ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1497 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29921 - 29940 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29921 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน ๒ แห่ง และค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ จำนวน ๑๑ ราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๐๑๙,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๒,๗๕๓,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๑๘,๒๖๕,๒๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ชอบที่จะเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศให้เบิกจ่ายตามระเบียบของทางราชการ ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29922 | การขออนุมัติเปิดสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยอีกครั้ง ภายหลังจากที่เคยปิดเป็นการชั่วคราว | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเปิดสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยอีกครั้ง ภายหลังจากที่เคยปิดเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นช่องทางในการส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐโคลอมเบียให้ใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งกับภูมิภาคลาตินอเมริกาในภาพรวม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ความมั่นคง และการติดต่อระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29923 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม พ.ศ. .... | ศธ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฏีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการแพทย์แผนจีน สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ๒. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และอธิการบดีของมหาวิทยาลัย ๓. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๔. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29924 | ผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วมช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม พ.ศ. 2554 | ทก | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจครัวเรือนที่ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วม ช่วงเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมใน ๖๑ จังหวัด โดยมีครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวรวม ๕.๓ ล้านครัวเรือน หรือ ๑๗.๖ ล้านคน ในจำนวนนี้มีครัวเรือนถูกน้ำท่วม ร้อยละ ๗๓.๗ โดยเป็นน้ำท่วมตัวบ้าน ร้อยละ ๔๕.๖ และท่วมบริเวณรอบ ๆ ตัวบ้านอย่างเดียว ร้อยละ ๒๘.๑ ๒. ความรุนแรงของน้ำท่วม พิจารณาจากระยะเวลาและความสูงของน้ำท่วม พบว่า น้ำท่วมขังในและรอบ ๆ บริเวณบ้านเฉลี่ย ๒๕-๒๗ วัน และน้ำท่วมสูงเฉลี่ย ๘๗-๘๘ เซนติเมตร โดยครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วมขังนานกว่า ๓๐ วัน และสูงกว่า ๑๒๐ เซนติเมตร พบในกรุงเทพมหานครและภาคกลางมากกว่าภาคอื่น ๓. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๗.๑ มีการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วม เช่น การยกของขึ้นที่สูง ร้อยละ ๔๘.๘ การกั้นถุงทราย การสำรองของกินของใช้ และการป้องกันพาหนะเสียหายมีประมาณร้อยละ ๑๗-๓๐ และมีการเตรียมการด้านการเจ็บป่วยประมาณร้อยละ ๑๖ เช่น การเตรียมยาสามัญ อุปกรณ์การปฐมพยาบาล และยารักษาโรคประจำตัว และจากการสำรวจ พบว่า รายได้เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเตรียมตัว โดยครัวเรือนที่มีรายได้สูงจะมีการเตรียมตัวมากกว่า โดยครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเฉลี่ยในช่วงก่อนน้ำท่วม ๕,๙๐๔ บาท และช่วงน้ำท่วม ๘,๔๑๙ บาท ๔. ในช่วงน้ำท่วม เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมในการเอาชีวิตรอด พบว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๕๑.๑ ว่ายน้ำไม่เป็น มีเพียงร้อยละ ๑๘.๖ ที่ว่ายน้ำได้ตามมาตรฐานสากล (ว่ายน้ำขึ้นตลิ่งฝั่งตรงข้ามที่มีระยะทาง ๒๕ เมตรได้ในขณะสวมใส่เสื้อผ้าตามปกติ) ส่วนผู้ที่ว่ายน้ำได้น้อยกว่า ๒๕ เมตร มีร้อยละ ๒๖.๔ (ระยะทางเฉลี่ย ๘.๔๙ เมตร) และมีเพียงร้อยละ ๓.๗ ที่ช่วยเหลือตัวเองได้แค่เพียงลอยคอ/พยุงตัวในน้ำได้ ๕. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ร้อยละ ๗๒.๗ ได้รับการแจ้งข้อมูลข่าวสารเฝ้าระวังก่อนที่น้ำจะท่วม และในช่วงน้ำท่วมมีผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมอพยพออกไปอยู่ที่อื่น ร้อยละ ๑๘.๐ ส่วนใหญ่เป็นการอพยพทั้งครัวเรือน ร้อยละ ๑๕.๒ โดยอพยพออกไปเฉลี่ยนานกว่า ๑ เดือน (๓๙ วัน) สำหรับผู้ที่ไม่อพยพให้เหตุผลว่ายังอาศัยอยู่ได้ เป็นห่วงบ้าน/ทรัพย์สิน คิดว่าท่วมไม่นาน/ไม่ท่วม ไม่มีที่ไป/ไม่มีเงิน และมีคนชรา/เด็ก/คนป่วย/คนพิการ เป็นต้น ๖. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสังคม อาทิ การทำงานแบบเต็มเวลาของสมาชิกในครัวเรือนหลังน้ำท่วม ลดลงจากก่อนน้ำท่วม ร้อยละ ๕.๘ ขณะที่การทำงานแบบไม่เต็มเวลา และการตกงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๑ และ ๑.