ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1493 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29841 - 29860 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29841 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวที่คณะกรรมาธิการฯ แก้ไข ซึ่งวุฒิสภาเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ตั้งข้อสังเกต โดยแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้ "เนื่องจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวเนื่องกับนิคมอุตสาหกรรมตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลห้วยโป่ง และตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. ๒๕๒๗ มีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีที่ดินอยู่ในแนวเขตที่ต้องเวนคืนตามแผนที่ท้ายพระราชบัญญัติ ด้วยไม่ปรากฏรายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมายที่ต้องเวนคืนตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เจรจาเพื่อทำความตกลงขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากเจ้าของที่ดินแล้วแต่ไม่สามารถตกลงได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
|||||||||||||||||||||
| 29842 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิเป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๔๖๕.๒๕๖๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๔๓๙.๗๘๔๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๙ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๙๙,๗๕๘.๖๕๘๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๐๔ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๙ กระทรวง ที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๙ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ส่วนจังหวัดที่เหลือมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๗๐๒.๕๙๘๕ ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายของสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) จำนวน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาทบทวนค่าใช้จ่ายดังกล่าว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการเพิ่มเติมให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม ๒ โครงการ วงเงิน ๔๐.๒๖๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ สบอช. พิจารณาทบทวน วงเงิน ๑๖๔.๙๔๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการการเป็นเจ้าภาพร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีใต้ในการฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติปี ๒๕๕๖ ภายใต้กรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum-ARF) ของกระทรวงการต่างประเทศ วงเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการของสำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วงเงิน ๒๐.๒๖๓๕ ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินนำส่งคืนคงเหลือ จำนวน ๓๒๐.๑๓๐๗ ล้านบาท และวงเงินที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๓๘.๑๐๒๙ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท ๑.๔ สถานะเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๕๘.๒๓๓๖ ล้านบาท รวมกับวงเงินที่ส่วนราชการฯ อยู่ระหว่างขอรับจัดสรรจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๗๓๖.๑๔๘๘ ล้านบาท ดังนั้น สำนักงบประมาณจึงกันเงินไว้เพื่อเบิกเหลื่อมปี งบกลาง รายการดังกล่าว จำนวน ๑,๒๙๔.๓๘๒๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท และสำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 29843 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑. ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเพิ่มระยะเวลาการจัดทำและวิเคราะห์งบลงทุนในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ๑.๒ การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นการกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิบัติงานในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายหลักที่สำคัญของรัฐบาล และการเชื่อมโยงกับจังหวัดและท้องถิ่น เช่น นโยบายด้านการเกษตร การพัฒนาสังคม การจ้างแรงงาน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และการดำเนินการเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการลงทุน แผนการใช้จ่าย และแผนอัตรากำลังของแต่ละหน่วยงาน โดยให้นำผลการบูรณาการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 29844 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑.๑.๑ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาไม้แก้ว-ควนยิงวัว อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ๑.๑.๒ พื้นที่เขตอนุรักษ์พื้นที่ป่าภูคำบก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๑.๓ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าดอยม่อนฤาษี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๑.๔ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าชุมชนขุนน้ำวอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงฝั่งขวา บ้านม่วงยายเหนือ-ใต้ ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ๑.๑.๕ พื้นที่ป่าตำบลแม่ยวม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑.๒ แผนงานและแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ ๑.๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ๑.๒.๒ การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด ๑.๒.๓ การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ๑.๒.๔ การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๓ งบประมาณที่ใช้ตามแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ จำนวน ๕ แห่ง รวมวงเงินทั้งสิ้น ๗,๙๘๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายและระบุขอบเขตที่ชัดเจนที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดสมุนไพร การตรวจสอบรายชื่อชนิดของสมุนไพรทั้งชื่อพื้นเมืองและชื่อวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้องสมบูรณ์โดยระบุทั้งชื่อพื้นเมืองควบคู่ไปกับชื่อวิทยาศาสตร์ การติดตามผลในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนว่ามีชนิดและความหนาแน่นของสมุนไพรมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร การวางแผนระยะยาวหลังจากที่โครงการสิ้นสุดจะให้หน่วยงาน/องค์กร/ชุมชนใด เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบต่อไป การคัดเลือกพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัยโดยนำหลักการจำแนกพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าตามกฎหมายมาร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมาย การให้บุคลากรภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่ภาคการศึกษา รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มสมรรถนะและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้สามารถร่วมกันวางแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามแผนฯ นอกจากนี้ ควรเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการใช้สมุนไพรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ และมีการรณรงค์เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรไทยเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29845 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... | ตช | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดประเภทตำแหน่งและการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเพื่อให้การได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการตำรวจเป็นไปตามมาตรา ๖๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างมาตรา ๑๙ ที่บัญญัติให้ข้าราชการตำรวจที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระหว่างลาคลอดบุตร หรือลาเนื่องจากการคลอดบุตรของคู่สมรสได้ตามวันลาที่กำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ ซึ่งหากบัญญัติให้ข้าราชการตำรวจมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในลักษณะดังกล่าว ย่อมจะทำให้ข้าราชการตำรวจได้รับสิทธิในเงินประจำตำแหน่งเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่นซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระหว่างลาเนื่องจากการคลอดบุตรของคู่สมรส คงมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเฉพาะระหว่างลาคลอดบุตรและได้รับเงินประจำตำแหน่งระหว่างลาได้ไม่เกินเก้าสิบวัน จึงเห็นควรแก้ไขร่างมาตราดังกล่าวให้สอดคล้องกับข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งการกำหนดให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) และประเภทผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้นจากตำแหน่งที่กำหนดไว้เดิม ควรพิจารณาให้มีความสอดคล้องและเท่าเทียมกับข้าราชการประเภทอื่นที่มีลักษณะการปฏิบัติงานเช่นเดียวกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
| 29846 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomie Energy Agency : IAEA) ของประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ ๑.๑.๑ การฝึกอบรม Regional Training Course on the Quality Assurance (QA) in Radiotherapy ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/6/070 “Supporting Quality Assurance Team for Radiation Oncology (QUATRO) Training” (การสนับสนุนการฝึกอบรมสำหรับทีมประกันคุณภาพทางรังสีรักษา) ๑.๑.๒ การฝึกอบรม Interregional Training Course on Quality Management Audits in Nuclear Medicine Practices (QUANUM) Master’s Course : Train the Trainers ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๕-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบการดำเนินงานของโครงการความร่วมมือทางวิชาการของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ INT6056 [การสนับสนุนการตรวจสอบการจัดการคุณภาพในการปฏิบัติงานทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (ควอนนัม)] ๑.๑.๓ การฝึกอบรม Regional Training Course on Radiation Protection in Vascular Surgery ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/9/065 “Strengthening Radiation Protection of Patients in Medical Exposure” (การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันอันตรายจากรังสีในผู้ป่วยที่ได้รับปริมาณรังสีจากการรับบริการทางการแพทย์) ๑.๒ เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม และหากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรม ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมทั้ง ๓ รายการ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นด้านถ้อยคำในหนังสือ IAEA และร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพของฝ่ายไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29847 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29848 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังนี้
