ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1492 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29821 - 29840 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29821 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๕๑/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา โดยมีประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เป็นประธานกรรมการ และผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยานของประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนครราชสีมา วิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน ติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยาน กำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จัดทำแผนยุทธศาสตร์และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงาน เพื่อดำเนินงานหรือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
|
||||||||||||||||||
| 29822 | การขยายปริมาณและกรอบการใช้เงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม | พณ | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ปรับปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ (กรณีพิเศษ) เพิ่มเติม จากเดิมจำนวน ๑๖.๖๑๓ ล้านตัน ลงเหลือจำนวน ๑๔.๗๐ ล้านตัน (ปรับเพิ่มเติมจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ๑๓.๓๑ ล้านตัน อีกจำนวน ๑.๓๙ ล้านตัน) กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการรับจำนำของภาคอื่น ๆ ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ส่วนภาคใต้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ สำหรับวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำในครั้งนี้ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ใช้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) อนุมัติไปแล้ว จำนวน ๒๖๙,๑๖๐ ล้านบาท และไม่เกินกรอบวงเงินจำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕) อนุมัติไว้ และให้กระทรวงพาณิชย์นำเงินที่ได้จากการระบายข้าวไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับจำนำด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนเงินและค่าบริหารโครงการ) ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้หลักเกณฑ์เดิมเช่นเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
| 29823 | การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรกรและผู้สนใจโดยทั่วไปได้รับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงและถูกต้องตรงกัน นั้น โดยที่โครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็นโครงการที่รัฐบาลมุ่งดำเนินการเพื่อช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ดังนั้นเพื่อให้ประชาชน สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบข้อเท็จจริงและเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกของกระทรวงเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยด่วน ๒. กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาเชิญนักวิชาการและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเข้าร่วมการชี้แจงด้วย
|
||||||||||||||||||
| 29824 | เงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานของรัฐที่จ่ายจากกองทุนต่าง ๆ | นร05 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อเสนอของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ที่เสนอว่า จากการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรมีการพิจารณาเกี่ยวกับเงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานของรัฐที่จ่ายจากกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานของรัฐในระดับล่างให้ได้รับเงินเดือนและค่าจ้างให้เหมาะสมและเป็นบรรทัดฐานเดียวกับข้าราชการที่มีคุณวุฒิ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในระดับเดียวกัน ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 29825 | ผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลและหารือแนวทางที่จะดำเนินงานในระยะต่อไป ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการปฏิบัติงานของภาครัฐ ควรยึดหลักการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและวาระสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องบูรณาการร่วมกันให้ชัดเจน เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงงานไปสู่การปฏิบัติทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รวมทั้งรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ในด้านบุคลากรภาครัฐ ระบบราชการในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังที่มีศักยภาพอยู่มาก ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาภาพรวมของบุคลากรภาครัฐ โดยรวบรวมความต้องการบุคลากรของทุกหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งการวางระบบการคัดเลือก พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างบุคลากรรุ่นเก่าที่จะเกษียณอายุออกไปจำนวนมากและอาจขาดแคลนอัตรากำลังคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ โดยให้สอดคล้องกับภาพรวมของประชากรไทยที่มีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น ๓. ในส่วนของกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติราชการ ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัย คล่องตัว และรองรับการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในระหว่างหน่วยงานของรัฐให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 29826 | รายงานสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์น้ำ | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยรายงานสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ซึ่งคาดว่า ในฤดูฝนปีนี้จะไม่มีพายุขนาดใหญ่ หากจะมีอาจเกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้น ซึ่งได้เตรียมการจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วมฉับพลัน (fast flood) ในพื้นที่ภาคใต้ไว้แล้ว และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) จะจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้รัฐมนตรีทุกท่านเพื่อใช้ประกอบการลงพื้นที่ภาคใต้ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในสัปดาห์หน้าด้วย ทั้งนี้ การพยากรณ์สภาพภูมิอากาศในปัจจุบันจะมีความแม่นยำกว่าเดิม เนื่องจากได้มีการนำเครื่องมือชุดใหม่มาใช้ในการดำเนินการ โดยในส่วนของ กบอ. ได้มีการเตรียมการจัดทำแผนการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ใหม่ให้เหมาะสม รวมทั้งได้นำเอาระบบส่งน้ำทางท่อสำหรับพื้นที่ประมาณ ๑,๐๐๐-๓,๐๐๐ ไร่ มาใช้ด้วย และให้ กบอ. ประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Single Command เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหรือภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป รวมตลอดถึงการเตรียมการจัดทำฝนหลวงให้พร้อมดำเนินการได้ทันทีที่สภาพอากาศในพื้นที่มีความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ดูแล ประชาชนในกรณีประสบภาวะภัยแล้ง เพื่อให้มีน้ำใช้เพื่อการเกษตรและการอุปโภค บริโภค ได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมพอเพียงต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับ กบอ. เพื่อนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปประกอบการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูและบูรณะแหล่งน้ำให้เหมาะสม
|
||||||||||||||||||
| 29827 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ข้อมูลการบริหารสิทธิ” “มาตรการทางเทคโนโลยี” และ “การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” ๒. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์กรณีการจำหน่ายต้นฉบับหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ ๓. เพิ่มข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงกรณีการทำซ้ำที่จำเป็นในระบบคอมพิวเตอร์ และกรณีละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงโดยผู้ให้บริการซึ่งมิใช่ผู้ควบคุม ริเริ่ม หรือสั่งการให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ๔. เพิ่มสิทธิของนักแสดงในการแสดงว่าตนเป็นนักแสดงและสิทธิที่จะห้ามผู้รับโอนสิทธิหรือบุคคลอื่นกระทำต่อการแสดงอันทำให้นักแสดงเสียหายต่อชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ ๕. เพิ่มการคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี การฟ้องคดี บทกำหนดโทษเกี่ยวกับการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิและมาตรการทางเทคโนโลยี และการเปรียบเทียบคดี ๖. กำหนดให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงจ่ายค่าเสียหายเพิ่มขึ้นไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายในกรณีที่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือมีเจตนาให้งานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงสามารถเข้าถึงโดยสาธารณชนได้อย่างแพร่หลาย ๗. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจศาลในคดีอาญาให้มีอำนาจสั่งริบสิ่งที่ได้ทำขึ้นหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงและสิ่งที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดหรืออาจสั่งให้ทำให้สิ่งนั้นใช้ไม่ได้หรือจะสั่งทำลายสิ่งนั้นก็ได้
|
||||||||||||||||||
| 29828 | ขออนุมัติการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | กต | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดตั้งกลไกคณะกรรมการร่วม ๓ ระดับ เพื่อเป็นการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ว่าด้วยการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ๑.๑.๑.๑ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint High-level Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JHC) เป็นกลไกระดับนโยบาย มีหน้าที่ประสานนโยบายเพื่อผลักดันความคืบหน้าและการดำเนินตามบันทึกความเข้าใจฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนา Southern Economic Corridor (SEC) ๑.๑.๑.๒ คณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (Myanmar-Thailand Joint Coordinating Committee for the Comprehensive Development in the Dawei SEZ and Its Related Project Areas-JCC) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของ JHC พิจารณายุทธศาสตร์ความร่วมมือ ติดตามการพัฒนาโครงการในภาพรวม และประสานงานการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ รวมทั้งประสานงานการดำเนินการของแต่ละคณะอนุกรรมการและระหว่างคณะอนุกรรมการย่อย ๖ สาขา ติดตามประเมินผลความคืบหน้าการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ และภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจาก JHC ๑.๑.๑.๓ คณะอนุกรรมการ (Sub-Committees) ใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง สาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ พลังงาน การพัฒนาชุมชน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการเงิน ๑.๑.๒ ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ จะมีผลใช้บังคับเมื่อมีการแลกเปลี่ยนหนังสือระหว่างกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ๑.๓ ให้มีคำสั่งจัดตั้งองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องในส่วนของฝ่ายไทย และจัดการประชุมองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมฯ ฝ่ายไทยในโอกาสแรก เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมร่วมกับผู้แทนจากฝ่ายเมียนมาร์ต่อไป ๑.๔ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม ซึ่งรวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบโดยไม่กระทบสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กำหนดและเปลี่ยนแปลงผู้เป็นประธานร่วมฝ่ายไทยในคณะกรรมการต่าง ๆ จากเดิมที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ได้แก่ คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย และคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์ฯ มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานร่วมฝ่ายไทย โดยให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการในคณะกรรมการประสานงานฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการและเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถจัดการประชุมร่วมกับฝ่ายเมียนมาร์ได้โดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
| 29829 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณี ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร อุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๑๐๘/๒๕๕๕ ระหว่าง ว่าที่พันตรี นิพนธ์ ซิ้มประยูร ผู้ฟ้องคดี กับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (อุทธรณ์คำพิพากษา) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่ให้ยกคำฟ้องของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดี
|
||||||||||||||||||
| 29830 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งประกอบด้วย ๓ แผนย่อย ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงินในประเทศ ๙๔๓,๙๓๖.๑๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๕,๔๕๕.๗๗ ล้านบาท รวม ๙๕๙,๓๙๑.๘๗ ล้านบาท แผนการปรับโครงสร้างหนี้ วงเงินในประเทศ ๗๐๓,๓๙๔.๕๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๓๔,๒๐๘.๔๐ ล้านบาท รวม ๗๓๗,๖๐๒.๙๐ ล้านบาท และแผนการบริหารความเสี่ยง วงเงินในประเทศ ๔๗,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท วงเงินต่างประเทศ ๑๗๖,๐๓๘.๓๘ ล้านบาท รวม ๒๒๓,๑๓๘.๓๘ ล้านบาท และรับทราบแผนการบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ วงเงิน ๑๒๗,๘๘๕.๒๑ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาล การกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินและการค้ำประกันในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แต่หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรรายงานผลการดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การกำกับดูแลส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะดังกล่าว เพื่อให้การใช้เงินกู้ตามแผนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ในการกู้เงินให้ความสำคัญกับการกู้เงินในประเทศมากกว่าการกู้เงินจากต่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของสกุลเงินตราต่างประเทศและปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังจะค้ำประกันและให้กู้ต่อ โดยเป็นเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตามนโยบายรัฐบาลและเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ วงเงิน ๑๖๐,๐๐๐ ล้านบาท อาจจะต้องมีการปรับปรุงวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร ที่จำเป็นต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ อีกครั้งหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 29831 | กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2556 [คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนไปประชุม ครั้งที่ 41/2555 วันที่ 9 ตุลาคม 2555 และให้นำเอกสารงบประมาณของรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2556 จำนวน 4 เล่ม ซึ่งเป็นเอกสารประกอบระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 39/2555 (เพิ่มเติม ครั้งที่ 2) เรื่องที่ 14 มาใช้ในการประชุมฯ ครั้งนี้] | นร11 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๗๙,๗๘๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ร้อยละ ๑๓.๕ โดยสามารถจัดหาเงินสดเพื่อใช้ลงทุนได้ประมาณ ๒๑๕,๒๔๙ ล้านบาท และรับทราบประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ของรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิรวม ๒๒๒,๓๒๒ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๔,๑๐๗ ล้านบาท และการเบิกจ่ายลงทุนรวม ๒,๓๐๕,๔๒๖ ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณปีละ ๗๖๘,๔๗๕ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบกรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๖๓๗,๑๑๑ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๒.๑ การลงทุนโครงการต่อเนื่องที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้วและงานตามภารกิจปกติ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๙๔๖,๕๓๓ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๕๗,๑๑๑ ล้านบาท ๑.