ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1494 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29861 - 29880 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29861 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2549 - 2553 | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๙ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ออกไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท และปริญญาเอกให้บรรลุตามเป้าหมายเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของอาจารย์ เพื่อการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓) จำนวน ๑,๔๙๒.๑๖๕๐ ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่มุ่งเน้นให้มีการจัดสหกิจศึกษาในทุกสาขาวิชาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในสาขาที่ประเทศมีความขาดแคลนเป็นพิเศษ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ แฟชั่น และซอฟต์แวร์ รวมทั้งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยหรือการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยของมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการที่สนับสนุนความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายในแต่ละปีจนสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนที่ยังเหลืออีก ๑,๔๙๙,๔๐๓,๘๐๐ บาท และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานประกอบการและชุมชน โดยเฉพาะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29862 | ขออนุมัติแต่งตั้งผู้แทนรัฐบาล | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้ง นายกฤษฎา เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นผู้แทนรัฐบาลในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อม และมีอำนาจในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมประชุมประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมของคณะกรรมการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก (Committtee on Trade and Environment : CTE) โดยให้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายหลังจากเกษียณอายุราชการในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ มอบให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือรับรองผู้แทนรัฐบาลสำหรับการเดินทางไปประชุมในฐานะประธานคณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและสิ่งแวดล้อมขององค์การการค้าโลก ระหว่างวาระการดำรงตำแหน่ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||
| 29863 | การจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา | ปช | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา ๑.๑ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต้องกำหนดนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการกำหนดรูปแบบและปริมาณสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งปริมาณเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติให้ชัดเจน โดยไม่พิจารณาเพียงแต่ผลประโยชน์เฉพาะการเงินของรัฐเป็นหลัก และต้องประกาศให้เป็นที่รับรู้ของประชาชนโดยทั่วไป รวมถึงสำนักงานสลากฯ ต้องจัดทำการประเมินนโยบายการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติเป็นประจำทุกปี โดยองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไรและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสำนักงานสลากฯ ทั้งนี้ เพื่อประเมินถึงผลดีและผลเสียของนโยบายดังกล่าวอย่างหลากหลายทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ๑.๒ คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลควรแถลงนโยบายในการกำกับการดำเนินงานของสำนักงานสลากฯ เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ควรมีตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการของคณะกรรมการฯ รวมถึงมีการเปิดเผยหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดส่วนลดให้กับตัวแทนจำหน่าย และการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของสำนักงานสลากฯ เพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้ ๑.๓ การจัดสรรเงินที่คืนสู่สังคมควรจัดสรรให้กับชุมชนซึ่งเป็นพื้นที่จุดจำหน่ายเพื่อเป็นกองทุนรณรงค์ต่อต้านการเล่นการพนัน โดยเฉพาะป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริโภคสลากฯ ๑.๔ สำนักงานสลากฯ จะต้องออกมาตรการในการห้ามจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชน และควรมีหลักประกันว่าไม่สามารถจำหน่ายให้กับเด็กและเยาวชนได้อย่างจริงจัง รวมทั้งกำหนดบทลงโทษตัวแทนผู้จำหน่ายให้ชัดเจนว่า หากมีการจำหน่ายสลากฯ ให้กับเด็กและเยาวชนจะมีผลอย่างไร ตลอดจนการติดตั้งเครื่องจำหน่ายสลากฯ ในที่ชุมชน จุดจำหน่ายต้องไม่อยู่ใกล้วัดและโรงเรียน ๑.๕ สำนักงานสลากฯ ต้องกำหนดเป็นมาตรการอย่างเคร่งครัดว่าการจำหน่ายสลากฯ ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติจะไม่นำเครือข่ายการจำหน่ายนี้ไปขยายสินค้าการพนันในรูปแบบสลากฯ อื่น ๆ ๑.๖ สำนักงานสลากฯ ต้องวางมาตรการในการตรวจสอบป้องกันไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากฯ อาจจะเป็นช่องทางในการนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปฟอกเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ ๑.