ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 162 จากทั้งหมด 483 หน้า แสดงรายการที่ 3221 - 3240 จากข้อมูลทั้งหมด 9647 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3221 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับ
การบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ 1. แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 วงเงินดำเนินการรวมทั้งสิ้น 1,296,427.90 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 แผนงานย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินรวม 607,527.80 ล้าน บาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินรวม 608,900.10 ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินรวม 80,000.00 ล้านบาท 2. การกู้เงินและการค้ำประกันเงินกู้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบ วงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 3. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้ เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เองก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความ เหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ 4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลง นามผูกพันการกู้เงิน และหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผล การดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้ สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2549
|
||||||||||||||||||||||||
3222 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. .... | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดคุณสมบัติของสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. จะมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และกำหนดข้อห้ามมิให้สถาบันการเงินหรือ นิติบุคคลผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการเงินของกองทุนนำเงินของกองทุนไปลงทุนในตราสารทุน และตราสารกึ่งหนี้ กึ่งทุนของตนเอง 2. กำหนดประเภทของหลักทรัพย์ที่กองทุนนำเงินของกองทุนไปลงทุนได้ โดยแยกเป็นกลุ่มมั่นคงสูงซึ่ง พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้ลงทุนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 60 ของเงินกองทุนและกลุ่มหลักทรัพย์อื่น และกำหนดประเภทของธุรกรรมที่ให้ทำได้ 3. เพิ่มเติมประเภทของหลักทรัพย์ที่กองทุนสามารถลงทุนได้ในส่วนของตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตรา สารสิทธิ และการทำธุรกรรม 4. ให้อำนาจคณะกรรมการ กบข. กำหนดให้มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างจากที่กำหนดได้สำหรับการ ลงทุนต่างประเทศ โดยวงเงินลงทุนต่างประเทศต้องไม่เกินร้อยละ 25 ของเงินกองทุน 5. ให้อำนาจคณะกรรมการ กบข. ในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้กองทุนรับชำระหนี้ด้วยทรัพย์ สินอื่นที่มิใช่หลักทรัพย์ที่กฎกระทรวงกำหนดให้ลงทุนได้ กรณีที่ผู้ออกตราสารหรือลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้
|
||||||||||||||||||||||||
3223 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้
เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกพันธบัตรไทยเข้มแข็ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้ง ที่ 1 เพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ วงเงินไม่เกิน 100,000 ล้านบาท อายุ 6 ปี จำนวน 1 รุ่น จำหน่ายระหว่างวันที่ 7-16 มิถุนายน 2553 แบ่งการจำหน่ายออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 ระหว่าง วันที่ 7-8 มิถุนายน 2553 สำหรับผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปี ขึ้นไป) และช่วงที่ 2 ระหว่างวันที่ 9-16 มิถุนายน 2553 สำหรับผู้มีสิทธิซื้อทั่วไป รวมทั้งผู้สูงอายุ โดยได้แต่งตั้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนายทะเบียน และตัวแทนรับจ่ายเงิน และสถาบันการเงิน จำนวน 12 แห่ง เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย ทั้งนี้ ผลการจำหน่าย พันธบัตรออมทรัพย์ฯ มีผู้มาจดทะเบียนรวม 123,880 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 82,230.29 ล้านบาท 2. กระทรวงการคลังได้นำเงินที่ได้จากการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ฯ ไปปรับโครงสร้าง หนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ ประกอบด้วยเงินกู้สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 1 ชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท เงินกู้สำหรับโครงการ ตามแผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ครั้งที่ 1 ชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท และครั้งที่ 2 ชำระคืนต้นเงินกู้จำนวน 22,230.29 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3224 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ปี 2552 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2553 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ (กบข.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทน สมาชิก ปี พ.ศ. 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 งบรายได้ค่าใช้จ่าย งบ แสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสดของ กบข. สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี พ.ศ. 2553 โดยเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป 2. ที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยว กับการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ 2.1 ให้มีการปรับปรุงการทำงานและการใช้จ่ายอย่างประหยัด รวมถึงการปรับรูปแบบการสื่อสารกับ สมาชิก 2.2 ให้มีการเปิดเผยรายการหรือรายละเอียดเกี่ยวกับงบการเงินของบริษัทย่อย 2.3 คัดเลือกผู้แทนสมาชิกให้มีผู้แทนสมาชิกที่มาจากการคัดเลือก และให้เพิ่มและปรับปรุงวิธีการใน เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการเข้าร่วมประชุม 2.4 การเสนองบการเงินให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณานั้นต้องมีการรับรองการเงินหรือไม่ 2.5 ติดตามให้มีการแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญของสมาชิก เพื่อให้ได้รับบำนาญตามจำนวนเงินที่ ประมาณการโดยกรมบัญชีกลางเมื่อครั้งได้รับการชักชวนเมื่อปี พ.ศ. 2540
