ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 856 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 17101 - 17120 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17101 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความในคดีทุจริต | ยธ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการนับอายุความของคดีทุจริตตั้งแต่เมื่อปรากฏหลักฐานการทุจริตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาศึกษากรณีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความร่วมกับศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมบัญชีกลางแล้วมีความเห็นร่วมกันว่า จากการศึกษาหลักกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศเกี่ยวกับอายุความในคดีทุจริต ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และประเทศเนเธอร์แลนด์ ทุกประเทศได้กำหนดให้เริ่มนับอายุความนับแต่วันกระทำความผิดตามหลักความชัดเจนแน่นอนในการนับอายุความในคดีอาญา ข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมายเพื่อเริ่มนับอายุความนับแต่วันปรากฏหลักฐานการทุจริตจึงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากกระทบต่อสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาเกินสมควร และขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาอยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีหลักการขยายกำหนดอายุความในการฟ้องร้องความผิดฐานกระทำทุจริตบางฐานความผิดเป็น ๓๐ ปี ดังนั้น จึงเห็นควรยุติการศึกษาความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับอายุความคดีทุจริตตั้งแต่เมื่อปรากฏหลักฐานการทุจริต และส่งผลการศึกษาให้คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญารับไปประกอบการพิจารณาต่อไป ตามที่ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17102 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 2/2560 | นร11 | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ ๒. รับทราบความก้าวหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศที่สำคัญต่าง ๆ ได้แก่ การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการการเงินการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ ๓ . มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน ๕ มาตรการ ประกอบด้วย (๑) มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรมผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม (Start-up & Innovation) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (๒) มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (๓) โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ (๔) มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ผ่านโครงการ SMEs Transformation Loan และ (๕) โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน และมอบหมายให้สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคและแนวทางแก้ไขต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศทุก ๓ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17103 | รายงานการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์ | พม | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ (พลตรี สมแก้ว สิลาวง) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ หลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นการปรับปรุงบันทึกความเข้าใจฉบับเดิม มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความร่วมมือระดับทวิภาคีระหว่างกันในการต่อต้านการค้ามนุษย์ ครอบคลุม ๕ ด้านหลัก คือ (๑) การป้องกัน (๒) การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ (๓) ความร่วมมือในการปราบปรามการค้ามนุษย์ (๔) การส่งกลับ และ (๕) การคืนสู่สังคม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ปรึกษาเจรจากับผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมกัน โดยนำหลักการตามบันทึกความเข้าใจฯ มาเป็นแนวทางสำคัญในการกำหนดกิจกรรม/โครงการ ในโอกาสต่อไป ซึ่งแผนปฏิบัติการฯ จะเน้นให้เกิดการป้องกันตั้งแต่ประเทศต้นทาง โดยป้องกันกลุ่มเสี่ยงไม่ให้ถูกแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์ ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินกระบวนการส่งกลับและคืนสู่สังคมเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ย้อนกลับมาเป็นผู้เสียหายซ้ำอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17104 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง การสำรวจเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตยาจากพืชสมุนไพร และงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ | วท | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง การสำรวจเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตยาจากพืชสมุนไพร และงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เสนอ โดยมีผลการดำเนินงานสรุปได้ ดังนี้
๑. สวทช. ได้สำรวจเครื่องจักรกลการเกษตรที่ใช้ในกระบวนการปลูกพืชและแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งครอบคลุมทั้งพืชเศรษฐกิจ สมุนไพร และการเลี้ยงสัตว์ จาก ๑๒ หน่วยงาน รวมทั้งสิ้น ๑,๐๘๖ รายการ ประกอบด้วย ข้อมูลหน่วยงาน ประเภทเครื่องจักร การนำไปใช้ประโยชน์ คุณสมบัติของเครื่องจักร สถานภาพ สิ่งที่ต้องทำการปรับปรุง บริษัทเอกชนที่รับไปผลิตจำหน่าย ราคาที่จำหน่าย และผู้ประดิษฐ์ โดยได้จัดส่งรายละเอียดดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปแล้ว ๒. สวทช. ได้สำรวจสถานภาพงานวิจัยสมุนไพรและประเด็นปัญหาต่าง ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า มีงานวิจัยที่สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์หรือใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม จำนวน ๖๐ ผลงาน โดยเป็นงานวิจัยที่สามารถถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน ๘ ผลงาน สำหรับปัญหาสำคัญที่ทำให้งานวิจัยไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ (๑) ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลและการสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง (๒) ขาดกลไกการเชื่อมต่อการดำเนินงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ (๓) ขาดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพด้านการขนส่ง และ (๔) ขาดการสร้างความเชื่อมั่นและสร้างภาพลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในระดับนานาชาติ โดยได้จัดส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข (กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก) ด้วยแล้ว ๓. สวทช. ได้รวบรวมผลงานหรืองานวิจัยที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ ได้แก่ (๑) ผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ จำนวน ๑๕๐ ผลงาน (๒) รายชื่อบุคลากรของ สวทช. ที่ได้รับรางวัลผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากการแข่งขันระดับชาติและนานาชาติ จำนวน ๒๖๐ คน และ (๓) รายชื่อนักเรียนทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับรางวัลผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากการแข่งขันระดับชาติและนานาชาติ จำนวน ๕๒ คน ๔. สวทช. มีมาตรการในการสนับสนุนการต่อยอดผลงานวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เช่น โครงการสนับสนุนเร่งการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Research Gap Fund) คูปองนวัตกรรม โครงการพัฒนางานวิจัยสู่นวัตกรรม (Research for innovation : R4) และสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการวิจัย บัญชีนวัตกรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17105 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) (นายปริญญา แสงสุวรรณ และนายชาติชาย ช่วงชิง) | คค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายปริญญา แสงสุวรรณ ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านควบคุมการก่อสร้าง) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๐ ๒. นายชาติชาย ช่วงชิง ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านบำรุงรักษา) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๐
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17106 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นายเฉลิมชนม์ แน่นหนา) | ศธ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเฉลิมชนม์ แน่นหนา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านระบบการศึกษา (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17107 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับตามกรอบเวลาของกฎหมายกับทุกจังหวัดแล้ว และได้แต่งตั้งคณะทำงานอำนวยการขับเคลื่อนการทำงานของสภาเด็กและเยาวชน และขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำคู่มือแนวทางการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนแต่ละระดับ ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับ สำหรับการส่งเสริม สนับสนุนการทำกิจกรรมของเด็กและเยาวชนในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้มีการนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติเพื่อมีมติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ ได้เตรียมประชุมหารือร่วมกับกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการ หรือ Road Map ในการถ่ายโอนภารกิจสภาเด็กและเยาวชนภายใน ๕ ปี ไปอยู่ในกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17108 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวิทยา ยินดีเดช) | สธ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17109 | สถานการณ์ด้านแรงงานเดือนเมษายน 2560 และประมาณการไตรมาส 2 ปี 2560 | รง | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์ด้านแรงงานเดือนเมษายน ๒๕๖๐ และประมาณการไตรมาส ๒ ปี ๒๕๖๐ มีประเด็นสำคัญโดยสรุป ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การจ้างงาน ณ เดือนเมษายน ๒๕๖๐ อัตราการจ้างงานขยายตัวร้อยละ ๑.๘ (YoY) และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๑ (YoY) และประมาณการไตรมาส ๒ ปี ๒๕๖๐ อัตราการจ้างงานขยายตัวร้อยละ ๒.๑๔ (YoY) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส ๑ ในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑.๘ (YoY) ๑.๒ สถานการณ์การว่างงาน ณ เดือนเมษายน ๒๕๖๐ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑.๓ และประมาณการไตรมาส ๒ ปี ๒๕๖๐ มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๑๐ ๑.๓ สถานการณ์การเลิกจ้าง ณ เดือนเมษายน ๒๕๖๐ อัตราการเลิกจ้างลูกจ้างในระบบประกันสังคม มาตรา ๓๓ อยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๒ ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๐.๒๕ ๑.๔ ประเด็นแรงงานที่น่าสนใจ คือ แรงงานนอกระบบเป็นกำลังแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งไม่ได้รับการคุ้มครองในการทำงานและไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงาน กระทรวงแรงงานจึงได้มีแนวทางการช่วยเหลือแรงงานนอกระบบรวมถึงประชาชนผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ (๑) ระยะเร่งด่วน โดยการฝึกอาชีพให้แก่แรงงานนอกระบบที่ลงทะเบียนตามโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ และ (๒) ระยะยาว เช่น การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานนอกระบบ เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงแรงงานปรับปรุงรายงานสถานการณ์ด้านแรงงานให้มีความชัดเจน เหมาะสม และเป็นปัจจุบัน และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนให้ถูกต้องทั่วถึง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ด้านแรงงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17110 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยนา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยนา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยนา จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยนา ในท้องที่ตำบลวังชมภู อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำสำหรับกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นที่มิใช่การเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17111 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 50 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารจำนวน ๑๖ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองและลงนามในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๔-๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ที่กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน รวมทั้งการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาในกรอบต่าง ๆ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสาร ๑๕ ฉบับ ได้แก่ ๑.