๗ รายได้จากการจำหน่ายสลากฯ ๓ ตัว ๒ ตัว ด้วยเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติที่เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการร้อยละ ๑๒ และเมื่อหลังหักส่วนลดให้ตัวแทนจำหน่ายแล้ว ควรมีการวางเป้าหมายในการนำเงินรายได้สุทธิในส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์สาธารณะให้ชัดเจน ๒. ให้สำนักงานสลากฯ รับความเห็นและข้อเสนอแนะจากสำนักงาน ป.ป.ช. คณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานที่ให้ความเห็น ไปประกอบการศึกษาการนำเครื่องจำหน่ายสลากมาใช้ในการจำหน่ายสลากฯ (On-Line) ด้วยว่า การนำเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติมาใช้แทนการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่สามารถนำมาใช้แทนการจำหน่ายสลากพิเศษการกุศลได้ เนื่องจากสลากพิเศษการกุศล รวมทั้งสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวไม่ได้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สำนักงานสลากฯ นำเครื่องจำหน่ายสลากฯ มาใช้จำหน่ายสลากพิเศษการกุศล หรือสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวได้ จำเป็นจะต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ ให้ครอบคลุมไปถึงการออกสลากการกุศล และสลาก ๒ ตัว และ ๓ ตัวด้วย นอกจากนี้ การออกสลากการกุศลท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ ยังมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่อาจดำเนินการออกสลากด้วยเครื่องจำหน่ายสลากแบบ ๖ หลักได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการออกใบอนุญาต และการจัดเก็บภาษี รวมถึงอัตราโทษในการขายสลากเกินราคาที่แตกต่างกัน การดำเนินการจำหน่ายสลากด้วยเครื่องจึงมีเฉพาะการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลตามพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗ เท่านั้น |
|||||||||||||||||||||
| 29864 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ 9 | ทก | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมสารสนเทศ ครั้งที่ ๙ (TELMIN 9) ณ นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างวันที่ ๗-๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมรัฐมนตรี TELMIN 9 ๑.๑ ประธานคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศได้เสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ โดยมีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินโครงการส่งเสริมไอซีทีสำหรับผู้พิการ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตสีเขียว การดำเนินการหารือร่วมกับภาคอุตสาหกรรมด้านไอซีทีในเรื่องการประมวลผลแบบคลาวน์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันระหว่างสมาชิกเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับปัญหาการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ข้ามแดนอัตโนมัติ รวมถึงการร่วมมือกับคณะกรรมการเอเปคว่าด้วยการค้าและการลงทุนในเรื่องการปกป้องสายเคเบิลใต้น้ำ ๑.๒ รัฐมนตรีจากแต่ละเขตเศรษฐกิจได้นำเสนอวิสัยทัศน์ ข้อคิดเห็น-ข้อเสนอ รวมถึงนโยบายด้านไอซีที โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยได้นำเสนอวิสัยทัศน์ในหัวข้อการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยได้หยิบยกประเด็นที่สำคัญ ๓ เรื่อง คือ การลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ความมั่นคงปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ และการเสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรอง “ปฏิญญาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” (Saint Petersburg Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสาระสำคัญของปฏิญญาฯ ประกอบด้วย การดำเนินการตามแถลงการณ์ของผู้นำเอเปคเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเน้นความสำคัญในเรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานในทางข้อมูลข่าวสารในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยมีหัวข้อภายใต้ปฏิญญาฯ ได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนความเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ การเสริมสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในสภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Philip Verveer, Ambassador and Coordinator for International Communication and Information Policy หัวหน้าคณะผู้แทนของสหรัฐอเมริกาในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการเข้าร่วมประชุม World Conference on International Telecommunications (WCIT-12) การรับทราบถึงประสบการณ์ของสหรัฐฯ ในการใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เป็นต้น รวมทั้งหารือทวิภาคีกับ Mr. Kimiaki Matsuzaki, State Secretary for Internal Affairs and Communications, Ministry of Internal Affairs and Communications หัวหน้าคณะผู้แทนของญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ไอซีทีในการบริหารจัดการภัยพิบัติ ประสบการณ์การรับมือกับภัยพิบัติ การเสนอโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ซึ่งได้ริเริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาในการวิเคราะห์ ภัยคุกคามหรือการแพร่ระบาดของโปรแกรมไม่พึงประสงค์
