ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | การกำหนดสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้า จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ๑) สินค้าเครื่องฟอกอากาศ
และ ๒) สินค้าตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) เป็นสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม)
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
682 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 | นร.14 | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายใต้กรอบวงเงิน ๗,๔๐๔.๓๔๐๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ จำนวน ๒,๗๔๘ รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๔๑๖๗ ลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติตรวจสอบชื่อรายการให้ถูกต้องครบถ้วน
หากมีความคลาดเคลื่อนในชื่อรายการ สถานที่ ความซ้ำซ้อนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเงินนอกงบประมาณ
ให้ประสานหน่วยรับงบประมาณเสนอปรับลดงบประมาณดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
หรือผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นผู้กำกับแผนงานบูรณาการกรณีเป็นการดำเนินการภายใต้แผนงานบูรณาการ
แล้วแต่กรณี ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติควรมีมาตรการกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ
เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ โดยเฉพาะการซ่อมแซม/ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์
การสร้างความมั่นคงด้านน้ำเพื่อการอุปโภค - บริโภค และการเพิ่มน้ำต้นทุน
ให้เกิดประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
683 | (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แก้ไขปัญหาราคาโคตกต่ำ | สภช. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง
แก้ไขปัญหาราคาโคตกต่ำของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประกอบด้วย ๑) ขอให้ภาครัฐห้ามนำเข้าโคเนื้อจากประเทศเมียนมา
๒) ขอให้ภาครัฐดำเนินการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าเนื้อโคที่ผิดกฎหมาย และควบคุมการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศ
๓) ขอให้ภาครัฐเร่งรัดตรวจสอบควบคุมการนำเข้าสารเร่งเนื้อแดง
และการใช้สารเร่งเนื้อแดงในโคเนื้อ ๔) ขอให้ภาครัฐเร่งรัดผลักดัน
และสนับสนุนให้มีโรงฆ่าชุมชน และโรงแปรรูปโคเนื้อที่ได้มาตรฐานในการบริโภคภายในชุมชน
รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” และ
๕) ขอให้รัฐเร่งรัดการเจรจาการส่งออกโคมีชีวิต เนื้อโคแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์อื่น
ๆ จากโคกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญกับไทย โดยการจัดทำบันทึกข้อตกลงภายใต้พิธีสารกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญกับไทยอย่างเร่งด่วน
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่า การห้ามนำเข้าโคเนื้อจากเมียนมาและการควบคุมการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศมีลักษณะเป็นการจำกัดปริมาณการนำเข้าซึ่งควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังบนพื้นฐานของความจำเป็นเพื่อมิให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบ
WTO |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
684 | ร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ
และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ
และการต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เพื่อยกเว้นการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย
โดยผู้ขอต่ออายุใบอนุญาตต้องไม่มีอายุเกินเกณฑ์หรือไม่มีเงื่อนไขของสภาพร่างกาย
หรือเงื่อนไขอื่นตามที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบกประกาศกำหนด
อันจะทำให้การดำเนินการต่อใบอนุญาตขับรถสามารถดำเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวก
ลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการเดินทางมาติดต่อราชการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
685 | รัฐบาลสาธารณรัฐโคลอมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทย (นางสาวอาลิเซีย อาเลฮันดรา อัลฟาโร กัสติโย) | กต. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอาลิเซีย อาเลฮันดรา อัลฟาโร กัสติโย
(Ms. Alicia Alejandra Alfaro Castillo) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบีย
ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางอานา มาเรีย ปริเอโต
อาบัด (Mrs. Ana Maria Prieto Abad) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
686 | รัฐบาลราชอาณาจักรเบลเยียมเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทย (นายมีแชล ปารี) | กต. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมีแชล ปารึ (Mr. Michel Parys) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรเบลเยียมประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายสกันแดร์ นัสรา (Mr. Skander
Nasra) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
687 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร การปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เป็นการถาวร การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเอดินบะระ สหราชอาณาจักร และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเอดินบะระ สหราชอาณาจักร (นายเดวิด จอห์น ริดลีย์) | กต. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายเอ. ดี. สจ๊วต (Mr. A.D. Stewart) กงสุลกิตติมศักดิ์
ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร และการปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกลาสโกว์
สหราชอาณาจักร เป็นการถาวร ตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
688 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมของศูนย์ประเมินความรู้ความสามารถกลาง พ.ศ. .... | รง. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปก่อน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
689 | ร่างถ้อยแถลงร่วมกลไกการหารือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม (Joint Statement of the Energy and Industry Dialogue) | อก. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมกลไกการหารือด้านพลังงานและอุตสาหกรรม
(Joint Statement of the Energy and Industry
Dialogue) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย) ร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานแห่งอนาคต
และสังคมภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ ได้แก่ ๑)
ส่งเสริมแนวทางที่หลากหลาย (Promotion of Multi-Pathway) เพื่อตระหนักว่าไทยส่งเสริมเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์แห่งอนาคต
เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันสาขาอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคตของไทย
โดยการลดปริมาณคาร์บอนในกระบวนการผลิตในห่วงโซ่อุปทานของยานยนต์ประเภทต่าง ๆ
และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
รวมทั้งการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่ลดคาร์บอน ๒) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
(Promotion of Circular Economy) เพื่อการส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศสำหรับการกำจัดเศษและรีไซเคิลรถยนต์เก่าได้อย่างทันท่วงที