๗ ตามลำดับ ทำให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในทุกภาคลดลงจากช่วงก่อนน้ำท่วมประมาณร้อยละ ๑๐ การสูญเสียรายได้จากการประกอบอาชีพหรือกิจการขาดทุนที่เกิดจากน้ำท่วมเฉลี่ย ๑๒,๒๓๐ บาท และ ๙,๘๗๑ บาท ตามลำดับ สาเหตุจากการหยุดขาย/หยุดประกอบการ ร้อยละ ๖๕-๗๖ สินค้าเสียหาย ร้อยละ ๑๕-๒๒ ตามลำดับ ทรัพย์สินในครัวเรือนที่ถูกน้ำท่วม เช่น ที่อยู่อาศัย รถยนต์/รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้/สิ่งอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์การประกอบอาชีพได้รับความเสียหาย รวมทั้งปัญหาการไปใช้บริการทางการแพทย์ และปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยและการกำจัดสิ่งปฏิกูล เป็นต้น ๗. การติดต่อขอความช่วยเหลือบริการทางการแพทย์ ช่องทางที่ครัวเรือนทราบมากที่สุด คือ รถฉุกเฉิน เช่น รถ อบต./โรงพยาบาล/มูลนิธิ ร้อยละ ๕๕.๐ รองลงมา ได้แก่ สายด่วน ๑๖๖๙ ร้อยละ ๔๗.๓ ๘. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมมากกว่าร้อยละ ๘๐ มีความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในทุกเรื่อง ได้แก่ การป้องกันและกู้เส้นทางสายหลักเพื่อใช้ในการคมนาคม ร้อยละ ๘๗.๐ การให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม ร้อยละ ๘๖.๕ การใช้แรงดันเรือ/เครื่องในการดันน้ำ ร้อยละ ๘๕.๘ การปรับปรุงสาธารณูปโภค ร้อยละ ๘๕.๖ การระบายน้ำออกจากพื้นที่และการใช้ถุงทราย/คันกั้นน้ำชะลอการไหลของน้ำเข้าท่วมพื้นที่ ร้อยละ ๘๔.๙ และการควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ร้อยละ ๘๔.๑ ๙. ครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมเห็นว่าสิ่งของที่ควรบรรจุอยู่ในถุงยังชีพมากที่สุด คือ อาหารกระป๋อง ร้อยละ ๙๖.๑ น้ำดื่ม ร้อยละ ๙๔.๖ ข้าวสาร ร้อยละ ๙๔.๕ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ ๘๖.๙ ยาสามัญประจำบ้าน ร้อยละ ๘๒.๐ ไฟฉาย ร้อยละ ๗๐.๓ และนมกล่อง ร้อยละ ๕๑.๐ ส่วนอื่น ๆ เช่น นมผง ผ้าอนามัย ฯลฯ มีไม่เกินร้อยละ ๔๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29925 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี | นร | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐกินี ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีกินีทั้งแบบ four eyes และแบบเต็มคณะ โดยมีประเด็นการหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขายข้าวให้แก่กินีในราคามิตรภาพ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕- ๒๕๕๖ การให้ความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ อาทิ การเกษตร การประมง การตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาโอกาสในการลงทุนด้านเหมืองแร่และพลังงานของนักลงทุนไทยในกินี การสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗ รวมทั้งการพิจารณาความเป็นไปได้ในการเปิดสถานเอกอัครราชทูตที่เมืองหลวงของอีกฝ่าย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศในโอกาสต่อไป และการเยือนของผู้แทนระดับรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกินีและชาวกินีในต่างประเทศได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ จำนวน ๒ ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐกินีว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการ และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศและชาวกินีในต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐกินี โดยมีนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีกินีเป็นสักขีพยาน ๓. ในการประชุม Business Forum ประธานาธิบดีกินีได้กล่าวเชิญชวนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในกินีในด้านการเกษตร ประมง เหมืองแร่ พลังงาน ก่อสร้าง และสาธารณสุข รวมทั้งได้หารือแบบตัวต่อตัวกับผู้บริหารของบริษัท การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สำรวจ ผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทอิตัลไทย และบริษัท แอตแลนติคฟาร์มาซูติคอล จำกัด เกี่ยวกับการลงทุนในกินี ๔. ประธานาธิบดีกินีได้เยี่ยมชมศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี ของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน การส่งผู้เชี่ยวชาญไทยไปฝึกอบรมให้แก่กินี รวมทั้งเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นครราชสีมา ของบริษัท ซีพีเอฟ จำกัด (มหาชน) โดยได้เชิญชวนให้บริษัทฯ ไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและอื่น ๆ ในกินี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29926 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ระหว่างวันที่ 24 - 30 สิงหาคม 2555) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อประชุมหารือการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรไทยในสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๒๔-๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แจ้งให้ประธานสถาบันประมงแห่งชาติสหรัฐฯ (National Fisheries Institutes : NFI ) และผู้แทนบริษัทนำเข้าอาหารทะเลของสหรัฐฯ ทราบถึงการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลของไทย และจากที่ได้มีข่าวกรณีปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงของไทยผ่านสื่อและบทความต่าง ๆ รวมทั้งจากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (TIP Report) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดอันดับประเทศไทยอยู่ใน Tier 2 Watch list นั้น รัฐบาลไทยมีแนวทางและกลไกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในสินค้าประมงของไทย ได้แก่ แผนปฏิบัติการระดับชาติในการต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย (Action Plan) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ การจัดทำแนวทางการปฏิบัติในการตรวจตราเรือประมงไทยที่ออกไปและเดินทางกลับจากการทำประมงนอกน่านน้ำ และแนวทางการปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี [Good Labour Practice : (GLP)] สำหรับแรงงานประมงไทย รวมทั้งมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานประมง โดยการติดตั้งระบบติดตามเรือประมง หรือ Vessel Monitoring System (VMS) สำหรับเรือประมงนอกน่านน้ำ การพัฒนาแนวทางการปฏิบัติการใช้แรงงานที่ดี (GLP) ในอุตสาหกรรมกุ้งและอาหารทะเล และการจัดทำรายงานอันตรายสำหรับแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมกุ้งและอาหารทะเลเพื่อปกป้องแรงงานผู้เยาว์ ๑๕-๑๗ ปี ๑.๒ NFI ได้กังวลถึงภาพลักษณ์ของสินค้าประมงที่ส่งออกมายังสหรัฐฯ ที่ปรากฏบนสื่อต่าง ๆ ที่แสดงถึงภาพลักษณ์การผลิตที่ระบุว่าอุตสาหกรรมของไทยมีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ มีการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย มีการทารุณกรรมแรงงาน และเห็นว่าการดำเนินงานของไทยในการแก้ไขปัญหายังไม่เพียงพอ ภาครัฐของสหรัฐฯ ต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาแรงงานอย่างจริงจัง ซึ่งหากไทยยังไม่สามารถดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ในการแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน จะมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกลดระดับลงมาที่ Tier 3 ๒. ให้หน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รับข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29927 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลศรีแก้ว อำเภอขุนหาญ จังหวัดยโสธร เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโพง (ตอนบน) เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน การเกษตร การอุปโภคและบริโภค ตลอดจนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29928 | รายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการเงินแผ่นดินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป โดยรายงานการเงินแผ่นดินฯ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่าย และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ซึ่งจัดทำขึ้นตามหลักเกณฑ์คงค้างแบบผสม (Modified Accrual Basis) โดยใช้ข้อมูลบัญชีจากชุดรัฐบาลที่แสดงการรับจ่ายเงินคงคลังของรัฐบาลเป็นหลัก และรวบรวมข้อมูลที่มีสาระสำคัญในส่วนสินทรัพย์และหนี้สินของรัฐบาลจากส่วนราชการที่ทำหน้าที่บริหารจัดการแทนรัฐบาล มาปรับปรุงในบัญชีชุดรัฐบาล สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบรายได้และค่าใช้จ่าย ประกอบด้วย รายได้สุทธิ รวม ๑,๕๑๓,๒๒๕.๑๓ ล้านบาท และค่าใช้จ่าย รวม ๑,๔๘๖,๓๘๒.๗๑ ล้านบาท ๑.๒ งบแสดงฐานะการเงิน ประกอบด้วย สินทรัพย์ รวม ๔,๑๐๖,๘๓๒.๘๒ ล้านบาท หนี้สิน รวม ๒,๑๙๒,๓๓๓.๙๔ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิหรือส่วนทุน ๑,๙๑๔,๔๙๘.๘๘ ล้านบาท ๒. เห็นชอบข้อเสนอแนะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และกรมธนารักษ์ กำชับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลาง ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและจัดส่งข้อมูลภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนด ๒.๒ ให้ผู้บริหารของกรมธนารักษ์กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบบันทึกที่ดินราชพัสดุให้ครบถ้วนเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ข้อมูลที่ดินราชพัสดุแสดงมูลค่าที่ถูกต้อง ๒.๓ ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกข้อมูลในระบบ GFMIS ให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลเงินนอกงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29929 | แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซียสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ เนื่องจากแผนการหารือฯ ฉบับแรกสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายจึงได้ร่วมกันพิจารณาร่างแผนการหารือฯ ขึ้นในลักษณะเช่นเดียวกันสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ โดยกำหนดกรอบการปฏิบัติงานและกลไกการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศใน ๒ ระดับ คือ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติของกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสถาบันวิชาการและสถาบันฝึกอบรมการทูตของกระทรวงการต่างประเทศ โดยกำหนดการและระเบียบวาระการหารือเป็นไปตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยในร่างแผนการหารือฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในแผนการหารือฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ขอเสนอปรับแก้ข้อความเกี่ยวกับชื่อของกลไกความร่วมมือเพื่อให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งสหพันธรัฐรัสเซียเพื่อจัดตั้งคณะทำงานร่วมว่าด้วยการหารือด้านความมั่นคงระหว่างไทยกับรัสเซีย ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29930 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านการบริหารจัดการน้ำไทย-สาธารณรัฐเกาหลี) โดยกรมชลประทานได้ดำเนินการจัดพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ดิน การขนส่งทางบกและทางน้ำแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมรอยัล ปริ๊สเซส หลานหลวง กรุงเทพมหานคร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29931 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด | กต | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Ministerial Meeting of the Non-Aligned Movement Coordinating Bureau) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองชาร์ม เอล เชค สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมแบ่งเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (๗-๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕) และการประชุมระดับรัฐมนตรี (๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕) สมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม มีจำนวน ๑๐๒ ประเทศ (ผู้แทนระดับรัฐมนตรีในประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซียและเมียนมาร์ โดยกัมพูชาไม่ส่งคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุม) ประเทศ/องค์การระหว่างประเทศในฐานะผู้สังเกตการณ์ และประเทศ/องค์การระหว่างประเทศที่เป็นแขกรับเชิญ ๒. วัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อรับรองเอกสารสุดท้าย (Final Document) ที่ได้มีการจัดเตรียมและเจรจาโดยคณะกรรมการประสานงาน ณ นครนิวยอร์ก และที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส โดยปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำของวรรคต่าง ๆ ในเอกสารให้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเพื่อเตรียมการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ ๑๖ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ๓. เอกสารผลการประชุม ประกอบด้วย ๓.๑ เอกสารสุดท้ายของการประชุม (Final Document) สะท้อนท่าทีของที่ประชุมต่อบทบาทและความร่วมมือของสมาชิก NAM ในประเด็นระดับโลกและภูมิภาคเกี่ยวกับปัญหาการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนา ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมและรับรองอีกครั้งในที่ประชุม NAM Summit ครั้งที่ ๑๖ ๓.๒ ปฏิญญาว่าด้วยปาเลสไตน์ (Declaration on Palestine) ที่ประชุมคณะกรรมการด้านปาเลสไตน์ (Committee on Palestine) แสดงความห่วงกังวลต่อการชะงักงันของกระบวนการสันติภาพ ประณามอิสราเอลในการครอบครองดินแดนปาเลสไตน์และดินแดนอาหรับอื่น ๆ รวมทั้งการคุกคามทางทหารและละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์ เรียกร้องให้อิสราเอลยุติกิจกรรมและการก่อสร้างทั้งปวงบนดินแดนที่ถูกยึดครองตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และยอมรับการจัดตั้งรัฐอิสระ ๒ รัฐ โดยใช้การกำหนดเขตแดนของปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ๓.๓ ปฏิญญาว่าด้วยนักโทษการเมืองชาวปาเลสไตน์ (Declaration on Palestine Political Prisoners) สะท้อนความห่วงกังวลของสมาชิก NAM ต่อกรณีที่อิสราเอลกักขังและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ของนักโทษการเมืองและประชาชนชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอลและดินแดนที่อิสราเอลยึดครอง ซึ่งรวมถึงเยรูซาเล็มตะวันออก เรียกร้องให้อิสราเอลยุติการจับกุมชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกยึดครองและปลดปล่อยประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ถูกคุมขังทันที ๓.๔ ปฏิญญาว่าด้วยการครบรอบ ๑๐๐ ปี ของการก่อตั้งพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา (Declaration on the Centenary Year of the African National Congress as a Liberation Movement) แสดงความยินดีต่อประชาชนชาวแอฟริกาใต้และพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกาในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ของการก่อตั้งพรรคที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ระบอบอาณานิคม และการกดขี่ข่มเหงประชาชนชาวแอฟริกา ๔. การประชุมในครั้งนี้ไม่มีการกำหนดหัวข้อในการกล่าวถ้อยแถลง แต่ประเทศสมาชิกและผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่ได้กล่าวถ้อยแถลงย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศกำลังพัฒนาจะต้องมีความร่วมมือระหว่างกันเพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน นอกจากนี้ ยังแสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง ประเด็นปาเลสไตน์ และประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ สมาชิกบางประเทศเรียกร้องให้มีการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้สะท้อนจำนวนสมาชิกในแต่ละภูมิภาคอย่างเท่าเทียมกัน ตลอดจนปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29932 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยพุงใหญ่ ในท้องที่ตำบลบึงงาม และตำบลภูเขาทอง อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำจากทางน้ำชลประทานอย่างเต็มที่ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งทำให้ทราบถึงปริมาณของน้ำที่ขาดหายไปจากระบบการชลประทาน และเป็นการรองรับการขออนุญาตใช้น้ำจากภาคอุตสาหกรรม การประปา และภาคธุรกิจอื่นที่จะมีขึ้นในอนาคต ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29933 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ 11 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556) | กค | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๑,๕๑๒ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกลในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๕๕๕ ล้านบาท ทั้งนี้ การดำเนินการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการดังกล่าวยังคงยึดหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๐)] โดยศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนตรวจสอบและติดตามการกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการปล่อยขบวนรถของ รฟท. และ ขสมก. ตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้บริการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยอาจนำประเด็นการปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาประกอบการพิจารณา เพื่อให้ภาครัฐสามารถลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางของประชาชนได้อย่างสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และมีกลไกการชดเชยการดำเนินงานให้แก่รัฐวิสาหกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินและสภาพคล่องของรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป เป็นระยะที่ ๑๑ อนุมัติให้ ขสมก. กู้เงินในวงเงิน ๑,๕๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๗ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ และเห็นชอบให้ รฟท. กู้เงินในวงเงิน ๕๕๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๓๙ (๔) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เกิดขึ้นให้กับ ขสมก. และ รฟท. ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นจะเกิดภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๐๘.๓๔๐๐ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29934 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ในพื้นที่น้ำจืด) | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการ ๑.๑ กรมประมงได้จัดทำแผนแม่บทการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทย ระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๙) อยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ แผนแม่บทดังกล่าว ภายใต้กลยุทธ์วิจัยและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบด้วย โครงการวิจัยศักยภาพของพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ โครงการวิจัยและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโครงการศึกษาวิจัยผลกระทบจากการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๑.๒ กรมประมงและกรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมกันร่างหลักเกณฑ์ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดใหม่ โดยกำหนดค่าความเค็มของดิน น้ำ และลักษณะทางกายภาพของพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งให้มีคณะทำงานวิชาการระดับจังหวัดกำหนดพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำหรับพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มที่มีอยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้มีมาตรการในการควบคุม โดยการขึ้นทะเบียนขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ห้ามมิให้มีการขยายพื้นที่เลี้ยงจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งร่างหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ กรมประมงได้จัดทำร่างโครงการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด โดยมีแนวทางให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีต้องการปรับเปลี่ยนไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นในพื้นที่เดิม และกรณีต้องการเลิกอาชีพการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไมเพื่อไปประกอบอาชีพอื่น นอกจากนี้ ได้เตรียมการจัดทำโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด รวมทั้งเตรียมการจัดประชุมสัมมนาผู้เชี่ยวชาญในทุกภาคส่วนในโซ่อุปทานการผลิตกุ้งขาวแวนนาไม (Expert Approach) เพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียดการศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจน ภายในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ๒. อุปสรรคในการดำเนินการมาตรการรองรับผลกระทบและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เช่น การออกคำสั่งระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ไม่มีข้อมูลทางวิชาการด้านผลกระทบของการใช้ความเค็มต่อสิ่งแวดล้อมมาสนับสนุนอย่างชัดเจน รวมทั้งความไม่ชัดเจนในเรื่องข้อมูลวิชาการเกี่ยวกับผลกระทบของความเค็มจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29935 | รายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 17 ถึง 24 กันยายน 2555 | กห | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) ๑๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ชลบุรี ระยอง นครนายก และชัยภูมิ มีประชาชนได้รับความเดือดร้อน ๖๔,๐๑๖ ครัวเรือน ๑๖๓,๗๙๘ คน ในห้วงวันที่ ๑๗ ถึง ๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพล ๒,๒๕๖ นาย รถบรรทุก ๑๖๒ คัน รถขุดตัก ๖ คัน รถตักหน้าขุดหลัง ๑ คัน รถลากจูง ๓ คัน รถเครน ๑ คัน รถปั้นจั่น ๑ คัน เรือท้องแบน ๕๐ ลำ และเฮลิคอปเตอร์ ๒ เครื่อง ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ดังกล่าว โดยการสร้างแนวคันกั้นน้ำด้วยกระสอบทรายและกล่องเกเบี้ยน เปิดเส้นทางถนน ซ่อมแซมคอสะพาน ให้การรักษาพยาบาล มอบยาเวชภัณฑ์และถุงยังชีพให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งการเคลื่อนย้ายประชาชนและขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29936 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) | สธ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เสนอรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาพรวมผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสร้างความเป็นธรรมในระบบประกันสุขภาพ ยุทธศาสตร์การพัฒนานโยบายสุขภาพที่ส่งเสริมความเป็นธรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบอภิบาลสุขภาพ และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบวิจัยสุขภาพ ๒. ภูมิหลังและข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วย ความเป็นมา วัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง สวรส. โครงสร้างองค์กร การบริหารจัดการความรู้ แผนยุทธศาสตร์ของ สวรส. พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๘ และรายงานผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณจาก สวรส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ ๓. ผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เชิงวิธีการ ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการบริหารทุนที่มีในระบบวิจัยสุขภาพ การสร้างและจัดการความรู้ผ่านการขยายทุนการวิจัยระบบสุขภาพ การจัดการความรู้เพื่อสนับสนุนการพัฒนานโยบาย และการเสริมสร้างศักยภาพของระบบวิจัยสุขภาพ ๔. รายงานทางการเงิน ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29937 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำดอยงู เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำดอยงู จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำดอยงู ในท้องที่ตำบลแม่เจดีย์ และตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอ จากศูนย์กลางเขื่อนดินอ่างเก็บน้ำห้วยแสนตอในท้องที่ตำบลธารทอง อำเภอพาน และตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29938 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29939 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | กษ | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29940 | ข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 02/10/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. .... และผลการพิจารณาของกระทรวงวัฒนธรรมตามข้อสังเกตดังกล่าว และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของที่ประชุมวุฒิสภาฯ มีดังนี้
๑. การทำให้เอกสารจดหมายเหตุเกิดความชัดเจน สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินความถูกต้องของเอกสารที่อ้างอิง ตลอดจนกระบวนการบันทึกเอกสารจดหมายเหตุมีความเป็นระบบและเกิดระเบียบในการดำเนินการนั้น ควรเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการเก็บรักษาเอกสารราชการ นอกเหนือจากการบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำรายการหรือตารางการเก็บรักษาเอกสารราชการ (ร่างมาตรา ๗ วรรคสอง) กล่าวคือ ควรกำหนดให้มีการระบุชื่อบุคคลผู้บันทึกข้อความในเอกสารจดหมายเหตุ และมีผู้รับรองความถูกต้องของข้อความ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการปฏิบัติงานต่อไป ๒. กรณีมีการโต้แย้งความถูกต้องของเอกสารจดหมายเหตุ ให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติรับข้อโต้แย้งดังกล่าว เพื่อส่งให้คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