|
|||||||||||||||||||||
| 29865 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ซึ่งรวมถึงระบบรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนาม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดำเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง สำหรับสาระสำคัญของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ หลักการโดยทั่วไป เป็นการยืนยันความตั้งใจและเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน โดยการแลกเปลี่ยนนโยบายและประสบการณ์ในสาขาการขนส่งทั้งรถไฟความเร็วสูงและระบบรางในเขตเมือง และขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางรางของทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๒ สาขาความร่วมมือ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือในสาขา ดังต่อไปนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในสาขาการขนส่งทางรางระหว่างสองฝ่าย รวมทั้งความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องดังกล่าว การแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและการฝึกอบรมให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และเจ้าหน้าที่เทคนิคในสาขาการขนส่งทางราง รวมทั้งการร่วมกันจัดการสัมมนา การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการประชุมอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจร่วมกันในสาขาการขนส่งทางราง ๑.๑.๓ การจัดตั้งคณะทำงาน ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานด้านรถไฟขึ้นเพื่อชี้แนะ ดำเนินงาน ทบทวน และประสานความร่วมมือในสาขาที่กำหนดในบันทึกฯ โดยคณะทำงานประกอบด้วยผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งแต่งตั้งโดยแต่ละฝ่าย ๑.๑.๔ ระยะเวลาและการปรับปรุงแก้ไข บันทึกแสดงเจตจำนงฯ จะมีระยะเวลา ๓ ปีนับจากวันที่ลงนาม และจะมีผลโดยอัตโนมัติอีก ๓ ปี หากไม่มีการแจ้งขอยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน ๖ เดือน โดยทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และจะสามารถได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับถ้อยคำของร่างบันทึกแสดงเจตจำนงฯ ควรใช้ถ้อยคำที่รัดกุม ไม่ควรมีข้อความใดที่ผูกมัดไทยในเชิงนโยบาย ส่วนจัดตั้งคณะทำงานด้านระบบราง (Railway Working Group) ควรมีการประสานข้อมูลและรายงานการดำเนินการต่อคณะทำงานร่วมไทย-ญี่ปุ่นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จัดตั้งขึ้นตามผลการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ด้วย เพื่อบูรณาการการทำงานของฝ่ายไทยให้เป็นเอกภาพ สำหรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพัฒนาระบบราง ควรกำหนดประเด็นที่ต้องการให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทยในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29866 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองดงห่า จังหวัดกว่างจิ ประเทศเวียดนาม ซึ่งในส่วนของไทยมีนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นปัญหาและอุปสรรคในการใช้เส้นทางหมายเลข ๙ ตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor : EWEC) และให้ประเทศสมาชิกเร่งให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีเพียงไทยและเมียนมาร์ที่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ๑.๒ ที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อเสนอของไทยที่ให้เริ่มพิจารณาการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนตามเส้นทางอื่น ๆ ที่มีศักยภาพเชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม เพิ่มเติมจากเส้นทางหมายเลข ๙ โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ที่มีการเชื่อมโยงโดยสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (นครพนม-คำม่วน) แล้ว และมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเป็นไปได้ในการอำนวยความสะดวกการขนส่งตามเส้นทางดังกล่าว โดยอาจจัดทำบันทึกความเข้าใจสามฝ่ายไทย-ลาว-เวียดนาม และจัดหาแหล่งทุนสำหรับพัฒนาถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เป็นมาตรฐาน ๑.๓ ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศลาว-ไทย-เวียดนาม เกี่ยวกับแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (ฝั่งตะวันออก) ซึ่งระบุประเด็นปัญหาของการขนส่งเชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม และแนวทางแก้ไข รวมทั้งเห็นชอบให้มีการประชุมเพื่อขับเคลื่อนประเด็นนี้ใน ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คณะทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง และระดับจังหวัดและแขวงตามแนวพื้นที่เศรษฐกิจ EWEC นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้หุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนด้วย ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทยในระดับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจสามฝ่ายไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างสามประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางหมายเลข ๘ และหมายเลข ๑๒ รวมทั้งเพื่อหาแนวทางในการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง ขณะที่ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงยังไม่มีผลบังคับใช้ ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินกระบวนการภายในของไทยในการเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อรัฐสภา เพื่อให้ไทยสามารถให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion Cross-Border Transport Facilitation Agreement : GMS CBTA) ได้ในโอกาสแรก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||