๒.๒ การลงทุนที่ขอเพิ่มเติมระหว่างปี (การเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติ) วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี โดยให้ สศช. ปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีได้ เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ และมอบคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปีดังกล่าว สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้ ให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนตามเป้าหมายร้อยละ ๙๕ ของวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒.๓ ให้กระทรวงเจ้าสังกัดรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายระดับกระทรวงและระดับองค์กรไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ สศช. ทราบภายในทุกวันที่ ๕ ของเดือนอย่างเคร่งครัด และรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ เห็นชอบในหลักการให้ สศช. ปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการอนุมัติโครงการของคณะรัฐมนตรี ๒. ให้ สศช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นรายงานเดียวที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้ง สศช. และกระทรวงการคลัง การกำหนดให้การเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานของกระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ การให้กระทรวงเจ้าสังกัดจัดทำกรอบนโยบายและแผนงานโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ เพื่อประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้ทุกรัฐวิสาหกิจรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายลงทุนไปยัง สศช. ทุกเดือนภายในวันที่ สศช. กำหนด และให้ สศช. ประมวลข้อมูลของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมทั้งหมดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทุก ๓ เดือน ๓. ในกรณีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินเบิกจ่ายลงทุนจำนวนมาก โดยมีโครงการจัดหาเครื่องบินปี ๒๕๕๔-๒๕๖๕ จำนวน ๗๕ ลำ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๕๗,๑๒๗ ล้านบาท (ประกอบด้วยโครงการจัดหาเครื่องบินระยะแรก ปี ๒๕๕๔-๒๕๖๐ จำนวน ๓๗ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๑๖,๐๗๕ ล้านบาท และโครงการจัดหาเครื่องบินระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ วงเงินลงทุนรวม ๒๔๑,๐๕๒ ล้านบาท) นั้น โดยที่สภาวะเศรษฐกิจและสภาพการแข่งขันในธุรกิจการบิน รวมทั้งสถานะทางการเงินของ บกท. ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบต่อแผนการลงทุนของ บกท. อย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงคมนาคม โดย บกท. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง โครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] อย่างเคร่งครัด โดยนำโครงการจัดหาเครื่องบิน ระยะที่สอง ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ จำนวน ๓๘ ลำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
| 29832 | ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์ | กต | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการดำเนินการเพื่อให้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์มีผลใช้บังคับตามแนวทางที่ระบุไว้ในความตกลงฯ คือ การจัดทำสัตยาบันสารหรือหนังสือแจ้งฝ่ายกาตาร์ทราบว่าฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของตนแล้ว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29833 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ 9 และครั้งที่ 10 | ศธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ครั้งที่ ๙ ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๑๐ ณ วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สรุปการดำเนินงานก่อสร้างในส่วนของอาคารชั้นใต้ดินและอาคารโรงพยาบาล อาคารศูนย์วิจัย อาคารสถานีไฟฟ้าย่อย งานภายนอกอาคารและงานภูมิสถาปัตยกรรม โดยรายงานฯ ครั้งที่ ๙ ผลการดำเนินงานถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๑๕ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ และรายงานฯ ครั้งที่ ๑๐ ผลการดำเนินงานถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๑๓ ของงานก่อสร้างทั้งโครงการ ๒. จำนวนเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐.๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณแผ่นดิน รวม ๒,๔๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๖๗,๑๒๓,๑๔๑.๑๑ บาท ๓. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ และแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ งานก่อสร้างได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในบริเวณเขตพื้นที่อุตสาหกรรม เขตพื้นที่ที่ใช้เส้นทางการขนส่งวัสดุ และเขตพื้นที่ที่พักอาศัยของแรงงาน ซึ่งผู้รับจ้างจะเร่งงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาสัญญา โดยเร่งการขนส่งวัสดุ การเพิ่มแรงงาน ๔. ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ สัญญาก่อสร้างสิ้นสุดวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (ขยายสัญญา) ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาสัญญาต่อไปอีกถึงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ และขอสงวนสิทธิขยายระยะเวลาสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) ทั้งนี้ ทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้มีหนังสือขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