|
||||||||||||||||||||||||
3225 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวเพรามาตร หันตรา และนางวณี ทัศนมณเฑียร) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง
ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบ ถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. นางสาวเพรามาตร หันตรา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาฐานภาษี (นักวิเคราะห์ นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพากร 2. นางวณี ทัศนมณเฑียร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรง คุณวุฒิ) กรมสรรพากร
|
||||||||||||||||||||||||
3226 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2553 | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2553 สรุปได้ดังนี้
1. อนุมัติแล้ว จำนวน 42,198 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 3,337 โครงการ วงเงิน 33,198.58 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 38,861 โครงการ วงเงิน 316,761.86 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 3,519 โครงการ วงเงิน 16,618.47 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 486 โครงการ วงเงิน 9,064.28 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 3,033 โครงการ วงเงิน 7,554.19 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 35,342 โครงการ วงเงิน 300,143.39 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 35,342 โครงการ วงเงิน 288,367.74 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 1,679 โครงการ วงเงิน 59,647.95 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) 32,040 โครงการ วงเงิน 197,169.59 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,623 โครงการ วงเงิน 31,550.20 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 33,663 โครงการ วงเงิน 228,719.79 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3227 | แต่งตั้งกรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
3228 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (เพิ่มเติม) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้ดำเนินโครงการสาขาการลงทุนในระดับชุมชนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 วง เงินรวม 302.9704 ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ให้แก่โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครง การภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอต่อรัฐสภาตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ วงเงิน 302.9704 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครง การใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย 2. อนุมัติการดำเนินโครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริม การปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางและไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติจัดสรร เงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ สำหรับโครงการซ่อมแซมเรือนแถวชั้นประทวน ของกอง ทัพบก กระทรวงกลาโหม วงเงิน 400 ล้านบาท โครงการส่งเสริมเพิ่มศักยภาพการบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย วงเงิน 35.3561 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทาง และไฟฟ้าส่องสว่าง ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน 21.9970 ล้านบาท ทั้งนี้ กรณีโครงการใด เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้น ตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนธันวาคม 2553 ตามหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติ ให้การจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการฯ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เห็นสมควรผ่อนผันให้แล้วเสร็จในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 3. อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หาก หน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็นควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำ มารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป 4. อนุมัติแนวทางการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ตามทาง เลือกที่ 1 การดำเนินโครงการโดยใช้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังฯ ทั้งจำนวน เป็นลำดับ แรก และพิจารณาทางเลือกที่ 2 การดำเนินโครงการโดยใช้วงเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการ คลังฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2555 และขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับการลงทุนในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2556-2557 หรือทางเลือกที่ 3 การดำเนินโครงการในรูปแบบ PPPs เป็นลำดับถัดมา 5. อนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วยกระทรวง มหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดเชียงรายและ จังหวัดฉะเชิงเทรา) และกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) โดยให้หน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้ สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จ ภายใน 15 วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบ ประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน 15 วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามใน สัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันทำการ 6. อนุมัติในหลักการเกี่ยวกับการขอโอนเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ
|
||||||||||||||||||||||||
3229 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมอัตราโทษ จำนวนเงินในการงดการเรียกเก็บ และจำนวนเงินเพิ่มที่เรียกเก็บ) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังแก้ไขจาก
ร่างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยแก้ไขอัตราโทษปรับตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ จาก “ปรับไม่เกินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรไว้ด้วยแล้ว” เป็น “ปรับไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งแต่ไม่เกินสี่เท่า ราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรไว้ด้วยแล้ว” โดยกำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ และคงอัตราโทษจำคุกตามมาตรา 27 ไว้ตาม เดิม เป็น “จำคุกไม่เกินสิบปี” และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้ แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
3230 | การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจากองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจ ในการประชุมครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 เกี่ยวกับการจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียนจากองค์การส่งเสริมกิจการ โคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐทราบและถือปฏิบัติใน ส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 (เรื่อง การทบทวนระบบ บริหารจัดการนมโรงเรียน) ให้แก่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บก.ตชด.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็น กรณีพิเศษเฉพาะราย 1.2 อนุมัติเป็นหลักการให้คณะกรรมการพิจารณาสิทธิพิเศษฯ เป็นผู้มีอำนาจพิจารณายกเว้นผ่อนผัน การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 และวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ในประเด็นที่กำหนดให้ทุกหน่วยงานของรัฐที่มีงบประมาณซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน จัดซื้อจาก อ.ส.ค. โดยวิธี กรณีพิเศษ โดยให้กระทำได้เฉพาะกรณีมีความจำเป็นและไม่กระทบต่อผลสัมฤทธิ์ของแนวทางการบริหารจัดการนม ทั้งระบบ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามดูแลการดำเนินการบริหาร จัดการนมโรงเรียนในช่วงรอยต่อของการบังคับใช้มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2553 (เรื่อง การทบทวน ระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อราคานมทั้งระบบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3231 | มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง (ปรับปรุงเพิ่มเติม) | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราช
ประสงค์และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ตามที่ กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. วงเงินดำเนินโครงการ เห็นควรแยกวงเงินให้ชัดเจนระหว่างสินเชื่อตามโครงการราชประสงค์ฯ ที่ยัง คงเหลืออยู่จำนวน 5,000 ล้านบาท เป็นดังนี้ 1.1 สินเชื่อแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 วันที่ 25 พฤษภาคม 2553 และวันที่ 8 มิถุนายน 2553 วงเงิน 3,000 ล้านบาท 1.2 สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทด แทนจากบริษัทประกันภัย วงเงิน 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้หรือเหตุเกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้และมากรม ธรรม์ประกันภัย และอยู่ระหว่างดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีบริษัทประกันภัยต่อศาล ซึ่งต้องการจะขอสินเชื่อ เพิ่มเติมจากที่ได้รับสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน ไปแล้ว จะต้องเลือกขอสินเชื่อประเภทใดประเภทหนึ่ง 2. หลักเกณฑ์/เงื่อนไขของสินเชื่อแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกันตามโครงการราชประสงค์เดิม วงเงิน 3,000 ล้านบาท เห็นควรแก้ไขเรื่องกลุ่มเป้าหมาย และระยะเวลาในการพิจารณาสินเชื่อ ดังนี้ 2.1 กลุ่มเป้าหมาย แก้ไขเป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมโดยยึดตาม กรอบพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ 7 เขต รวมไปถึงพื้นที่เขตดุสิตและพระนคร หรือ ยู่ในเขตพื้นที่ที่ถูกจำกัดการเข้าออก เช่น บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ 2.2 ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ให้แก้ไขเป็น กรณีการกู้แบบไม่มีหลักประกัน ธนาคาร พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ต้องดำเนินการปล่อยสินเชื่อให้แล้วเสร็จภาย