ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | เงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย (AIIB) สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก (ก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจาก AIIB วงเงิน ๔๒๓,๐๕๐,๕๙๕
เหรียญสหรัฐ ๒.
เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้องของโครงการฯ
และเห็นชอบในการระบุให้ใช้อนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทตามเงื่อนไขที่กำหนดใน
เอกสาร General Conditions for Sovereign - backed Loans ฉบับวันที่ ๒๒
ตุลาคม ๒๕๖๔ ของ AIIB ๓.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้
และจดหมายการยืนยันข้อผูกพันและการให้ข้อมูลทางการเงินของโครงการฯ ๔.
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำรับรองทางกฎหมาย (Legal Opinion) สำหรับสัญญาเงินกู้ของโครงการฯ ในโอกาสแรก
ภายหลังจากที่ได้มีการลงนามในสัญญาเงินกู้ดังกล่าวแล้ว ๕.
มอบหมายให้กองทัพเรือ (ทร.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ปฏิบัติตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่ถูกระบุไว้ในคู่มือการปฏิบัติงาน สัญญาเงินกู้
กฎข้อบังคับต่าง ๆ ของ AIIB และเอกสารแบบท้ายสัญญาที่เกี่ยวข้องของโครงการฯ
รวมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอให้ ทร.
คำนึงถึงผลกระทบการระงับวงเงินกู้หรือสิทธิในการเรียกให้ชำระคืนเงินกู้ได้ทันทีตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ของ
AIIB หากจะมีการแก้ไขสัญญาการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันระหว่าง
ทร. และบริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (Joint Use Agreement : JUA) ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือการกระทำผิดเงื่อนไขตามสัญญาเงินกู้ ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ)
กระทรวงกลาโหม (กองทัพเรือ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าการกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ทั้งในด้านความเพียงพอต่อการชำระค่าใช้จ่ายในสกุลเงินบาท รวมถึงการใช้คืนเงินกู้ในอนาคต
กระทรวงการคลังควรพิจารณาบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
702 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (นายสมชัย สัจจพงษ์) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสมชัย สัจจพงษ์
ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งเดิม ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน
๒๕๖๗ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
703 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายณัฐวุฒิ ภัทรประยูร) | รง. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายณัฐวุฒิ ภัทรประยูร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งจัดหางานจังหวัด (ผู้อำนวยการสูง)
สำนักงานจัดหางานจังหวัดร้อยเอ็ด กรมการจัดหางาน
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการแรงงาน (นักวิชาการแรงงานทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
704 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางธาราพร สิงหพันธุ์ มหิทธาฟองกุล) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางธาราพร สิงหพันธุ์ มหิทธาฟองกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ
กรมธนารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่
๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
705 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวสลักจิต พงษ์ศิริจันทร์) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ แต่งตั้ง นางสาวสลักจิต พงษ์ศิริจันทร์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร
ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี
(กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๒๘
มกราคม ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
706 | แต่งตั้งกรรมการอื่น (ผู้แทนกองทัพอากาศ) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (พลอากาศตรี วุฒิ น้อยเชี่ยวกาญจน์) | คค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลอากาศตรี วุฒิ น้อยเชี่ยวกาญจน์ เป็นกรรมการอื่น
(ผู้แทนกองทัพอากาศ) ในคณะกรรมการกำกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยแทนกรรมการอื่น
(ผู้แทนกองทัพอากาศ) ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
707 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (นางแพตริเซีย มงคลวนิช) | คค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางแพตริเซีย มงคลวนิช (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย แทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
708 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (1. นายวิจารย์ สิมาฉายา ฯลฯ รวม 3 คน) | ทส. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
รวม ๓ คน
แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายวิจารย์ สิมาฉายา ประธานกรรมการ ๒. นายกวิน ทังสุพานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านพลังงาน ๓. นายสมชาย รังษีธนานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
709 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา (1. รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม ฯลฯ จำนวน 8 คน) | ศธ. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
จำนวน ๘ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
ประธานกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๒ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม ๒. นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ๓. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ๔. นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง ๕. รองศาสตราจารย์ประวิต เอราวรรณ์ ๖. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ๗. รองศาสตราจารย์ปัทมาวดี โพชนุกูล ๘. รองศาสตราจารย์สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
710 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา แทนกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ (นายธงชัย ประดับชนานุรัตน์) | ศธ. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบกรณี นางกัมเลช มันจันดา
พ้นจากตำแหน่งกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่นในคณะกรรมการสภาการศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
711 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (1. รองศาสตราจารย์วีระพงษ์ แพสุวรรณ ฯลฯ จำนวน 6 คน) | อก. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
