ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 124182 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
601 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... ของรัฐสภา | สผ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ
มีสาระสำคัญเป็นการให้ความคุ้มครองบุคคลผู้ให้ถ้อยคำ แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสส่งพยานหลักฐานหรือแสดงความคิดเห็น
แก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
(ผู้ถูกฟ้องปิดปาก) ตามมาตรา ๑๓๒ ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เพิ่มเติมจากที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ บัญญัติไว้ ซึ่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและอยู่ระหว่างดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
และประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของรัฐสภาเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ของรัฐสภาดังกล่าว ที่เห็นว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ
บางประการ และมีความจำเป็นที่ต้องจัดเตรียมความพร้อมในการกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลผู้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒
ดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้โดยเร็ว โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ควรจัดให้มีคณะอนุกรรมการ
คณะทำงานหรือจัดตั้งสำนักหรือสำนักงานขึ้นเป็นหน่วยงานภายใน เพื่อรับผิดชอบติดตามหรือให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความคุ้มครองเป็นการเฉพาะ
ควรจัดสรรงบประมาณและสนับสนุนบุคลากรผู้ปฏิบัติงานตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก่สำนักงาน ป.ป.ช.
และบุคลากรผู้ปฏิบัติงานให้เพียงพอ รวมถึงการฝึกอบรมร่วมกับการใช้เทคโนโลยีในการจัดการข้อมูล
ควรกำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์
หรือเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกองทุนแก่บุคคลผู้ได้รับความคุ้มครอง
พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีพิเศษโดยคำนึงถึงความสะดวก
รวดเร็ว และโปร่งใส ควรกำหนดให้นำมติคณะกรรมการ
ป.ป.ช. รวมไว้ในสำนวนเพื่อประกอบการพิจารณาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น มีเจตนารมณ์เพื่อให้ศาลสามารถนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
๑๖๑/๑ มาใช้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อคุ้มครองผู้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
602 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 2,049.69 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ (จำนวน 17 จังหวัด) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท | คค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒,๐๔๙.๖๙ ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง จำนวน ๑,๖๑๙.๙๐ ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จำนวน ๔๒๙.๗๙
ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยและภัยพิบัติ
(จำนวน ๑๗ จังหวัด) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งควรเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
603 | ขอความเห็นชอบกำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ (Mind Month) | สธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งสุขภาพใจ (Mind Month)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
604 | ร่างกรอบความยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาเซียน (ASEAN Creative Economy for Sustainability Framework) | วธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างกรอบความยั่งยืนสำหรับเศรษฐกิจสร้างสรรค์อาเซียน
(ASEAN Creative Economy
for Sustainability Framework) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงาน ด้านวัฒนธรรมและศิลปะแห่งราชอาณาจักรไทย
มีหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย เพื่อแจ้งเห็นชอบร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
มีหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรมมาเลเซีย
เพื่อแจ้งเห็นชอบร่างกรอบความยั่งยืนฯ โดยอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๔๖ ในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ณ มาเลเซีย
โดยร่างกรอบความยั่งยืนฯ มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรม วัฒนธรรมสร้างสรรค์ในอาเซียนอย่างยั่งยืนและครอบคลุม
เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ผ่านการทำงานร่วมกัน โดยในการพัฒนาร่างเอกสารดังกล่าว
ได้มีการดำเนินการผ่านกระบวนการพิจารณาและหารือเป็นการภายในของหน่วยงานภายใต้สำนักเลขาธิการอาเซียน
และองค์กรเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN
Socio-Cultural Community : ASCC) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างกรอบความยั่งยืนฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
605 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน
พ.ศ. ๒๕๔๗ เพื่อเพิ่มอัตราเงินทดแทนในกรณีว่างงานเพราะเหตุถูกเลิกจ้าง
จากอัตราร้อยละ ๕๐ ของค่าจ้างรายวัน เป็นอัตราร้อยละ ๖๐ ของค่าจ้างรายวัน เพื่อบรรเทาภาระการดำรงชีพของผู้ประกันตนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่ากระทรวงแรงงานควรมีแผนการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดวิกฤตสถานการณ์การว่างงาน
และมีการใช้สิทธิในกรณีดังกล่าวที่สูงกว่าปกติ เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในระยะยาว
ประกอบกับ เป็นการตรากฎหมายหรือการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลผูกพันทรัพย์สิน
หรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้พิจารณาถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังด้วย
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
606 | การขอความเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือเเห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กห. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ
มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการประชุมและแลกเปลี่ยนนโยบายระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน
รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
607 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 17 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร.02 | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ ทั้ง ๓
ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างปฏิญญาบันดาร์เสรีเบกาวัน
ว่าด้วยความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สื่อและสารนิเทศ
มีสาระสำคัญเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนที่มุ่งมั่นในการพัฒนาสื่อและสารสนเทศ
ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อการพัฒนาอาเซียนที่ยืดหยุ่นและครอบคลุม
พร้อมรับมือความท้าทายระดับโลก เร่งจัดการข้อมูลเท็จ
ที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของอาเซียน ๒) ร่างปฏิญญากัวลาลัมเปอร์
ว่าด้วยการใช้แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอย่างปลอดภัย และมีความรับผิดชอบสำหรับอาเซียน
มีสาระสำคัญเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ
เพื่อลดความเสี่ยงจากข่าวปลอม การบิดเบือนข้อมูล การใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง
และการล่อลวงทางออนไลน์ รวมถึงการปกป้องกลุ่มเปราะบาง และ ๓)
ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๗
และการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาบวกสาม ครั้งที่ ๘ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงจุดยืนร่วมกันของรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาบทบาทของสื่อ
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความเข้าใจอันดีระหว่างกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ที่ประชุมเน้นย้ำถึงบทบาทของสาขาสื่อและสารนิเทศในการส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนและความเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาค
ด้วยการส่งเสริมข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และครอบคลุม โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียนของประเทศไทย
เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์หมายเลข (๑) และ (๒) และรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์หมายเลข
(๓) ในที่ประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๔ - ๙ พฤษภาคม
๒๕๖๘ ณ บรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการต่อไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
(กรมประชาสัมพันธ์) เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
608 | การขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค ครั้งที่ 7 (7th APEC Human Resources Development Ministerial Meeting: HRDMM) | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของเอเปค
ครั้งที่ ๗ (7th APEC Human Resources
Development Ministerial Meeting: HRDMM) มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่
๑๑ - ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ณ เกาะเชจู สาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่น
ครอบคลุม และพร้อมรับมือเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปตลาดแรงงานที่สอดคล้องกับแรงงานยุคใหม่
โดยมีประเด็นการหารือ ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) ตลาดแรงงานที่ยืดหยุ่นและมีพลวัต เช่น
ส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่น แก้ไขความเหลื่อมล้ำในตลาดแรงงาน และ ๒)
การตอบสนองต่องานในอนาคตผ่านนโยบายตลาดแรงงานเชิงรุก เช่น ปรับระบบอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมและนายจ้าง
จัดให้มีบริการจัดหางานที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงได้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าไม่ขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ไม่มีถ้อยคำและบริบทที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
609 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2568 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ ฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดย ๑) ร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา
ค.ศ. ๒๐๔๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีต่าง ๆ
ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรี
WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๔ การส่งเสริมขีดความสามารถภาคบริการของเอเปค
และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับสตรี และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย
เป็นต้น และ ๒) ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคที่สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการลงทุนเพื่อการพัฒนา
(ภาคผนวกของร่างแถลงการณ์ ) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำบทบาทของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ
การสนับสนุนให้สมาชิก WTO หาข้อยุติในการผนวกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเข้าไว้ในกรอบกฎหมายของ
WTO และการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดสามารถปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
รวมถึงให้สมาชิก WTO อื่น พิจารณาเข้าร่วมแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมากขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
จึงเข้าลักษณะ ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
610 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรมและสาขาวิชารัฐศาสตร์
และสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
611 | รายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ. 2566 และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคม ประจำปี พ.ศ. 2566 | กค. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานและความคุ้มค่าในการจัดประชารัฐสวัสดิการ ประจำปี พ.ศ.