| 29867 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการขนส่งมวลชน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ในท้องที่เขตห้วยขวาง เขตวัฒนา และเขตสาทร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีดังนี้
๑. ที่ดินจำนวน ๑๗ แปลงที่ต้องตกอยู่ภายใต้ภาระในอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่เจ้าของหรือผู้ครอบครองจะเป็นนิติบุคคลรูปแบบของบริษัท ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องขยาย หรือปลูกสร้างอาคารเพิ่มเติมตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต เหตุที่ทำความตกลงกันไม่ได้อาจเกิดจากการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นธรรม และการกำหนดเงินค่าทดแทนควรมีการกำหนดจำนวนในลักษณะที่เป็นค่าเสียหายในอนาคตไว้ด้วย ๒. หลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนควรกำหนดให้มีความเหมาะสมตามสภาวะทางเศรษฐกิจ ทำเลที่ตั้งของที่ดิน ราคาซื้อขายในท้องตลาด ดังนั้น ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินค่าทดแทนให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม รวมทั้งเป็นแนวทางการดำเนินงานที่ไม่ก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับภาครัฐในอนาคตและทำให้โครงการก่อสร้างเพื่อระบบขนส่งมวลชนไม่เกิดความล่าช้า อีกทั้งที่ทำให้จำนวนเรื่องการอุทธรณ์คำสั่ง จำนวนเงินค่าทดแทน หรือข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับภาครัฐลดลง ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีของประชาชนต่อการใช้อำนาจปกครองของภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามหลักของการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ทั้งจะเกิดความร่วมมือของประชาชนกับภาครัฐ ในโครงการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๓. การตราพระราชบัญญัติเพื่อกำหนดภาระในอสังหาริมทรัพย์ของเอกชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในการขนส่งมวลชนสาธารณะ โดยกระบวนการก่อนมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ รัฐบาลผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารควรมีการกลั่นกรองการปฏิบัติของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ ว่ามีความคุ้มค่ากับการที่ประชาชนส่วนหนึ่งที่ถูกระทบสิทธิในทรัพย์สินของตนหรือไม่
|
|||||||||||||||||||||
| 29868 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขปรับปรุงผู้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา โดยให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ แทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒. แก้ไขชื่อตำแหน่งกรรมการ จาก “ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม” เป็น “ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ”
|
|||||||||||||||||||||
| 29869 | การเตรียมการรับสถานการณ์พายุโซนร้อน "แกมี" (GAEMI) (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2555) | มท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “แกมี” (GAEMI) ข้อมูล ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้
๑. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Operation Center : EOC) ในกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเตรียมรับสถานการณ์พายุโซนร้อน “แกมี” (GAEMI) และแจ้งทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าจังหวัด/กรุงเทพมหานคร โดยศูนย์ฯ ดังกล่าว ทั้งส่วนกลางและจังหวัด จะมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง มีการประสานงานเชื่อมโยงการปฏิบัติกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามสถานการณ์พายุ โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference กับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพายุ “แกมี” (GAEMI) เพื่อรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่ และเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์เป็นประจำทุกวัน ๒. แจ้งนโยบายการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยของนายกรัฐมนตรี (2P2R) โดยให้ทุกหน่วยยึดถือความปลอดภัยและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเป้าหมายหลักในการปฏิบัติงาน รวมทั้งรับมอบข้อสั่งการเชิงนโยบายจากประธานการประชุมในแต่ละวัน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชูชาติ หาญสวัสดิ์) รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายฐานิสร์ เทียนทอง) โดยเริ่มปฏิบัติงานมาตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะยุติ
|
|||||||||||||||||||||
| 29870 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 7/2555 ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2555) | วท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ พายุ “แกมี” (KAEMI) ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามและผ่านประเทศกัมพูชา เข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดสระแก้วได้อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชั่น และอ่อนกำลังลงอีกเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวตามร่องมรสุมที่พาดผ่านอยู่บริเวณภาคกลางตอนล่างและภาคตะวันออก และในช่วงวันที่ ๙-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย ทำให้มีฝนฟ้าคะนองในระยะแรก และอากาศจะเย็นลง และส่งผลให้ร่องมรสุมจะทวีกำลังแรงขึ้นและเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ สำหรับปริมาณน้ำฝนในภาพรวมพบว่า ฝนสะสมในทุกภาคสูงกว่าค่าปกติ เว้นแต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีฝนน้อยกว่าค่าปกติ ๒. สถานการณ์น้ำและน้ำท่วม ดังนี้ ๒.๑ ปริมาณน้ำท่าในบริเวณจุดสำคัญ ได้แก่ ๒.๑.๑ สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ ๑,๓๓๗ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๙๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๒ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ๑,๓๐๒ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๒,๘๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ๒.๑.๓ สถานี C.29A ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๑,๗๐๑ ลูกบาศก์เมตร/วินาที ที่ความจุลำน้ำ ๓,๕๐๐ ลูกบาศก์เมตร/วินาที คาดการณ์น้ำท่า ณ วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ แม่น้ำปราจีนบุรี สถานี KGT.3 อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ระดับและปริมาณน้ำล้นตลิ่งลดลง โดยท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ส่วนพื้นที่เศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบ ลุ่มน้ำอื่น ๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ๒.๒ ระดับความสูงของน้ำในแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ ๒..๒.๑ แม่น้ำปิง ที่สถานี P.1 จังหวัดเชียงใหม่ +๓๐๒.๑๓ เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๐๗ เมตร ๒.๒.๒ แม่น้ำวัง ที่สถานี W.10A จังหวัดลำปาง +๒๕๙.๔๔ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๖.๑๖ เมตร ๒.๒.๓ แม่น้ำยม ที่สถานี Y.4 จังหวัดสุโขทัย +๔๘.๑๑ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๒.๗๖ เมตร ๒.๒.๔ แม่น้ำน่าน ที่สถานี N.1 จังหวัดน่าน +๑๙๓.๒๗ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๕.๙๓ เมตร ๒.๒.๕ แม่น้ำเจ้าพระยา ที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ +๒๒.๑๘ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๔.๐๒ เมตร และที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท ระดับน้ำท้ายเขื่อน +๑๒.๖๐ ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่ง ๓.๗๔ เมตร ๒.๓ น้ำในเขื่อน/อ่างเก็บน้ำ ได้แก่ ๒.๓.๑ เขื่อนภูมิพล น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๓๗.๗๔ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๘,๒๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๔,๔๕๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๒ เขื่อนสิริกิติ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๒๔.๐๑ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖,๔๕๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๓,๖๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๓ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ ๑๑.๕๕ ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำ ๖๗๕ ล้านลูกบาศก์เมตร และใช้การได้จริง ๖๗๒ ล้านลูกบาศก์เมตร ๒.๓.๔ น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รวม ๓๓ อ่างทั่วประเทศ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ รวม ๕๑,๑๘๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๓๓,๙๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำระบายจากอ่างเก็บน้ำ สะสมตั้งแต่ต้นปี ๔๐,๖๔๓ ล้านลูกบาศก์เมตร และความสามารถในการรับน้ำได้อีก ๑๘,๙๘๕ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓. การบริหารน้ำในเขื่อน ดังนี้ ๓.๑ เขื่อนลำปาว มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๒๔% ซึ่งมีปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังคงน้อยมากวันละไม่ถึง ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๓.๒ เขื่อนลำพระเพลิง มีปริมาณน้ำกักเก็บ ๙๓% สามารถรับน้ำได้อีกเพียง ๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีฝนตกมากเนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำล้นเขื่อนและเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ท้ายเขื่อน ๓.๓ เขื่อนประแสร์และเขื่อนคลองสียัด มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนประแสร์เกินระดับกักเก็บปกติ ส่วนเขื่อนคลองสียัดปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และคาดว่าในสัปดาห์หน้าเขื่อนทั้งสองจะได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เพิ่มการระบายน้ำที่เขื่อนคลองสียัดเป็นวันละ ๒.