จำนวน ๖ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. รองศาสตราจารย์ วีระพงษ์ แพสุวรรณ ๒. นางชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ๓. นายอดิสร เตือนตรานนท์ ๔. นางสาวพิมพ์นารา จิรานิธิศนนท์ ๕. นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
712 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ โดยได้รับยกเว้นการยื่นรายการตามแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (ตม.6) ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2565 | ตช. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
ยกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
โดยได้รับยกเว้นการยื่นรายการตามแบบรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร
(ตม.๖) ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดเตรียมระบบให้สามารถนำ
QR Code ที่ได้จากการกรอกข้อมูลในระบบ
ตม.๖ ออนไลน์ มาใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบการเดินทางของคนต่างด้าวภายในราชอาณาจักร
เช่น การลงทะเบียนเข้าพักที่โรงแรมต่าง ๆ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในมิติด้านความมั่นคง การประเมินพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เพื่อการวางแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยบนพื้นฐานของฐานข้อมูลที่เป็นประจักษ์
รวมถึงต่อยอดไปสู่การพัฒนาระบบเพื่อการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลของคนต่างด้าวในการทำธุรกรรมในประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
713 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินงานทางการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน รัฐบาลมีรายได้ จำนวน ๒,๙๑๐,๙๐๒.๔๓ ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๑๒๑,๙๕๒.๓๕ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๔.๓๗
เนื่องจากสามารถจัดเก็บรายได้แผ่นดินประเภทรัฐพาณิชย์ที่ขยายตัวตามการบริหารการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและการนำส่งรายได้เพิ่มเติมของกองทุนรวมวายุภักษ์
หนึ่ง และมีค่าใช้จ่าย จำนวน ๓,๔๑๒,๔๙๖.๘๒
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๘๓,๗๐๗.๖๒
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒.๕๑ เนื่องจากมีรายจ่ายในงบประมาณ
(ไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้) การถือครองสินทรัพย์ทางการเงิน เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ๒. ฐานะการเงินของรายงานการเงินแผ่นดิน มีสินทรัพย์
จำนวน ๘,๗๒๑,๙๖๕.๘๘
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๑๔๑,๓๔๐.๑๓
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑.๖๕ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้กู้ยืมระยะสั้น
เงินลงทุนระยะยาว เงินให้กู้ยืมระยะยาว และที่ดินราชพัสดุ มีหนี้สิน จำนวน ๑๐,๙๑๖,๒๘๒.๖๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ จำนวน ๕๔๙,๑๗๐.๔๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๓๐ เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
และการกู้เงินเพื่อการบริหารหนี้ และมีสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน จำนวน ๒,๑๙๔,๓๑๖.๗๒ ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
จำนวน ๔๐๗,๘๓๐.๓๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๘๓
แต่รัฐบาลยังสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้ (Going Concern) เนื่องจากรัฐบาลมีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บรายได้ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ได้คลี่คลายลง เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการคลังเพื่อพัฒนาประเทศ
ให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
714 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. 2560) | มท. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบุรี
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสาธารณูปโภค และกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการสาธารณูปโภคที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐหรือภายใต้การกำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเกี่ยวกับประเภท
ชนิด ขนาด ที่ว่าง หรือความสูงของอาคารตามที่กำหนดไว้ในที่ดินตามที่ได้จำแนกไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าว
เพื่อรองรับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ได้แก่
การก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายนครปฐม - ชะอำ (M๘)
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองตามแผนแม่บทการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทย
และรองรับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งเป็นประโยชน์กับประชาชนเป็นส่วนรวม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรหลีกเลี่ยงการดำเนินการบริเวณที่มีความลาดชัน
หรือมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ เช่น บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ป่าชายเลน รวมทั้งในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
หากมีการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้
(สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว) ให้เพิ่มในข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทนั้น
ว่าให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการสงวนและคุ้มครองดูแลรักษาหรือบำรุงป่าไม้ สัตว์ป่า
ต้นน้ำ ลำธาร และทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ
และให้ใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป่าไม้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
715 | การดำเนินการภายใต้คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการทุจริตและความโปร่งใสในกรอบเอเปค | ปช. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติภายใต้ความร่วมมือของคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการทุจริตและความโปร่งใสในกรอบเอเปค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
716 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | นร.09 | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพของประชาชน
ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเภทธุรกิจและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม
รวมถึงระดับการพัฒนาของแต่ละประเภทธุรกิจภายในประเทศ และพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของธุรกิจแต่ละประเภท
เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ที่ได้มีการกำหนดไว้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความสำคัญ อาทิ การทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ปัจจุบัน
