนริศ ชัยสูตร เป็นประธานกรรมการ แทนนายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นางสาววลัยรัตน์ ศรีอรุณ เป็นกรรมการ แทนนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท 3. นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ เป็นกรรมการ แทนนายธนศักดิ์ วหาวิศาล 4. นายณฤทธิ์ เจียอาภา เป็นกรรมการ แทนนายจีรศักดิ์ พงษ์พิษณุพิจิตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||
3314 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2553 ครั้งที่ 4 | กค | 22/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการ บริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 4 ที่ มีวงเงินลดลง 101,689.53 ล้านบาท จากวงเงินเดิม 1,748,662.70 ล้านบาท เหลือ 1,646,973.17 ล้านบาท 1.2 อนุมัติการกู้เงิน การค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนการบริหาร หนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ปรับปรุงครั้งที่ 4 1.3 อนุมัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐ วิสาหกิจนั้น 2. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม เกี่ยวกับการกู้เงินระยะสั้นเพื่อเสริมสภาพ คล่องในรูป Credit Line กรณีบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ปรับลดวงเงินกู้จากเดิม 2,000 ล้าน บาท เหลือ 1,200 ล้านบาท เพื่อเตรียมไว้เสริมสภาพคล่องหากเกิดกรณีที่หน่วยงานราชการจ่ายชำระค่าก่อสร้าง ในส่วนที่มีการขยายกรอบวงเงินลงทุนโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ให้กับ ธพส. ได้ไม่ทัน ตามกำหนด เนื่องจาก ธพส. มีฐานะเป็นบริษัทจำกัดกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยละร้อย และมีหน้าที่ในการบริหาร จัดการโครงการศูนย์ราชการฯ โดยมีรายได้จากการจัดเก็บค่าเช่าจากหน่วยราชการต่าง ๆ ที่เข้าใช้พื้นที่ของโครง การศูนย์ราชการฯ ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นค่าเช่าให้กับหน่วยราชการต่าง ๆ แล้ว แต่การก่อสร้างเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยราชการต่าง ๆ ที่ ธพส. ได้ดำเนินการไปนั้น เป็นกรณีที่ไม่ สอดคล้อง หรือนอกเหนือไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้แล้ว สำนักงบประมาณจึงไม่สามารถตั้งงบประมาณรองรับ การกู้เงินในกรณีดังกล่าวข้างต้นของ ธพส. ได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
3315 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางพิมพ์ใจ ทองดี) | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางพิมพ์ใจ ทองดี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
3316 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อ
การบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ ครบกำหนดในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 3 รุ่น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2553 ได้แก่ ตั๋ว สัญญาใช้เงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 1 วงเงิน 6,000 ล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ครั้งที่ 2 วงเงิน 9,000 ล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ครั้งที่ 1 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ วงเงินรวม 25,000 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 1 วงเงิน 6,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2558 2. ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 2 วงเงิน 9,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ครบกำหนดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 3. ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการบริหารหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 3 วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ครบกำหนดวันที่ 2 มีนาคม 2560
|
|||||||||||||||||||||||||||
3317 | รายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินประจำปี 2551 ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินประจำปี
2551 ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย สรุปได้ดังนี้ 1. บสท. บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจนได้ข้อยุติทั้งสิ้น 15,215 ราย มีมูลค่าทางบัญชีรวม 775,216 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนทั้งหมด 2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินรอการขายจากการตีโอนทรัพย์หลักประกัน ด้วยมูลค่าต้นทุนที่ตีโอน 122,632 ล้านบาท แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ 100,822 ล้านบาท และสังหาริมทรัพย์ 21,809 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.22 และ 17.78 ของมูลค่าต้นทุนทรัพย์สินที่ตีโอนทั้งหมด ตามลำดับ 3. งบดุล ณ สิ้นปี 2551 บสท. มีสินทรัพย์รวม 255,721 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 จำนวน 1,792 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.70 และสินทรัพย์รับโอนลดลง 2,020 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.81 จากปี ก่อน ในส่วนของหนี้สิน บสท. มีหนี้สินรวม 113,760 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 จำนวน 26,974 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 19.17 4. งบรายรับและรายจ่ายจากทุนประเดิม ณ สิ้นปี 2551 บสท. มีรายรับรวม 39.24 ล้านบาท ลดลง จากปี 2550 จำนวน 12.46 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 24.10 และเนื่องจาก บสท. ไม่มียอดรายจ่ายทำให้มี รายรับสุทธิจากทุนประเดิม 39.24 ล้านบาท ลดลงจำนวน 12.46 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 24.10 จากปี ก่อน 5. บสท. มีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอนรวม 25,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 จำนวน 5,582 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.54 ส่วนรายจ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอนลดลงจำนวน 1,298 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36.85 จากปีก่อน
|
|||||||||||||||||||||||||||
3318 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2553 | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 41,600 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 4,382 โครงการ วงเงิน 44,042.57 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 37,218 โครงการ วงเงิน 299,712.49 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 11,761 โครงการ วงเงิน 36,090.94 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 1,003 โครงการ วงเงิน 11,453.02 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 10,758 โครงการ วงเงิน 24,637.92 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 25,457 โครงการ วงเงิน 263,621.55 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 25,457 โครงการ วงเงิน 239,722.43 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 3,045 โครงการ วงเงิน 75,742.70 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 21,088 โครงการ วงเงิน 137,218.91 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,324 โครงการ วงเงิน 26,760.82 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 22,412 โครงการ วงเงิน 163,979.73 ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
3319 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม | กค | 15/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 2 โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) แบ่งวงเงินจำนวนไม่เกิน 5,000 ล้านบาท จากวงเงินค้ำประกันรวม 30,000 ล้านบาท จากโครงการฯ เพื่อให้การค้ำประกันสินเชื่อของผู้ประกอบการที่ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ให้ บสย. สามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปี พ.ศ. 2553 ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับการค้ำประกันจาก บสย. อยู่เดิมแล้ว และทรัพย์สินได้รับความเสีย หายในเหตุเพลิงไหม้จากเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมือง สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ บสย. ดำเนิน การตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ต่อไปเช่นเดิม 2. เห็นชอบการชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันที่ บสย. ยกเว้นการเรียกเก็บจากลูกค้าตามข้อ 1 ในวง เงินไม่เกิน 37.5 ล้านบาท และให้เบิกตามที่เสียหายจริง โดยให้ บสย. ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับ การจัดสรรเป็นงบประมาณชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
3320 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2553 | กค | 08/06/2553 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 4 มิถุนายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 41,572 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 4,490 โครงการ วงเงิน 44,543.74 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 37,082 โครงการ วงเงิน 299,247.45 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 13,137 โครงการ วงเงิน 39,542.11ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 1,042 โครงการ วงเงิน 12,178.58 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 12,095 โครงการ วงเงิน 27,363.53 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 23,945 โครงการ วงเงิน 259,705.34 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 23,945 โครงการ วงเงิน 235,622.07 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 3,394 โครงการ วงเงิน 19,127.51 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 19,230 โครงการ วงเงิน 130,383.36 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,321 โครงการ วงเงิน 26,755.80 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 20,551 โครงการ วงเงิน 157,139.16 ล้านบาท
|
.....