และ ๓) การดูแลรักษาและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและทรัพยากรบุคคลให้สามารถแข่งขันได้
รวมถึงการสนับสนุน SMEs โดยเน้นย้ำถึงที่มาของความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ตามความเหมาะสม และให้รวบรวมผลการปรับแก้ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
และผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
690 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 | กษ. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง
(Mekong-Lancang Cooperation Special Fund : MLCSF) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย
และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันแห่งสันติภาพและความมั่งคั่ง
ตามเจตนารมณ์ในการปรึกษาหารือ การประสานงาน
การร่วมมือและการได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน การเคารพกฎหมายและกฎระเบียบของไทยและจีน
และการร่วมติดตามประเมินผลโครงการและการใช้งบประมาณจาก MLCSF
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องระมัดระวังไม่ดำเนินการใดที่จะส่งผลกระทบต่อไทยจากการแลกเปลี่ยน
การใช้ การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารที่มีความอ่อนไหว หรือเป็นองค์ความรู้
หรือทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งควรเป็นกรรมสิทธิ์ของไทยเท่านั้น ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มกราคม ๒๕๖๘ (เรื่อง การจัดทำความร่วมมือ/การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงกำกับและดูแลการประเมินผลโครงการทั้งด้านการวางแผนและการดำเนินโครงการ
รวมถึงกิจกรรมและการบริหารงบประมาณให้เป็นไปตามข้อกำหนด
พร้อมทั้งสื่อสารผลการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงผลประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
691 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ที่จังหวัดพัทลุง | อก. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้บริษัท
ศิลาสัมพันธ์ จำกัด ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่
๑/๒๕๕๙ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง
การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการตรวจสอบ
กำกับ และติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่
พร้อมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจการที่ก่อให้เกิดมลพิษ
และควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงผลกระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการทำเหมืองแร่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรดำเนินการติดตามตรวจสอบพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำเนินโครงการเหมืองแร่ดังกล่าว
เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่คำขอประทานบัตรว่ามีสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์พื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือไม่
และเพื่อป้องกันมลภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ที่อยู่รอบบริเวณของพื้นที่โครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
692 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 17 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 12 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 12 | ทส. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
693 | การกู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียสำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก
ADB สำหรับโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมืองหมายเลข ๗ ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา
กรอบวงเงิน ๖๘.๗๔ ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ ๒,๔๔๐.๑๙ ล้านบาท) ๒. เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้โครงการฯ
และเห็นชอบในการใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย(
Asian Development Bank Ordinary Operations Loan Regulations) ลงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ ของ ADB ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยในสัญญาเงินกู้โครงการฯ ๔.
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดเตรียมทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้โครงการฯ ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ๕.
มอบหมายให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถูกระบุไว้ใน PAM สัญญาเงินกู้
รวมทั้งกฎเกณฑ์และระเบียบที่เกี่ยวข้องของ ADB และเอกสารแนบท้ายสัญญาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ขอให้กรมทางหลวงบริหารสัญญาและกำกับดูแลผู้รับจ้างให้ดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
และดำเนินการเบิกจ่ายเงินกู้ตามระยะเวลาที่กำหนด ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ)
กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หารือร่วมกับกรมทางหลวง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เพื่อปรับแผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ให้มีความสอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการของสนามบินอู่ตะเภาที่มีความล่าช้าและอาจส่งผลกระทบให้ปริมาณจราจรของโครงการฯ
ต่ำกว่าที่เสนอคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๕
เพื่อให้การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่ากระทรวงการคลังควรพิจารณาเตรียมการสำหรับกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนสูง
ซึ่งอาจส่งผลให้วงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติไม่เพียงพอต่อการชำระค่าใช้จ่ายของโครงการในสกุลเงินบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
694 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส | รง. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ
ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๒ - ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ
ดังนี้ ๑) การพบปะหารือกับนายกสมาคมนวดไทยและสปาในฝรั่งเศส และคณะกรรมการสมาคมนวดไทยและสปาในฝรั่งเศส
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ให้นโยบายและแนวทางในการประกอบอาชีพในสาขานวดไทยในฝรั่งเศสและต่างประเทศ
๒) การประชุมระดับสูงด้านนโยบายทางสังคม เช่น
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุก่อให้เกิดความท้าท้ายต่อนโยบายทางสังคม
๓) การประชุมหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยและเลขาธิการเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) เช่น เลขาธิการ OECD แสดงความยินดีที่ไทยได้เข้าสู่กระบวนการการเข้าสู่การเป็นสมาชิก OECD ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะยกระดับไทยให้ก้าวหน้า และ ๔) การประชุมรัฐมนตรีด้านนโยบายทางสังคมของ
OECD ภายใต้หัวข้อ “แนวทางใหม่ของนโยบายสังคม :
การลงทุนในอนาคต” ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
695 | รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2567 | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. ความเสี่ยงด้านรายได้ รัฐบาลยังคงจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายในปีงบประมาณ
๒๕๖๗ โดยมีผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลอยู่ที่ ๒,๗๙๗,๖๗๙ ล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ ๔.๑๙ จากปีก่อน)
และมีสัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อ GDP อยู่ที่ร้อย ๑๕.๐๖ ๒. ความเสี่ยงด้านรายจ่ายยังคงมีปัจจัยกดดันจากรายจ่ายเพื่อชำระหนี้และภาระผูกพัน