๕ ล้านลูกบาศก์เมตร รวมทั้งเฝ้าระวังผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่เหนือน้ำและท้ายน้ำของเขื่อนทั้งสอง ๓.๔ เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้คงการระบายน้ำที่เขื่อนภูมิพลไม่เกินวันละ ๑ ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์คงการระบายน้ำที่วันละ ๖ ล้านลูกบาศก์เมตร จนถึงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ หลังจากนั้นให้ลดการระบายน้ำลงเหลือวันละ ๔ ล้านลูกบาศก์เมตร ๓.๕ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งสองค่อนข้างมากในสัปดาห์หน้า เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “แกมี” จึงให้เพิ่มการระบายน้ำเป็นวันละ ๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร (เขื่อนละ ๒๐ ล้านลูกบาศก์เมตร) ตั้งแต่วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๔. สถานการณ์อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง และน้ำป่า ดังนี้ ๔.๑ สถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พิจิตร อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรปราการ รวม ๔๐ อำเภอ ๓๒๓ ตำบล ๒,๐๘๙ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑๐๙,๖๒๓ ครัวเรือน ๒๖๗,๑๔๑ คน ๔.๒ พื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดปราจีนบุรี เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้น้ำในแม่น้ำปราจีนบุรีเอ่อล้นเข้าท่วม ในพื้นที่ ๗ อำเภอ ๕๓ ตำบล ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วม ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอกบินทร์บุรี อำเภอศรีมหาโพธิ อำเภอเมืองปราจีนบุรี อำเภอบ้านสร้าง อำเภอศรีมโหสถ และอำเภอประจันตคาม สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา เกิดฝนตกหนักและน้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วม ในพื้นที่ ๙ อำเภอ ๓๕ ตำบล ๒๕๒ หมู่บ้าน ปัจจุบันยังคงมีน้ำท่วมขัง ๘ อำเภอ ๓๓ ตำบล ๒๓๖ หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอบางคล้า อำเภอบางน้ำเปรี้ยว อำเภอพนมสารคาม อำเภอคลองเขื่อน อำเภอบ้านโพธิ์ อำเภอราชสาส์น และอำเภอสนามชัยเขต) ๔.๓ กรมทรัพยากรน้ำไม่มีรายงานการเตือนภัยสถานการณ์ดินโคลนถล่ม และน้ำป่า ๕. สรุปผลการตรวจราชการจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี และเพชรบุรี ระหว่างวันที่ ๖-๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้ติดตามและร่วมประชุมกับจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมรับมือพายุแกมีของจังหวัดภาคตะวันตก ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของหน่วยราชการ ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ซึ่งมีความพร้อมในระดับดีไว้วางใจได้ สำหรับประชาชนยังมีขวัญและกำลังใจดี
|
|||||||||||||||||||||
| 29871 | รายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 7 ตุลาคม 2555 | กห | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยและได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน (อุทกภัย) ซึ่งยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา พิษณุโลก พิจิตร อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรปราการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในห้วงวันที่ ๑ ถึง ๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองบัญชาการกองทัพไทย และศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ได้จัดกำลังพล ๗๕๕ นาย รถบรรทุก ๔๖ คัน เครื่องผลักดันน้ำ ๕๐ เครื่อง และเรือท้องแบน ๑ ลำ เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่รับผิดชอบ โดยสรุปในห้วงตั้งแต่วันที่ ๑๐ กันยายน ถึง ๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ได้จัดกำลังพล ๓,๑๓๘ นาย รถบรรทุก ๒๐๖ คัน รถขุดตัก ๗ คัน รถตักหน้าขุดหลัง ๑ คัน รถลากจูง ๓ คัน รถเครน ๑ คัน รถปั้นจั่น ๒ คัน เรือท้องแบน ๕๒ ลำ เครื่องผลักดันน้ำ ๕๐ เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ ๒ เครื่อง ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยและสนับสนุนส่วนราชการในพื้นที่ รวมทั้งจัดชุดนายทหารติดต่อปฏิบัติงานร่วมกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นมา รวมถึงการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากอิทธิพลของพายุ “แกมี” (GAEMI) เพื่อเตรียมพร้อมให้การสนับสนุนเมื่อได้รับการประสาน ๒. การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากอิทธิพลของพายุ “แกมี” (GAEMI) ได้จัดศูนย์อำนวยการประสานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งจัดเตรียมพื้นที่พักพิง อาหาร น้ำ ยาเวชภัณฑ์ บุคลากรการแพทย์ การขนย้ายสิ่งของและเคลื่อนย้ายประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดเตรียมกระสอบทราย เครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำพนังกั้นน้ำ และพื้นที่แก้มลิงในหน่วยทหาร ตลอดจนเตรียมกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ และเฮลิคอปเตอร์ เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนเมื่อได้รับการประสาน