๒๕๖๖
และรายงานการสำรวจความพึงพอใจในการจัดประชารัฐสวัสดิการจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ได้รับบริการทางสังคมประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ ๑) รายงานการประเมินผลฯ
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๖ แบ่งเป็นด้านผลการดำเนินงาน ซึ่งผู้มีสิทธิตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๐
และปี ๒๕๖๑ ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้รับสวัสดิการมูลค่า
๒,๑๓๐/๒,๒๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน ในขณะที่จังหวัดอื่นได้รับ ๑,๖๓๐/๑,๗๓๐ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๖) และผู้มีสิทธิตามโครงการฯปี
๒๕๖๕ ได้รับสวัสดิการมูลค่า ๑,๔๙๒ บาทต่อคนต่อเดือน (ตั้งแต่
๑ เมษายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖)
และมีการปรับสวัสดิการให้กับผู้ผ่านคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี ๒๕๖๕ ใน ๓
สวัสดิการหลัก ได้แก่ วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จำนวน ๓๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน
วงเงินส่วนลดก๊าซหุงต้ม จำนวน ๘๐ บาทต่อคนต่อ ๓ เดือน
และวงเงินค่าโดยสารสาธารณะรวม ๗๕๐ บาทต่อคนต่อเดือน
ด้านความคุ้มค่าของการจัดประชารัฐสวัสดิการ ซึ่งการดำเนินการในปี ๒๕๖๖ มีผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าต้นทุนที่ใช้ในการจัดสวัสดิการอยู่ที่
๑๗,๑๔๗.๔๔ ล้านบาท และ ๒) รายงานการสำรวจความพึงพอใจฯ ประจำปี
๒๕๖๖ ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ๗๖ จังหวัด และในกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น
๑๑,๔๔๖ ราย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพอใจอยู่ในระดับมาก ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
612 | ร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. .... | รง. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ กำหนดเวลา
และอัตราการส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ
ให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรประชาสัมพันธ์การดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงนี้ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติเมื่อร่างกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรศึกษาการประมาณการรายจ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากจะมีการกำหนดสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ ของกองทุนฯ เพิ่มเติมในอนาคต รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการจัดหารายได้ของกองทุนฯ
ให้มีเสถียรภาพและเกิดความยั่งยืนในระยะยาว และควรประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการสมัครสมาชิกกองทุนฯ
โดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
613 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กองทุนยุติธรรม | ยธ. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ กองทุนยุติธรรม โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) ความสำเร็จของการดำเนินงานตามมาตรฐานระยะเวลางานบริการของกองทุนฯ
มีประชาชนเข้ามาขอรับความช่วยเหลือ จำนวนทั้งสิ้น ๕,๑๙๖ ราย ดำเนินการแล้วเสร็จได้ทั้งสิ้น ๔,๓๑๒ ราย
(๒) การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการกองทุนฯ เช่น การให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”
เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ จากภาครัฐได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว (๓)
ความสำเร็จในการช่วยเหลือประชาชน จำนวน ๒,๕๖๗ ราย
เป็นเงินจำนวน ๒๒๔.๑๓ ล้านบาท. (๔) ผลการดำเนินงานที่สำคัญตามภารกิจของกองทุนฯ
เช่น ช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี จำนวน ๒ คดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย
จำนวน ๒ คดี และการช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวน ๑ คดี (๕)
การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนประจำปีบัญชี ๒๕๖๗ มีคะแนนเฉลี่ยรวม ๔.๐๕
คะแนน (คะแนนเต็ม ๕ คะแนน) และ (๖) รายงานของกองทุนฯ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ สิ้นสุดวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
614 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 | มท. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ.