๑. ปรับปรุงบทกำหนดโทษกรณีความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกรณีผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ ไม่ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานตามมาตรา ๒๕ (๒) หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกตามมาตรา ๒๔ (๓) หรือ (๔) ๒. ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและพนักงานเจ้าหน้าที่ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก่อนหรือหลังที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สินตามมาตรา ๑๙ หรือก่อนที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามมาตรา ๒๒ ๔. ปรับปรุงระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีหรือถึงแก่ความตาย และให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน ๕. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้นำทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ออกขายทอดตลาดหรือไปใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการไปพลางก่อน ก่อนที่ทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ตกเป็นของกองทุน และการประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าเสียหายหรือค่าเสื่อมสภาพของทรัพย์สิน ๖. ให้ทรัพย์สินของกองทุนรวมถึงทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๐/๒ ๗. แก้ไขผู้รับรายงานงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุนจากคณะรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรี |
|||||||||||||||||||||
| 29849 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 เมษายน 2540 วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 เมษายน 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ) โดยผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมชลประทานได้ศึกษาโครงการตามหลักเกณฑ์การประเมินผลกระทบตามแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กันยายน ๒๕๕๑) โดยจำแนกเป็นกรณีที่มีโครงการ และไม่มีโครงการ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗ แผน และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๕ แผน ๑.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้ดำเนินการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกการสร้างนักวิจัยท้องถิ่น (อาสาสมัครนักวิจัยท้องถิ่น) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชนและที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นและผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ โดยมีการจัดประชุมร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่ในพื้นที่โครงการร้อยละ ๘๕.๔๕ มีแนวโน้มให้การยอมรับต่อการพัฒนาโครงการโปร่งขุนเพชร ๑.๓ ผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งโครงการตามผลการศึกษา ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ ๑๓.๕๖% มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ ๖๔.๖๖ ล้านบาท อัตราระหว่างผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ ๑.๑๑ ๑.๔ ราคาค่าก่อสร้าง (เฉพาะเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบโครงการโปร่งขุนเพชร) ๑.๔.๑ เดิมกรมชลประทานได้ทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามวัฒนาวิศวก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๐๐.๒๒๔ ล้านบาท ปัจจุบันห้างฯ ขอยกเลิกสัญญาโดยแจ้งว่าไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการก่อสร้างงานดังกล่าวโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น และกรมชลประทานได้อนุมัติยกเลิกสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และได้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญาให้แก่ห้างฯ ด้วยแล้ว ๑.๔.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้มีการทบทวนในเรื่องราคาค่าก่อสร้างฯ ของโครงการ แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีปรับแก้ราคาตามอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) คิดเป็นเงิน ๓๑๙ ล้านบาท และกรณีใช้เงื่อนไขสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) คิดเป็นเงิน ๓๔๓.๘๑๔ ล้านบาท ๑.๔.๓ ปัจจุบันกรมชลประทานได้พิจารณาปรับอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) ให้เป็นปัจจุบัน โดยมีราคาค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๖๓,๘๓๒,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เร่งทำความเข้าใจกับราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากราษฎรบางส่วนยังมีความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทำกินเดิมและจะต้องลงทุนประกอบอาชีพในที่ทำกินใหม่ และตระเตรียมแนวทางมาตรการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงค่าชดเชยให้พร้อมเพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งควรนำเรื่องการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ พร้อมรายละเอียดของโครงการและวงเงินการใช้จ่ายที่ขอรับการจัดสรรจากเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29850 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง ตำบลหนองบัว ตำบลบางบุตร ตำบลบ้านค่าย ตำบลชากบก ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง ตำบลหนองบัว ตำบลบางบุตร ตำบลบ้านค่าย ตำบลชากบก ตำบลตาขัน อำเภอบ้านค่าย และตำบลนาตาขวัญ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29851 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยเสนง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยเสนง จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยเสนง กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเฉนียงและตำบลนอกเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒๔.๓๐๐ ในท้องที่ตำบลคอโคและตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียบเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยกระดาษ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยกระดาษ จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำบ้านอำปึล กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒.๙๐๐ ในท้องที่ตำบลเทนมีย์ อำเภอมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยลำพอก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานห้วยลำพอก จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยลำพอก กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลยางและตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ถึงกิโลเมตรที่ ๒๖.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลเกาะแก้วและตำบลสำโรงทาบ อำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||
| 29852 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินกับหน่วยข่าวกรองทางการเงินประเทศมาดากัสการ์ | ปง | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) จัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแห่งราชอาณาจักรไทยกับหน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence Unit : SAMIFIN) แห่งสาธารณรัฐมาดากัสการ์ โดยให้ใช้ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวกับการฟอกเงินตามที่คณะรัฐมนตรี (๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓) ได้ให้ความเห็นชอบเป็นต้นแบบในการเจรจา ๑.๒ ให้เลขาธิการ ปปง. เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ๒. ให้สำนักงาน ปปง. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ โดยวิธีการแลกเปลี่ยนทางไปรษณีย์ สามารถทำได้ตามแนวปฏิบัติระหว่างประเทศหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29853 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดการปัญหา สารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สสป | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (โรงพยาบาลรามาธิบดี) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แผนงานพัฒนาวิทยาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการจำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรื่อง “การจัดการปัญหาสารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศให้มีการแสดงฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า “ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือประกาศให้ภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีสารบีพีเอเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาตรฐานบังคับ (FOOD CONTRACT CONTAINER) สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการใช้สารบีพีเอ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารบีพีเอ เฝ้าระวังความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงในทารก เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ฯลฯ ๑.๕ หน่วยงานภาครัฐควรรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ๒. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคม ๒.๑ ยกเลิกการผลิตและจำหน่ายขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับเด็กที่มีสารบีพีเอ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการสมัครใจดำเนินการปกป้องผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหาร ติดฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า” ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ๓. การสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน ๓.๑ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานวิชาการสนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภคจากสารบีพีเอ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุนการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวกับอันตรายจากสารบีพีเอ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรค
|
|||||||||||||||||||||