และรายจ่ายด้านสวัสดิการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๗ ขยายตัวอยู่ที่ ๓,๖๐๒,๐๐๐ ล้านบาท
(เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๙ จากปีก่อน) ๓. ความเสี่ยงด้านหนี้ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ ยังคงมีปัจจัยกดดันจากระดับหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูงและความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19
ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาลงโดยระดับหนี้สาธารณะ
ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ อยู่ที่ ๑๑,๖๒๗,๘๕๓.๕๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๖๓.๒๐ ต่อ GDP (ยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๗๐ ต่อ GDP) ๔. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ภายใต้การติดตามและบริหารอย่างใกล้ชิด
โดยระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ อยู่ที่ ๕๑๔,๑๐๑ ล้านบาท (ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๒๔,๙๕๕ ล้านบาท)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
696 | การศึกษาความเหมาะสมของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Free) | นร. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว
(Visa Free) สำหรับนักท่องเที่ยวบางประเทศที่ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง
ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ให้ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน ๖๐ วัน หรือ
๙๐ วัน เป็นกรณีพิเศษ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย
นั้น ในระยะที่ผ่านมาพบว่า
เกิดปัญหาชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราบางกลุ่มมีพฤติการณ์กระทำผิดกฎหมาย
เช่น การอยู่ในราชอาณาจักรเกินระยะเวลาที่กำหนด การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย การจงใจเข้ามาทำงานอันเป็นการแย่งอาชีพคนไทย
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
จึงขอมอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เร่งกวดขันและบังคับใช้กฎหมายแก่ชาวต่างชาติที่กระทำความผิดตามกฎหมายไทย
ตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงานอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาและรวบรวมผลกระทบในด้านต่าง ๆ ของการดำเนินมาตรการดังกล่าวข้างต้นให้ครบถ้วน
ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเหมาะสมของระยะเวลาที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติอยู่ในราชอาณาจักร
เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขมาตรการดังกล่าวให้เหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นไปตามวัตถุประสงค์หลักที่มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
697 | การสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ | นร. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินโครงการ
Maha Songkran World
Water Festival 2025 รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของภาคเอกชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์
ปี ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา
ถือเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ในรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สร้างรายได้ และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก ดังนั้น
เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปี
๒๕๖๘ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โดยเน้นย้ำถึงมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุน
รวมตลอดถึงความพร้อมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของต่างชาติด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินโครงการ
Maha Songkran World Water Festival 2025
ให้แพร่หลายและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดยให้เน้นย้ำถึงความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรม
การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและเอกชน รวมถึงผลดีด้านเศรษฐกิจและรายได้ที่เพิ่มขึ้น
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ตลอดจนเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะจดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมและงานเทศกาลระดับโลกต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
698 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวม ปี 2567 | นร.11 สศช | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
699 | การปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาด้านที่พักอาศัยให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติ | นร. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม
๒๕๖๘ ที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่า
หลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับจริงจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าว
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการและผังเมือง
และกรุงเทพมทานคร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้มีความยึดหยุ่นและสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเดือดร้อนและความเสียหายของที่พักอาศัยที่เกิดขึ้นจริงได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้
เงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวถือว่าเป็นคนละส่วนและไม่ซ้ำซ้อนกับเงินสินไหมที่ผู้ประสบภัยอาจได้รับจากบริษัทประกันภัยอยู่แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
700 | การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่ม | นร. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มเพื่อหาสาเหตุและผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา
พบว่า
มีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมากเนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.
ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดส่งเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการสืบสวนหาสาเหตุและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ๒.
ขอความร่วมมือให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวทั้งหมด
รวมถึงเอกสารของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างที่ได้รายงานว่าผู้รับจ้างดำเนินงานผิดสัญญาการก่อสร้าง
แต่ยังมิได้ยกเลิกสัญญาการก่อสร้างภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรธรณี) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
ร่วมกันจัดทำและส่งรายงานผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยด่วน ๔. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง)
ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการตรวจสอบมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างและคุณภาพของวัสดุก่อสร้างอาคารดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง
การบริหารพัสดุภาครัฐ
และการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงกับคู่สัญญาที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ร่วมตรวจสอบงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ
ทั้งนี้ ต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานก่อสร้างอยู่เดิมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด
|