๒.๑ ร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ของการก่อตั้งอาเซียน ๑.๒.๒ ร่างแนวทางการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ ๑.๒.๓ ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียน-สหภาพยุโรป ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๒ ๑.๒.๔ ร่างแถลงการณ์ร่วมในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์อาเซียน-สหภาพยุโรป ๑.๒.๕ ร่างแถลงการณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปเรื่องความตกลงปารีส ๑.๒.๖ ร่างแผนดำเนินงานตามถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ว่าด้วยมิตรภาพและความร่วมมืออาเซียน-ญี่ปุ่น วิสัยทัศน์ร่วม อัตลักษณ์ร่วม อนาคตร่วม ฉบับปรับปรุง ๑.๒.๗ ร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๒๒ ๑.๒.๘ ร่างเอกสารแนวคิดต่อข้อเสนอในการจัดตั้งเครือข่ายนักวิชาการระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย ๑.๒.๙ ร่างเอกสารแนวทางการปฏิบัติตามแผนการดำเนินการตามรายงานของคณะผู้ทรงคุณวุฒิของอาเซียนและรัสเซีย ๑.๒.๑๐ ร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความพยายามร่วมกันในการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ๑.๒.๑๑ ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการและต่อต้านปัญหายาเสพติด ๑.๒.๑๒ ร่างแถลงการณ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ๑.๒.๑๓ ร่างเอกสารแนวคิดเรื่องการจัดตั้งการประชุมระหว่างปีกิจกรรมว่าด้วยความมั่นคงและการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๑.๒.๑๔ ร่างรายการกิจกรรมที่เป็นทางการ (Track 1) ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สำหรับช่วงปีกิจกรรมถัดไป ๑.๒.๑๕ ร่างกรอบความร่วมมือโครงการเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ของสถาบันฝึกอบรมนักการทูตอาเซียนบวกสาม : มุ่งสู่การพัฒนาหลักสูตรร่วมอาเซียนบวกสาม ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียน-จีน ระหว่างรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากเป็นกรณีผู้แทนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้แทนดังกล่าว ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์อาเซียน-จีน มีผลใช้บังคับในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกันระหว่างภาคี รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลใช้บังคับต่อไป ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17112 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กนพ. เสนอ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เอกชนเช่าที่ราชพัสดุที่ได้มาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗๔/๒๕๕๙ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษกาญจนบุรีและนครพนม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ชี้แจงทำความเข้าใจกับนักลงทุนเกี่ยวกับรายละเอียดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียม รวมทั้งเงื่อนไขในการเช่าให้ละเอียด ชัดเจน และครบถ้วน ๑.๒ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม ซึ่งให้ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเป็นเวลา ๒ ปี นับตั้งแต่วันจัดทำสัญญาเช่า และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณามาตรการเร่งรัดการลงทุนและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากขึ้น ๑.๓ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความสะดวกของการตรวจสอบเอกสารและพิธีการศุลกากรผ่านการควบคุมของเจ้าหน้าที่ ระบบ CIQ (Customs, Immigration and Quarantine) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งนำพื้นที่มาก่อสร้างด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ ๒ และเร่งเจรจากับมาเลเซียเพื่อกำหนดจุดผ่านแดน ณ ด่านสะเดาแห่งใหม่ ๑.๔ เห็นชอบการแก้ไขคำสั่ง กนพ. ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมปรับปรุงคำสั่งดังกล่าว และดำเนินการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศในการประชาสัมพันธ์เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑.๕ เห็นชอบแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ ประกอบด้วย ๓ กลไก คือ (๑) กำหนดแนวปฏิบัติในการประสานงานระหว่างอนุกรรมการภายใต้ กนพ. และกลไกระดับพื้นที่ (๒) ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระดับพื้นที่ติดตามและขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษในระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และ (๓) วางแนวทางการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๑๐ พื้นที่ และเชื่อมโยงกับหน่วยงานในส่วนกลาง ๑.๖ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้รับนโยบายและความเห็นของ กนพ. ไปประกอบการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านลงทุน (One Stop Service : OSS) และการแก้ไขปัญหากรณีภาระค่าใช้จ่าย (ค่าสาธารณูปโภค) ในศูนย์ OSS การเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว และการดำเนินโครงการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับจัดสรรงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๖๐ สามารถดำเนินการได้ตามแผน เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับกรณีที่กรมศุลกากรมีความต้องการอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่ออนุมัติกรอบอัตรากำลังนั้น มิใช่อำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.พ.ร. จึงขอแก้ไขเป็นสำนักงาน ก.พ. ไปดำเนินการ ๓. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม กนพ. ต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17113 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 | มท | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๐ และมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๔๔๖) เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ อาทิ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ใช้ไฟทุกประเภท และการนำค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องและค่าเฉลี่ยระยะเวลาที่กระแสไฟฟ้าขัดข้องมาเป็นตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานในการประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการศึกษาปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะแรกของโครงการฯ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานในระยะที่ ๒ ต่อไป และให้ กฟภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน นอกจากนี้ ควรนำผลการศึกษา “โครงการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพสูงตามนโยบายรัฐบาล : จังหวัดเชียงรายและนครพนม” มาประกอบการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า และควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการฯ ในระยะแรกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ได้ตรงตามเป้าหมายของโครงการฯ ที่ได้กำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ กฟภ. เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานและให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน โดยหากตรวจพบปัญหาหรือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่มีผลต่อการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ให้ กฟภ. เร่งพิจารณาดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17114 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 5,112 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา และสายบางใหญ่ - กาญจนบุรี ของกรมทางหลวง | คค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๑๑๒ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา จำนวน ๕๐๐ ล้านบาท ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๑,๘๔๒ ล้านบาท ให้เป็นไปตามอัตราที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. ๒๕๕๖ และตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนและทรัพย์สินที่ถูกเขตทางเพื่อส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาที่ได้ลงนามในสัญญาแล้ว และค่าก่อสร้างงานโยธาโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี จำนวน ๒,๗๗๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่างานล่วงหน้าร้อยละ ๑๕ ของค่าก่อสร้าง ๔ ช่วง ที่ขาดอยู่ และค่างวดงานตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการให้กรมทางหลวงปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แผนงานบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ รวม ๔ รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๘๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้กรมทางหลวงก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๒ แต่เนื่องจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทำให้ต้องชะลอโครงการ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ มอบหมายให้กรมทางหลวงไปพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวทางอื่นที่มีความเหมาะสม มีข้อมูลประกอบรอบด้าน และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ป่าและสัตว์ป่าน้อยที่สุด ไปตั้งจ่ายโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เพื่อเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน ๕๑๖ ล้านบาท และค่าก่อสร้างงานโยธา จำนวน ๕๖๔ ล้านบาท โดยปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย สำหรับแผนงานบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งพิจารณาทบทวนและศึกษาทางเลือกแนวเส้นทางดำเนินโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางสายหลักให้เป็น ๔ ช่องจราจร สายอำเภอหล่มสัก-อำเภอน้ำหนาว ตอนบ้านน้ำดุก-อำเภอคอนสาร จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ สำหรับกรณีกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรีอาจต้องปรับเพิ่มขึ้นนั้น เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามให้กรมทางหลวงเร่งดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งควรคำนึงถึงผลกระทบต่อความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดนครราชสีมา ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ ๓.๑ ให้กรมทางหลวงเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการสำรวจทรัพย์สินเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.๒ ในการเสนอขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ต่อคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงทบทวนผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนเดิมกับกรอบวงเงินลงทุนใหม่ และหากพบว่า ผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการภายใต้กรอบวงเงินลงทุนใหม่มีความคุ้มค่าน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแนวทางการบริหารโครงการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพหรือมีมาตรการเพิ่มความคุ้มค่าในการดำเนินโครงการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วย รวมทั้งให้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายงบประมาณในภาพรวมของทั้งโครงการ และชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่โครงการดังกล่าวจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย ๓.๓ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคตให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐในสังกัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17115 | ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) | ดศ | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของการลงทุนการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) และพิจารณากำหนดค่าบริการทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านให้มีความเหมาะสม รวมทั้งเร่งประสานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้มีการเข้ามาเชื่อมต่อโครงข่ายที่ประเทศไทยได้ดำเนินการไว้แล้ว และให้มีการประเมินผลการลงทุนเป็นระยะ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอเพิ่มเติมว่า กิจกรรมย่อยใด ๆ ภายใต้กิจกรรมที่ ๒ การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณแทนกันดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๓.๑ เร่งรัดการดำเนินกิจกรรมที่ ๒ กิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณที่กำหนดอย่างเคร่งครัด โดยให้จัดทำรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการ รวมทั้งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน และแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นระยะ ๆ ๓.