||||||||||||||||||
| 29834 | ข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง | พม | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอ แนวทาง มาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และแนวทางการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ในรูปแบบแรงงานประมง ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ ๓ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับตัวเรือ บุคคลบนเรือ ให้สอดคล้องกับวิธีการทำประมงของไทย ได้แก่ การปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๒ และข้อ ๔ การปรับปรุงพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๒๘๕-๒๙๐ ว่าด้วยการจ้างและเลิกจ้างคนทำงานบนเรือ การปรับปรุงตำแหน่งหน้าที่และเอกสารรับรองคุณสมบัติคนบนเรือให้สอดคล้องกับศักยภาพขั้นต่ำและประสบการณ์ของแรงงานไทย และการปรับปรุงวิธีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ตามเงื่อนไขของบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) และคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าว ๑.๑.๒ การบังคับใช้กฎระเบียบและการตรวจสอบ ได้แก่ การดำเนินคดีกับสาย/นายหน้าที่หลอกลวงคนหางาน ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ การควบคุมเรือเข้า-ออกท่า การจัดระเบียบเรือประมงเข้าระบบอย่างถูกต้อง ทั้งตัวเรือ และตัวบุคคลบนเรือ การตรวจสอบเรือประมง คนทำงานบนเรือ และอุปกรณ์การทำงาน ให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎระเบียบต่าง ๆ การติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง การสร้างความเข้าใจในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้กับผู้เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รูปแบบแรงงานประมง และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อต้านและเฝ้าระวังการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลักดันแรงงานอพยพไปทำงานในประเทศปลายทาง ๑.๑.๓ การแก้ไขการขาดแคลนแรงงานและการบังคับใช้แรงงานที่นำไปสู่การค้ามนุษย์ ได้แก่ การทบทวนและปรับปรุงบันทึกความเข้าใจทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) เกี่ยวกับขั้นตอน ค่าธรรมเนียม และการเตรียมความพร้อมในการทำงานตามลักษณะ/สภาพงาน เพื่อให้สามารถรองรับแรงงานย้ายถิ่น การสร้างมาตรฐานลักษณะการปฏิบัติงานและการดำรงชีวิตบนเรือ/ในโรงงานอุตสาหกรรม การส่งเสริมให้มีการใช้จรรยาบรรณของผู้ประกอบการภาคประมง การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างเทคโนโลยีลดจำนวนการใช้แรงงานบนเรือ และการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เป็นโครงการนำร่อง ๗ ศูนย์ (ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง ตราด ชุมพร สงขลา ระนอง และสตูล) ที่จะนำแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้ทำงานเฉพาะกิจการบนเรือประมงเท่านั้น โดยมีระบบการควบคุม ตรวจสอบ คุ้มครองแรงงาน ให้ความรู้เรื่องสิทธิที่พึงจะได้รับแก่นายจ้างและลูกจ้าง จัดทำข้อตกลงการจ้างที่ชัดเจน ฯลฯ ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมเจ้าท่า กรมการจัดหางาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์) สำนักงานอัยการสูงสุด กองทัพเรือ กรมประมง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามข้อเสนอ แนวทาง มาตรการดังกล่าว และดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานแรงงานประมง เพื่อสกัดกั้นและขจัดขบวนการการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะของที่ประชุมคณะกรรมการฯ ไปประกอบการดำเนินงานด้วย ๑.๓ รายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้าให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทราบภายใน ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินงานของกรมเจ้าท่า โดยการจัดหลักสูตรสำหรับผู้ควบคุมเรือกลประมงโดยเฉพาะให้สามารถสอบประเมินความรู้เพื่อรับประกาศนียบัตรตามข้อบังคับกรมเจ้าท่าว่าด้วยการสอบความรู้ผู้ทำการในเรือ พ.ศ. ๒๕๓๒ รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อให้เรือประมงทะเล โดยเฉพาะเรือประมงทะเลลึกที่มีเขตการเดินเรือไปต่างประเทศมาทำสัญญาคนประจำเรือกับกรมเจ้าท่า เพื่อช่วยในการตรวจสอบติดตามข้อมูลของคนประจำเรือ ซึ่งมาตรการดังกล่าวควรมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ดำเนินการได้จริง และเกิดผลในทางปฏิบัติ สำหรับการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้ในการบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมง โดยการใช้เทคโนโลยี Global Positioning System (GPS) ร่วมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากในบางพื้นที่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจไม่ครอบคลุม ควรมีการสนับสนุนให้เกิดการขยายบริการของเครือข่ายดังกล่าวให้ครอบคลุมในอนาคต เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งหรือพัฒนาระบบเพื่อใช้การบอกตำแหน่งเรือ/ติดตามเรือประมงได้อย่างเต็มที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 29835 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรางสาลี่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 29836 | ขออนุมัติกู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในปีงบประมาณ 2556 วงเงิน 5,600 ล้านบาท โดยการกู้ Roll-Over | คค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กู้เงินในประเทศเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ของ กทพ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๕,๖๐๐ ล้านบาท โดยการกู้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (Roll-Over) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้ กทพ. เป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้เองทั้งหมด