และควรให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกและลดข้อจำกัดในการเข้าสู่ธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการชาวต่างชาติอย่างครบวงจร
ตามแนวทางการประเมิน Business Ready (B-Ready) ของธนาคารโลก
ครอบคลุมการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่กระบวนการขออนุมัติ/อนุญาต
และชำระค่าธรรมเนียม
โดยเชื่อมโยงกับระบบให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz
Portal) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามความก้าวหน้าได้ด้วยตนเอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
717 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ โดยกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์โบราณ ในอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ
๔๕ ข้องราคาขายปลีกแนะนำ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์โบราณ ที่นำเข้ามาแบบสำเร็จรูปทั้งคัน
(Completely Built Up : CBU) ตามที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงวัฒนธรรม เห็นว่าการเรียกชื่อ รถโบราณ VINTAGE CARS กับ รถคลาสสิค CLASSIC CARS จะสื่อความหมายที่ต่างกัน
และอาจจะต้องมีการพิจารณาการกำหนดชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ชัดเจน ในกรณีแยกประเภทรถยนต์ใช้แล้วในช่วงอายุที่แตกต่างกันให้เป็นไปตามนิยาม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพิกัดอัตราศุลกากรแต่ละประเภท
เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายการนำเข้าส่งออกของแต่ละประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและทำประมาณการการสูญเสียรายได้จากอากรศุลกากรที่คาดว่าจะเก็บได้จากการนำเข้ารถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เทียบกับกรณีไม่มีการดำเนินมาตรการให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
718 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... | ทส. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม
ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
เพื่อปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่า
ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นว่าการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมควรเพิ่มความชัดเจนการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับภาคประชาชนโดยเฉพาะ
และควรประชาสัมพันธ์หรือรวบรวมความคิดเห็นจากภาคประชาชนโดยแท้จริงให้ได้มากที่สุด กระทรวงพาณิชย์
เห็นว่าชุมชนท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในการกำหนดค่าธรรมเนียมเพื่อให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นไม่ได้รับผลกระทบ
และให้ความสำคัญต่อการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้
เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กรมป่าไม้ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้รับทราบถึงข้อมูลข่าวสาร
รายละเอียด ข้อกำหนดในการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียม ตลอดจนการลดและการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่กลุ่มบุคคลประเภทต่าง
ๆ เพื่อการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
719 | ขอความเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อปรับเปลี่ยนสาระสำคัญของความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา - ไทย | กต. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยน (Notes of Exchange) ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย
และให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามหนังสือแลกเปลี่ยนฯ
ดังกล่าว โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขสาระสำคัญของความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๐ จำนวน ๗ ประเด็น
เช่น (๑) การเปลี่ยนชื่อหน่วยงาน จาก ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย เป็น
สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานกัมพูชา-ไทย (๒) การแก้ไขการจ้างงาน จาก บุคลากรชาวไทยจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี
ช่างเทคนิค และแรงงานฝีมือ ในขณะที่แรงงานชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานก่อสร้าง
เป็นบุคลากรชาวไทยและ/หรือชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี
ช่างเทคนิค และช่างฝีมือ ในขณะที่แรงงานชาวกัมพูชาจะได้รับการว่าจ้างให้ทำงานก่อสร้าง
และ (๓) การแก้ไขขอบเขตการก่อสร้าง จาก อาคารฝึกปฏิบัติ (๒ อาคาร) และอาคารฝึกอบรม
เป็น อาคาร ๔ ชั้น พร้อมดาดฟ้า โดยใช้งบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ
(กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ)
จากงบเงินอุดหนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศประจำปี ๒๕๖๗ และ ๒๕๖๘
วงเงิน ๘๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการดังกล่าวให้สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โครงการขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจและความร่วมมือเพื่อการพัฒนารายการเงินอุดหนุนความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ
ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
720 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2533 (เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534 (เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร) | ทส. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๙
ตุลาคม ๒๕๓๓ เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าการส่งออกงูดังกล่าวต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์
(Convention on International Trade
in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง
ๆ และการเพาะพันธุ์และการส่งออกงูมีชีวิตต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการควบคุมให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันการลักลอบค้าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย
และส่งผลกระทบต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความสมดุลของระบบนิเวศของประเทศไทย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกและหน่วยงานรับผิดชอบในการกำกับ
ดูแล และควบคุมการส่งออกงูมีชีวิต และหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักรในส่วนที่กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังมิได้กำหนดไว้ให้ครบถ้วนและเหมาะสม
โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการส่งออกเพื่อการค้าและการอนุรักษ์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนทราบเกี่ยวกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้ถูกต้องและทั่วถึงต่อไปด้วย
|