ใน 7 วัน สำหรับกรณีการกู้แบบมีหลักประกัน ให้ ธพว. พิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากกรณีการกู้แบบมี หลักประกันอาจต้องมีการประเมินราคาหลักประกัน และต้องมีการสำรวจกิจการของผู้ขอกู้และผู้ค้ำประกัน จึง อาจไม่สามารถพิจารณาสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 7 วันได้ 3. หลักเกณฑ์/เงื่อนไขของสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมที่ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย วงเงิน 2,000 ล้านบาท ดังนี้ 3.1 กลุ่มเป้าหมาย ผู้ประกอบการ SMEs ในเขตพื้นที่ที่กรุงเทพมหานครประกาศเป็นพื้นที่ประสบ ภัยพิบัติ 7 เขต รวมไปถึงพื้นที่เขตดุสิตและพระนครที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง โดยได้รับความ เสียหายจากเพลิงไหม้หรือเหตุเกี่ยวเนื่องกับเพลิงไหม้ และมีกรมธรรม์ประกันภัย แต่ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทน จากบริษัทประกันภัยและอยู่ระหว่างฟ้องร้องดำเนินคดีบริษัทประกันภัยกับศาล และจะต้องไม่เป็นผู้ที่ขอกู้ยืมแบบ มีหลักประกันตามข้อ 2 3.2 วงเงินสินเชื่อต่อราย ไม่เกินร้อยละ 60 ของมูลค่าความเสียหายที่ประเมินโดยบริษัทประกันภัย หรือหน่วยงานอื่นที่เชื่อถือได้ หรือจำนวนเงินที่เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า ทั้งนี้ ต้อง ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลาการกู้ยืม ไม่เกิน 6 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ MLR ลบ 3 ต่อปี โดยให้สำนัก งานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ชดเชยดอกเบี้ยให้ ธพว. ร้อยละ 2 ต่อปี ตลอดอายุโครง การ ทั้งนี้ ไม่ต้องมีหลักประกัน 3.3 ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ธพว. ต้องดำเนินการปล่อยสินเชื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็ว (เนื่องจาก ธพว. ต้องตรวจสอบมูลค่าความเสียหาย และมูลค่าการก่อสร้างเพื่อกำหนดเงื่อนไขการเบิกจ่ายตาม ความคืบหน้าของการก่อสร้าง จึงไม่สามารถพิจารณาสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายใน 7 วันได้)
|
||||||||||||||||||||||||
3232 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 28/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์
ที่ 27 กันยายน 2553 และให้กระทรวงการคลังนำร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนเพิ่ม เติมสาระสำคัญเกี่ยวกับการคิดสูตรการคำนวณบำนาญ และการบริหารจัดการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราช การที่น่าจะนำมารวมไว้ในฉบับเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
3233 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 ตามที่รอง นายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ 2. ให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรนำเป้าหมายเชิงคุณภาพมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณา ร่วมด้วย เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และเกิดประสิทธิผล อย่างแท้จริง รวมทั้งควรมีแนวทางเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการ ใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในท้องถิ่น ตามเป้าหมายที่กำหนด ไปพิจารณา ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3234 | การตรวจสอบข้อมูลเงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายเบื้องต้นของหน่วยงาน จำนวน 84 หน่วยงาน จำนวนเงิน 2,311.66 ล้านบาท 2. เห็นชอบให้หน่วยงานตรวจสอบข้อมูลเงินเหลือจ่ายโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 และรายงานเงินเหลือจ่ายภายในวันที่ 30 กันยายน 2553 ดังนี้ 2.1 หน่วยงานที่รายงานเงินเหลือจ่ายแล้ว จำนวน 84 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบข้อมูลแต่ละโครง การจากเว็บไซต์ www.gfmis.go.th หรือ http://gfmisreport.mygfmis.com หรือ http://mygfmis ยืนยันข้อ มูลเงินเหลือจ่ายแยกตามโครงการ พร้อมทั้งแยกเงินเพื่อชดเชยค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ถ้ามี 2.2 หน่วยงานที่ยังไม่ได้รายงานเงินเหลือจ่ายจากการจัดซื้อจัดจ้างให้รายงานเงินเหลือจ่ายของ โครงการฯ ที่ดำเนินการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ได้จำนวนเงินตามสัญญาน้อยกว่าจำนวนเงินที่ได้ รับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ โดยให้แยกข้อมูลเป็นรายโครงการ พร้อมทั้งแยกเงินเพื่อชดเชยค่างานก่อ สร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ถ้ามี 2.3 สำหรับกรณีอื่น ๆ ให้รายงานเงินเหลือจ่ายด้วย ได้แก่ หน่วยงานที่ได้ดำเนินโครงการแล้ว เสร็จตามเป้าหมายของโครงการแล้ว แต่มีเงินเหลือจ่าย รวมทั้งหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินแล้วแต่ไม่สามารถ ดำเนินโครงการต่อไป ขอให้ยุติโครงการหรือยกเลิกโครงการ
|
||||||||||||||||||||||||
3235 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับ
ปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) และโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553 ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ได้ลงนามในสัญญาให้ความช่วยเหลือทางการ เงินกับ สปป.ลาว วงเงินรวม 655 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ดังนี้ 1. โครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงินให้ความช่วยเหลือ 405 ล้านบาท โ ดยแยกสัญญาฯ ออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาฯ สำหรับการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3) วงเงิน 205 ล้านบาท และสัญญาฯ สำหรับค่าปรับปรุงราคาวัสดุก่อสร้าง (Price Adjustment) วงเงิน 200 ล้านบาท เนื่องจากเงื่นอไขทางการเงิน ของทั้ง 2 สัญญา มีอายุสัญญาและระยะเวลาปลอดหนี้ที่แตกต่างกัน 2. โครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ วงเงินให้ความช่วยเหลือ 250 ล้านบาท โดย สพพ. ได้กำหนดขอบเขตของงานก่อสร้าง จำนวน 5 รายการ ได้แก่ 2.1 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 1 ก่อสร้างทางเท้าและท่อระบายน้ำระยะทาง 3.2 กิโลเมตร 2.2 ปรับปรุงผิวถนน T2 ช่วงที่ 2 ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร 2.3 ก่อสร้างถนน T2 ช่วงที่ 3 ระยะทาง 300 เมตร โดยเป็นถนน 4 ช่องจราจรพร้อมทางเท้าและท่อ ระบายน้ำ 2.4 ปรับปรุงร่องระบายน้ำคลองทุ่งสร้างนาง 2.5 ปรับปรุงบึงหนองด้วงและร่องระบายน้ำคลองหนองด้วง
|
||||||||||||||||||||||||
3236 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2553 | กค | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (ราย
โครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 42,141 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 3,397 โครงการ วงเงิน 35,395.40 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 38,744 โครงการ วงเงิน 314,565.04 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 3,777 โครงการ วงเงิน 16,122.62 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 454 โครงการ วงเงิน 7,414.64 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 3,323 โครงการ วงเงิน 8,707.98 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 34,967 โครงการ วงเงิน 298,442.42 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 34,967 โครงการ วงเงิน 286,362.67 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 1,713 โครงการ วงเงิน 61,203.06 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) 31,717 โครงการ วงเงิน 193,669.85 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,537 โครงการ วงเงิน 31,489.76 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 33,254 โครงการ วงเงิน 225,159.61 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3237 | แผนพัฒนาสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแผนพัฒนาสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อกำหนด
นโยบายและทิศทางการพัฒนาสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีหลักการและสาระสำคัญของ ร่างแผนฯ ดังนี้ ๑. หลักการของแผนฯ เพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจมีนโยบายและทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และเพื่อเป็นการวางรากฐานและสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันเงินเฉพาะกิจ อันจะนำไปสู่การ ส่งเสริมบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญของรัฐในการฟื้นฟู และช่วยเหลือ กลุ่มประชาชนและธุรกิจเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. สาระสำคัญของแผนฯ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ : การพัฒนาบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเติมเต็มช่องว่างในระบบ การเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการพัฒนาบทบาทและบูรณาการการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะ กิจในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ : การพัฒนาการกำกับดูแลและการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ โ ดยเน้นการ พัฒนาการกำกับดูแลและการประเมินผลสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาระบบกำกับดู แล การพัฒนาระบบตรวจสอบ ติดตามและประเมินผล รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานกำกับดูแลสถาบัน การเงินเฉพาะกิจ ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ : การพัฒนาศักยภาพของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยเน้นการพัฒนาศักยภาพ ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านระบบข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการบริหารความเสี่ยง ด้านบุคลากร ด้านกฎหมาย ด้านการประชาสัมพันธ์ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย และด้านการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายให้เป็นมาตรฐาน เดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
3238 | แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2553 - 2557) | กค | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2553-2557) มีสาระสำคัญ
เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาธุรกิจประกันภัยร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้านการประกันภัย โดยมุ่งเน้น การสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบประกันภัยไทย พัฒนาให้มีคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ โดยแผนพัฒนาการประกันภัยฯ ประกอบด้วย 4 มาตรการหลัก และ 18 มาตรการสำคัญ คือ 1. มาตรการที่ 1 : การเสริมสร้างความเชื่อมั่น ตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยและการเข้า ถึงระบบประกันภัยของประชาชน 1.1 การเสริมสร้างความรู้ด้านประกันภัยให้กับประชาชน 1.2 การส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของประชาชนที่เปลี่ยน แปลงไปตามสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.3 การพัฒนาช่องทางการจำหน่ายและการให้บริการแบบครบวงจร 1.4 การกำหนดข้อพึงปฏิบัติในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย 1.5 การเสริมสร้างให้ระบบประกันภัยมีบทบาทในการรับผิดชอบต่อสังคมไทย (Corporate Social Responsibility : CSR) 2. มาตรการที่ 2 : การเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบประกันภัย 2.1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อระบบประกันภัย 2.2 การส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทประกันภัย 3. มาตรการที่ 3 : การเพิ่มมาตรฐานให้บริการและการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการ ประกันภัย 3.1 การปฏิรูปกฎหมายด้านการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ 3.2 การกำหนดมาตรฐานกรอบแนวทางปฏิบัติในการให้บริการด้านการประกันภัย 3.3 การพัฒนาคุณภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย 3.4 โครงการจัดตั้งกองทุนมหันตภัย 4. มาตรการที่ 4 : การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย
|
||||||||||||||||||||||||
3239 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 10 กันยายน 2553 | กค | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (ราย
โครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 10 กันยายน 2553 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 42,249 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอจัดสรร จำนวน 3,787 โครงการ วงเงิน 36,468.35 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 38,462 โครงการ วงเงิน 313,492.09 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ 3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 4,009 โครงการ วงเงิน 16,555.95 ล้านบาท 3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 204 โครงการ วงเงิน 6,877.80 ล้านบาท 3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 3,805 โครงการ วงเงิน 9,678.15 ล้านบาท 4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 34,453 โครงการ วงเงิน 296,936.14 ล้านบาท 5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 34,453 โครงการ วงเงิน 284,580.25 ล้านบาท 6. การดำเนินการ 6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 1,593 โครงการ วงเงิน 62,514.40 ล้านบาท 6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) 31,323 โครงการ วงเงิน 190,576.09 ล้านบาท 6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,537 โครงการ วงเงิน 31,489.76 ล้านบาท 6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 32,860 โครงการ วงเงิน 222,065.85 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
3240 | ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement)] และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982) รวม 2 ฉบับ | กค | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [ว่าด้วยการอนุวัติการตามความตกลงว่าด้วย การอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน (The GMS Agreement)] ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยเสนอขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาพร้อมกับร่างพระ ราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ซึ่งมีหลักการอนุวัติการตามอนุสัญญาฉบับ เดียวกัน เพื่อให้มีเนื้อหาไปในแนวทางเดียวกัน ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 3) 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 6) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ ศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. 1982) ไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุ สัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ค.ศ. 1982 ต่อไป โดยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะ ที่ 6) ต่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้ 2.1 ในขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการเข้าเป็นภาคีตามอนุสัญญาฯ ซึ่งการเสนออนุสัญญาต่อรัฐสภาเพื่อ ขอความเห็นชอบตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฯ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศโดยตรง 2.2 แนวทางปฏิบัติที่ผ่านมามีการนำอนุสัญญาเสนอรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบแล้วจึงมีการตรากฎ หมายเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีในภายหลัง ดังนั้น การตรากฎหมายขึ้นใหม่หรือการแก้ไขกฎหมายควรพิจารณา เมื่อประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาฯ แล้ว จึงยังไม่ควรตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศุลกากรฯ ตามที่กระทรวง การคลังเสนอในขณะนี้ 2.3 ควรมีการหารือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเนื่องจากการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติศุล กากรฯ โดยประสงค์ที่จะใช้สิทธิของรัฐในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ เขตไหล่ทวีป และเขตทะเลหลวง รวมถึงการใช้บังคับ เหนือเกาะเทียมโดยอนุโลม มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานไม่จำกัดเฉพาะกรมศุลกากรเท่านั้น ซึ่งอาจจำเป็น ต้องมีหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหลายเรื่องเพื่อดำเนินการให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ต่อไปด้วย
|
.....