|
||||||||||||||||||
| 29837 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อม ในปีงบประมาณ 2556 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงินเพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันและค่าเหมาซ่อมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินวงเงิน ๕,๔๐๒.๘๐๘ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ปรับยอดวงเงินกู้ตามที่ ขสมก. ต้องจ่ายจริง กำหนดเงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็น โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาปรับยอดวงเงินกู้ร่วมกับ ขสมก. ก่อนการกู้เงิน เนื่องจากการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชนของ ขสมก. และการได้รับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย โดยมีส่วนของค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมสำหรับรถโดยสารธรรมดาประกอบอยู่ด้วย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเร่งผลักดันแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อบริหารจัดการหนี้และปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการให้สามารถลดภาระหนี้ที่จะเกิดเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตโดยเฉพาะหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งปรับปรุงการบริหารจัดการด้านการเงิน และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 29838 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... | นร09 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตให้ส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า ทั้งนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 29839 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางศุภลักษณ์ รายยวา) | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางศุภลักษณ์ รายยวา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29840 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่าง ไทยกับสาธารณรัฐชิลี | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี และความตกลงความร่วมมือด้านวิชาการของมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรสาธารณรัฐชิลี สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการของมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชฯ ๑.๑ ภาคีคู่สัญญาจะร่วมกันดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชของทั้ง ๒ ประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคศัตรูพืชและสัตว์พาหะ ตลอดจนสนับสนุนอำนวยความสะดวกระหว่างกัน ๑.๒ กิจกรรมที่จะดำเนินการจะครอบคลุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการ และข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแลกเปลี่ยนผู้แทนเพื่อร่วมประชุม สัมมนา ฝึกอบรมตลอดจนการแจ้งเตือนภาคีคู่สัญญากรณีการเกิดการแพร่ระบาดของโรค และมาตรการในการควบคุมโรค ศัตรูพืชและสัตว์พาหะ รวมทั้งความร่วมมืออื่น ๆ ๑.๓ มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วม และแต่งตั้งหน่วยประสานงาน โดยหน่วยงานรับผิดชอบฝ่ายไทย คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฝ่ายชิลี คือ กระทรวงเกษตร ๒. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรฯ ๒.๑ วัตถุประสงค์ ร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ซึ่งอาจมีการพิจารณาในอนาคต ๒.๒ ขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ การเกษตรซึ่งรวมทั้งสัตว์และพืช การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรและสถาบันภาคเกษตรกร การจัดการและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพด้านการเกษตร เป็นต้น ๒.๓ กำหนดให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านการเกษตร หรือเรียกว่า “JAWG” เพื่อการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมด้านการเกษตรจะรับผิดชอบในการประเมินผลโครงการ หรือเสนอโครงการเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงในอนาคต รวมทั้งให้คำแนะนำ ๒.๔ รูปแบบของความร่วมมือ ความร่วมมือจะอยู่ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิจัย การศึกษาและการจัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ การวิจัยร่วมด้านการเกษตร รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และทางวิชาการ เป็นต้น ๒.๕ การระงับข้อพิพาท ข้อพิพาทระหว่างคู่ภาคีที่เกิดจากการตีความหรือการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้ระงับโดยฉันท์มิตรด้วยการหารือหรือเจรจา ๒.๖ การมีผลบังคับใช้ และการสิ้นสุด บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับในวันที่มีการลงนาม และจะมีผลใช้บังคับนับจากวันที่มีการลงนามเป็นระยะเวลา ๕ ปี และหลังจากนั้นจะขยายอายุโดยอัตโนมัติอีกครั้งละ ๕ ปี แต่อาจสิ้นสุดโดยภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้า ๓ เดือน ก่อนบันทึกความเข้าใจฯ จะสิ้นสุด
|
||||||||||||||||||
.....