| 29854 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ 2555 ของไตรมาส 3 | ทก | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของไตรมาส ๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานด้านการใช้บริการ มีจำนวนการใช้บริการทั้งสิ้น ๑,๕๕๐,๖๓๐ ครั้ง เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส ๒ จำนวน ๓๔,๐๔๘ ครั้ง หรือคิดเป็นร้อยละ ๒.๒๕ โดยปริมาณสัดส่วนการให้บริการแยกตามประเภทเรียงจากมากที่สุด ได้แก่ บริการสอบถามข้อมูลทั่วไป (Q&A) ร้อยละ ๗๖.๙๕ บริการสอบถามข้อมูลเพื่อการติดต่อหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน (Contact Information) ร้อยละ ๑๕.๔๑ และบริการรับเรื่องร้องเรียน (Complain) ร้อยละ ๓.๘๑ ๒. ผลการดำเนินงานด้านคุณภาพบริการ ได้แก่ ๒.๑ การบริหารจัดการควบคุมคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไตรมาส ๓ มีจำนวนสายเรียกเข้าทั้งหมด ๑,๕๕๐,๖๓๐ ครั้ง สามารถให้บริการได้ ๑,๕๑๔,๗๓๓ ครั้ง สามารถให้บริการสำเร็จ ร้อยละ ๙๗.๖๘ สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ๒.๒ การพัฒนาคุณภาพพนักงานรับสาย เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และทักษะการให้บริการ โดยจัดอบรมหลักสูตรเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาการรับสายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒.๓ การสนับสนุนโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และส่วนงานภาครัฐ โดยเป็นช่องทางหนึ่งในการให้บริการข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์โครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี โดยผ่านเลขหมาย ๑๑๑๑ กด ๖ และโครงการจัดการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพา (One Tablet PC Per Child) ผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ กด ๘ นอกจากนี้ ได้ให้บริการข้อมูลโครงการอื่น ๆ ของรัฐบาล อาทิ โครงการโชห่วยช่วยชาติ โครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนผู้มีรายได้น้อย โครงการลดภาษีรถยนต์คันแรก รวมทั้งสนับสนุนการให้บริการและจัดกิจกรรมของส่วนงานภาครัฐอื่น ๆ อาทิ เป็นศูนย์บริการข้อมูลเกี่ยวกับการจัดงานฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเป็นช่องทางในการให้บริการของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ๒.๔ การจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสัมพันธ์กับประชาชน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์โครงการของภาครัฐผ่านทาง Social Network คือ Facebook และ Twitter
|
|||||||||||||||||||||
| 29855 | การจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อทำข้อตกลงโครงการความร่วมมือทางวิชาการไทย - ญี่ปุ่น | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อจัดทำข้อตกลงการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางวิชาการไทย-ญี่ปุ่น โดยหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ระบุแผนงานความร่วมมือทางวิชาการที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะทำร่วมกับรัฐบาลไทยในปีงบประมาณของญี่ปุ่น ค.ศ. ๒๐๑๒ (๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ประกอบด้วย โครงการความร่วมมือทางวิชาการ (Technical Cooperation Project) จำนวน ๒๐ โครงการ ผู้เชี่ยวชาญนอกโครงการ (Individual Expert) จำนวน ๕ สาขา ทุนฝึกอบรม ณ ประเทศญี่ปุ่น (Training Program in Japan) จำนวน ๘๓ หลักสูตร ทุนฝึกอบรมให้กับประเทศที่สามในประเทศไทย (Third Country Training Program) ภายใต้ความร่วมมือไตรภาคี จำนวน ๗ หลักสูตร ทุนสำหรับฝึกผู้นำเยาวชน (Training Program for Young Leaders) ภายใต้โครงการมิตรภาพเยาวชนไทย-ญี่ปุ่น (Youth Invitation) จำนวน ๔ หลักสูตร และโครงการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อวางแผนการพัฒนา (Technical Cooperation for Development Planning) จำนวน ๓ โครงการ ๑.๒ ให้ สพร. และหน่วยงานผู้ดำเนินโครงการ (Implementing Agencies) ลงนามในเอกสารย่อยสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้แผนงาน/กิจกรรม/โครงการที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนได้ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่จะมีส่วนในการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาแรงงานในภาคการผลิตและบริการที่มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนของไทยที่ได้ปรับตัวเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และโลกเพิ่มมากขึ้นภายใต้ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความเสรี โปร่งใส และทันสมัยมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 29856 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนครั้งที่ 44 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและประเทศ+๖ เห็นชอบเอกสารว่าด้วยหลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของการเจรจาการจัดทำภูมิภาคหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) (Guiding Principles and Objectives for Negotiating the Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP Guiding Principles) ซึ่งจะเสนอต่อผู้นำเพื่อพิจารณาประกาศเปิดเจรจา RCEP ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ พร้อมทั้งแจ้งยืนยันที่จะเข้าร่วมประกาศเปิดการเจรจา RCEP ร่วมกับอาเซียน และมอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจจัดทำแผนงานของการเจรจา RCEP โดยวางกรอบเวลาให้ดำเนินการเจรจาในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ รวมทั้งเร่งรัดให้ทุกฝ่ายร่วมมือจัดทำหลักการทั่วไปว่าด้วยการเจรจาการค้าสินค้าการค้าบริการและการลงทุนให้แล้วเสร็จในโอกาสแรกเพื่อให้ทุกประเทศสามารถประเมินทิศทางการจัดทำ RCEP ในภาพรวมสำหรับการพิจารณาขออนุมัติภายในประเทศเพื่อประกาศเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการ ๒. รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ให้การรับรองความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน (ASEAN Agreement on the Movement of Natural Persons) โดยมีกำหนดจะลงนามความตกลงฯ ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ส่วนการส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่ประชุมเห็นควรจัดการในระดับประเทศและคงความร่วมมือในระดับภูมิภาคในบางเรื่อง อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ รวมทั้งเห็นว่า ความร่วมมือด้าน SME ควรเป็นประเด็นสำคัญ (priority area) ในการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) เพื่อลดช่องว่างในการพัฒนาของอาเซียน และพิจารณาโดยคำนึงถึงกรอบแผนงานเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมของอาเซียน (The ASEAN Framework for Equitable Economic Development : AFEED) ๓. ที่ประชุมขอให้ไทย ลาว และกัมพูชา หารือในเรื่องมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหาข้อสรุปและรายงานผลภายในการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ๔. ที่ประชุมเน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินการ AFEED และเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค รวมทั้งเห็นว่ายังมีอุปสรรคที่ท้าทายหลายประการ อาทิ กลไกการดำเนินงานและเงินทุน จึงตกลงให้มีการวางแนวทางที่ครอบคลุมในการดำเนินการตาม AFEED และพิจารณาการจัดการหารือเรื่องนี้โดยเฉพาะต่อไป ๕. ความคืบหน้าในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๕.๑ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ให้การรับรองเอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ร่างแผนการดำเนินงานภายใต้ปฏิญญาร่วมระหว่างอาเซียนและแคนาดาด้านการค้าและการลงทุนปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ และร่างแผนงานความร่วมมืออาเซียน-รัสเซียด้านการค้าและการลงทุน โดยแผนงานฯ ทั้งสองฉบับจะใช้เป็นกรอบและทิศทางการดำเนินความร่วมมือในการขยายความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ ๕.๒ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและจีนเห็นชอบให้จัด AEM Road Show ไปยังประเทศจีน โดยมอบหมายให้ไทยในฐานะประธานฝ่ายอาเซียนประสานในรายละเอียดกับจีน นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและจีนจะมีการลงนามพิธีสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ พิธีสารฉบับที่ ๓ เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน-จีน และพิธีสารเพื่อผนวกข้อบทด้านอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (TBT) และข้อบทด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (SPS) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงด้านการค้าสินค้า สำหรับประเด็นที่ฮ่องกงสนใจเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน อาเซียนตกลงให้แต่ละประเทศพิจารณาประเมินผลกระทบอย่างละเอียดเพื่อประกอบการจัดทำข้อเสนอแนะต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ ๑๙ ในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๓ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและญี่ปุ่นได้รับรองแผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น ระยะ ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕) โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันเป็นสองเท่าภายใน ๑๐ ปี ๕.๔ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและอินเดียพยายามจะหาข้อสรุปการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนให้ได้โดยเร็วเพื่อที่จะสามารถแถลงการณ์สรุปการเจรจาได้ในระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ ๒๑ โดยอาเซียนจะเสนอให้อินเดียพิจารณาข้อเสนอใหม่ของอาเซียนในเรื่องการเปิดเสรีการค้าบริการและการเงิน |
|||||||||||||||||||||
| 29857 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (ครั้งที่ 6) | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) (ครั้งที่ ๖) สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการชำระบัญชีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้มีการจัดทำงบดุล ๓ ครั้ง เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓, ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๔ และ ๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ สำหรับสถานะงบดุล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมสินทรัพย์ ๓๒๘.๑๕ ล้านบาท รวมหนี้สิน ๐.๐๑ ล้านบาท รวมส่วนของผู้ถือหุ้น ๓๒๘.๑๔ ล้านบาท โดยได้มีการรายงานการชำระบัญชีต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จำนวน ๑๐ ครั้ง ล่าสุดรายงานเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การกำหนดแผนการดำเนินงานในการชำระบัญชี โดยกำหนดชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ การอนุมัติหลักเกณฑ์ในการชำระหนี้คืนของเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค การเห็นชอบในหลักการให้ สธท. ดำเนินคดีกับเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค และผลการดำเนินการเกี่ยวกับโคในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๓๕๕๕ จำแนกเป็น โคปกติซึ่งจำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว โคมีเหตุผิดปกติ อาทิ ตาย สูญหาย นำไปแลกเปลี่ยน ฯลฯ ซึ่งได้ดำเนินการตัดจำหน่ายจากบัญชีไปแล้ว จำนวน ๔๓๙ ตัว โคที่เกษตรกรลักลอบขายและต้องชำระหนี้ โดยแบ่งเป็น โคที่ชำระหนี้คืนตามหลักเกณฑ์และตัดจำหน่ายหนี้ไปแล้ว จำนวน ๑๐,๔๘๖ ตัว และโคที่ยังค้างชำระ จำนวน ๑,๒๒๔ ตัว