๒ หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพย์สิน รวมทั้งการดำเนินงานอื่นที่เกี่ยวข้องตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยเฉพาะการกำหนดสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นอุปกรณ์ (ทรัพย์สินที่จับต้องได้) และทรัพย์สินที่เป็นสิทธิการใช้งานวงจร (ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ให้ชัดเจน ๓.๓ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานในสังกัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17116 | การปรับขยายขั้นค่าตอบแทนของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้เทียบเท่ากับเงินเดือนอาสาสมัครทหารพรานและอัตราค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการตามที่กระทรวงการคลังกำหนด | มท | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ปรับขยายขั้นค่าตอบแทนของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้เท่ากับค่าตอบแทนอาสาสมัครทหารพราน จากขั้นที่ ๑๓ เป็นเงิน ๘,๔๕๐ บาท ไปจนถึงขั้นที่ ๓๐ เป็นเงิน ๑๖,๖๕๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป สำหรับภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๓๐,๗๘๐,๖๘๐ บาท ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกาศใช้แล้วก่อน และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวและเงินช่วยเหลือสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในส่วนของค่าตอบแทนของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17117 | ร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กองทุนผู้สูงอายุมีอำนาจจัดเก็บเงินบำรุงกองทุนจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตในส่วนที่เกี่ยวกับสินค้าสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต ในอัตราร้อยละสองของภาษีที่เก็บจากสุราและยาสูบตามกฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต และจัดสรรให้เป็นรายได้ของกองทุนปีงบประมาณละไม่เกินสี่พันล้านบาท เพื่อให้กองทุนมีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดเพดานรายได้สูงสุดของกองทุนที่มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีสุราและยาสูบ และการศึกษาระดับความเหมาะสมของเงินอุดหนุนที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับจาก Earmarked Tax รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหาแนวทางบริหารจัดการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่เป็นภาระภาครัฐในอนาคต การเร่งพัฒนาศักยภาพควบคู่กับส่งเสริมการมีงานทำและจูงใจให้ผู้สูงอายุเห็นความสำคัญของการทำงานแทนการรับสวัสดิการจากรัฐ การใช้ระดับรายได้เป็นเกณฑ์ในการจัดสรรเงินสงเคราะห์เพิ่มเติมแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ควรพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ เพิ่มเติม ควบคู่กับการใช้เกณฑ์ทางรายได้ เช่น รูปแบบครอบครัว รวมถึงพิจารณาแนวทางความร่วมมือรูปแบบใหม่ ๆ เช่น ความร่วมมือที่เน้นผลลัพธ์เพื่อสังคม (Social Impact Partnership) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุนเพื่อสังคมที่เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอกชนและภาคสังคมเข้ามาร่วมดำเนินการกับภาครัฐในการยกระดับสวัสดิการและบริการทางสังคมให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลังยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) ซึ่งอนุมัติเป็นหลักการว่าการเสนอร่างกฎหมายในเรื่องใดไม่ให้มีบทบัญญัติกำหนดให้จัดเก็บรายได้จากผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมายเกี่ยวกับสุราและยาสูบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17118 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... | นร09 | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และกลไกในการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวมให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเข้มงวด และเป็นการสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๖๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบสาระสำคัญ และกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17119 | บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กต | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบความร่วมมือและความรับผิดชอบในการดำเนินโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความพร้อมในการเปิดสอนระดับปริญญาตรี โดยคาดว่าจะให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในโอกาสที่มีการประชุมความร่วมมือทางวิชาการไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างกรมเอเชีย แปซิฟิก และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวกับกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนสำหรับการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๓๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบเงินอุดหนุน รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17120 | ร่างยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 01/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคุ้มครองเด็กแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การเสริมพลังบุคคลในสังคมแวดล้อมเด็กให้มีความสามารถในการปกป้องคุ้มครองเด็ก (๒) การเพิ่มพูนขีดความสามารถของผู้ประกอบวิชาชีพและบูรณาการการทำงานร่วมกันของทีมสหวิชาชีพเพื่อปกป้องคุ้มครองเด็ก (๓) การระดมสรรพกำลังและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายจิตอาสาภาคสังคมในการปกป้องคุ้มครองเด็ก (๔) การยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการจัดบริการที่สอดคล้องต่อสภาพปัญหาและความต้องการต่อเนื่องเป็นระบบและครบวงจร (๕) การพัฒนาระบบและกลไกการบริหารจัดการเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน การกำกับติดตามและประเมินผล การถ่ายทอดและจัดการองค์ความรู้ และ (๖) การสร้างความร่วมมือและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศในการปกป้องคุ้มครองเด็ก และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่ควรกำหนดให้จัดทำยุทธศาสตร์ระดับจังหวัดขึ้นอีก และเมื่อกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติมีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็กแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ ในขั้นของการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวควรบูรณาการร่วมกับงานด้านการคุ้มครองเด็กที่อยู่ภายใต้ร่างแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
.....