....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘) และยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ใช่อาคารอยู่อาศัยไม่เป็นการดัดแปลงอาคารที่ต้องยื่นขออนุญาตดัดแปลงอาคาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีการตัดข้อความ “โดยต้องมีผลการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งให้พนักงานท้องถิ่นทราบก่อนดำเนินการ”
ออก จากกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งความปลอดภัยในการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนอาคารเป็นสิ่งสำคัญ
ควรให้มีการตรวจสอบความแข็งแรงหรือต้องติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้หรือผ่านการอบรมแล้ว
รวมทั้งควรคำนึงถึงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่อาจส่งผลกระทบกับอาคารข้างเคียง
เช่น แสงอาทิตย์ความร้อน เป็นต้น
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน เห็นว่าการปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารให้ครอบคลุมอาคารประเภทอื่น
ๆ
จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน
ควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
615 | รายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยมีผลการดำเนินการของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น (๑) การรายงานผลการลงทะเบียนเป็นจิตอาสาพระราชทาน (กระทรวงมหาดไทย) โดยมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว ๗,๓๒๙,๐๐๕ คน (๒) การจัดกิจกรรมจิตอาสาของส่วนราชการต่าง ๆ (๑๙ หน่วยงาน) ประกอบด้วย จิตอาสาพัฒนา จิตอาสาภัยพิบัติ จิตอาสาเฉพาะกิจ และวิทยากรจิตอาสา ๙๐๔ มีการจัดกิจกรรม ๒๖,๐๓๔ ครั้ง (๓) การติดตามความก้าวหน้าโครงการในภารกิจของศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ โครงการพัฒนาพื้นที่สระบ่อดินขาว จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขาวง (ถ้ำมุนี) และโครงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
616 | สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดเหตุการณ์บ่อยครั้งขึ้น
ล่าสุดเหตุการณ์ลอบทำร้ายประชาชนในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน ๓ ราย
รวมถึงเด็กผู้หญิงอายุ ๙ ขวบด้วย ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงมหาดไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานความมั่นคงเพื่อเร่งดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยด่วน
ทั้งนี้ ขอให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลชีวิตความเป็นอยู่และสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
617 | แนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 | กก. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวภายใต้หัวข้อ
“Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”
และแจ้งผลการดำเนินงานให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทราบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน)
เร่งดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี มารองรับเป็นอันดับแรกก่อน
และสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการในปีต่อไป
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ตลอดจนประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักแก่ผู้ประกอบการถึงความสำคัญในการให้บริการภายใต้แนวคิด
Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาบริการด้านการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน
และสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
และจัดทำข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ของแผนงานโครงการ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินความคุ้มค่าและกำกับการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์การดำเนินงานที่กำหนดไว้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
618 | การทบทวนแนวทางการดำเนินงานในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวน | นร. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะผันผวนอันเนื่องมาจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้
(Reciprocal Tariff) ของประเทศมหาอำนาจ
ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ค้าด้วย ทำให้ธนาคารโลกและสถาบันต่าง ๆ
ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยจะต่ำกว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้
โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s (Moody’s
Investors Service) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น Negative
Outlook และผลของปัจจัยเชิงลบต่าง ๆ
จะส่งผลให้รายได้ของประชาชนในภาพรวมลดลง โดยเฉพาะรายได้จากภาคการส่งออกของประเทศที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
การจัดเก็บภาษีรายได้ของรัฐจะต่ำกว่าเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้รวมไปถึงแผนงานและโครงการต่าง
ๆ ของรัฐบาลที่ได้วางแผนไว้จำเป็นต้องพิจารณาทบทวนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าวและรายได้ของรัฐที่ลดลง
เช่น การใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
การดำเนินแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙
รวมทั้งจะต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
(Domestic Economy) ให้มากขึ้น เน้นการลงทุน
และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium Enterprises : SMEs) เพื่อให้ประเทศสามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำกับทุกท่านว่า “ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส”
และขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปได้ด้วย “ความสามัคคีของทุกคนในประเทศ”
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับเรื่องนี้ไปพิจารณารายละเอียดในคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจน
แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
619 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงใหม่ และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายคริสต็อฟ อีฟว์ มีแชล แฌ็สแต็ง) | กต. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายโธมาส์ โบด (Mr. Thomas Baude) กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงใหม่
ตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องจากเกษียณอายุ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
620 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศส ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (นายฟาบริส มาร์ตีนี) | กต. | 06/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายอาเล็กซ็องดร์
กาปอราลี (Mr. Alexandre Caporali)
กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ
|