|
|||||||||||||||||||||
| 29858 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29859 | การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี 2555 | นร08 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ (Crisis Management Exercise 2012 : C-MEX 12) ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของประเทศต่อไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการฝึกการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อทดสอบนโยบาย แผน แนวทาง มาตรการการบริหารจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่งในกรอบแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวง และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด รวมทั้งเพื่อทดสอบระบบบัญชาการเหตุการณ์ของหน่วยงานรัฐ และเพื่อพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ๒. การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ บรรลุผลตามเป้าหมาย สามารถประมวลผลการฝึกซ้อมในภาพรวมจากการมอบนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) การเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิในการบรรยายและจากการปฏิบัติในการฝึกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดภัย และความสามารถในการจัดการเมื่อเกิดภัย ในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติด้วยการจัดการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้องทั้งบุคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ในการกู้ภัย การปรับปรุงกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ระบบงบประมาณ ให้เอื้อต่อการป้องกันและระงับภัย ๒.๒ ให้ทุกหน่วยงานได้ตระหนักว่า การเตรียมพร้อมในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกตั้งแต่ในภาวะปกติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่หน่วยงานของรัฐควรจะได้มีการจัดทำแผนรองรับที่มุ่งเน้นภารกิจงานในเชิงป้องกันเหตุ ๒.๓ ให้ทุกหน่วยงานได้ให้ความสำคัญต่อการมีระบบบัญชาการที่เป็นหนึ่งเดียว (Single Command) และการมีระบบฐานข้อมูลกลางที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อประกอบการบัญชาการเหตุการณ์ในแต่ละระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๒.๔. ให้ทุกหน่วยงานได้ให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ๒.๕ ให้หน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะหน่วยงานระดับจังหวัดได้กำหนดแผนงาน/โครงการ ในการเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบป้องกันตนเองและการจัดการภัยในเบื้องต้นอย่างถูกวิธี ๒.๖ ให้ทุกหน่วยงานได้จัดการฝึกซ้อมในพื้นที่ทั้งทางบกและทางทะเล ตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงการฝึกซ้อมที่เชื่อมประสานกับการปฏิบัติการของระดับกระทรวงและระดับชาติ เพื่อทดสอบแผนและระบบให้พร้อมนำมาใช้งานได้เมื่อเกิดสถานการณ์จริง ๒.๗ ให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้จัดเตรียมความพร้อมในเรื่องเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนภัย การให้ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง การประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารในยามวิกฤติ การจัดเตรียมชุดเผชิญสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการกู้ชีพ กู้ภัย การเก็บกู้วัตถุอันตราย การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม แผนที่อพยพ เส้นทางคมนาคมขนส่งลำเลียงสิ่งของและผู้คนที่อพยพ การดูแลศูนย์อพยพและระบบการกระจายสิ่งของที่ได้รับบริจาค การรักษาความปลอดภัย การพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล การมีระบบสื่อสารให้ใช้การได้ทุกเวลา รวมถึงจัดให้มีระบบเลขหมายฉุกเฉินหมายเลขเดียวทั่วประเทศ และการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและทันกับเหตุการณ์ เพื่อผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมของชาติ ๓. การประเมินผลการฝึกเบื้องต้น (Hot Wash) ผู้รับการฝึกและนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นเพื่อจัดทำเป็นบทเรียนและนำไปพัฒนาระบบการฝึกซ้อมของหน่วยงานต่าง ๆ ในระยะต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 29860 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน | นร01 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นำมาตรการการแก้ไขปัญหา รวม ๕ มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการด้านกฎหมาย มาตรการด้านสิทธิมนุษยชนศึกษา มาตรการด้านกลไกการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน มาตรการด้านกระบวนการยุติธรรม และมาตรการด้านการเยียวยา รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่อง สิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีการตรวจสอบคำร้องที่กล่าวหาว่ามีการกระทำทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่ไร้มนุษยธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับข้อเสนอเรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหา รวม ๕ ข้อ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปศึกษาและพิจารณาดำเนินการแล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย รวม ๕ ข้อ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการแล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
.....