|
|||||||||||||||||||||
| 29872 | การรับประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 โดยกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติและการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ | กค | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕) ที่เห็นชอบและอนุมัติโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ยกเว้นหลักการให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อ นั้น เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีเจตนารมณ์ที่ต้องการให้กองทุนฯ เป็นผู้รับประกันภัย แต่ยังมีข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อปรากฏอยู่ในข้อ ๔ ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๑๐๐๘/๑๐๘๘๙ ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วด้วย จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับการรับประกันภัยต่อออกทั้งหมด ๑.๒ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปี ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ คณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบรูปแบบการประกันภัยตามโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ ที่เหมาะสม โดยให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้ามามีส่วนในการรับประกันภัยในโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ ซึ่งรูปแบบการรับประกันภัยร่วม (co-insurance) จะช่วยให้การจัดการข้อมูลการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรากฐานกลไกการประกันภัยพืชผลให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงกับการขัดกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลกในประเด็นการอุดหนุนสินค้าเกษตร ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้จัดทำประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนดภัยพิบัติอื่นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้คำจำกัดความคำว่า “ภัยพิบัติ” ครอบคลุมถึงภัยพิบัติต่อพืชผลทางการเกษตร ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ได้ประชุมเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาพื้นฐานข้อเท็จจริงอัตราเบี้ยประกันภัยและอัตราความเสียหาย โดยเห็นว่า การลดความเสี่ยงการรับประกันภัยของกองทุนฯ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงของพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในฐานะที่เป็นผู้บริหารโครงการจะต้องมีการบริหารจัดการที่ดี นอกจากกำหนดเป้าหมายรวมทั้งประเทศตามที่ ธ.ก.ส. คาดว่ามีความเป็นไปได้ประมาณ ๔ ล้านไร่แล้ว ยังต้องมีการกระจายพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความหลากหลาย ทั้งในส่วนที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีสัดส่วนพื้นที่เพาะปลูกข้าวสูงที่สุดถึงร้อยละ ๕๗.๘ ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการจัดการความเสี่ยงดีที่สุดจะทำให้กองทุนฯ ไม่เกิดความเสียหายจากการรับประกันภัย ส่วนในกรณีเลวร้ายที่สุด กล่าวคือ พื้นที่เพาะปลูก จำนวน ๔ ล้านไร่ ที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงทั้งหมด กองทุนฯ อาจมีภาระการจ่ายค่าสินไหมทดแทน จำนวน ๔,๔๔๔ ล้านบาท ๑.๓ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศและมีการบริหารจัดการที่ดีให้มีการกระจายความเสี่ยง โดยทุกภาคยกเว้นภาคใต้เริ่มต้นการขายตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และภาคใต้จะเริ่มต้นการขายในวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๑.๔ พิจารณาแต่งตั้งนายมานพ นาคทัต ประธานคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ แทนนายเสรี จินตนเสรี ที่ได้ลาออกไป ตั้งแต่วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนผู้รับประกันภัยเข้าร่วมโครงการฯ ในสัดส่วนร้อยละ ๐.๒๕ และกองทุนฯ รับประกันสัดส่วนร้อยละ ๙๙.๗๕ ซึ่งกองทุนฯ จะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เนื่องจากปีที่ผ่านมาเก็บเบี้ยประกันได้ ๑๓๐ ล้านบาท แต่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินไหม จำนวน ๗๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายประกันภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงต่ำ และพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ปลูกข้าวมากที่สุด เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการกองทุนฯ และกระจายความเสี่ยงให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ รวมทั้งกระทรวงการคลังร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการเร่งประชาสัมพันธ์โครงการฯ ให้เกษตรกรรับทราบรายละเอียดและให้เห็นถึงประโยชน์ของการประกันภัย เพื่อรองรับภัยพิบัติที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น และตัดสินใจเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29873 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (นายชาญ จุลมนต์) | กต | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชาญ จุลมนต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29874 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" | พณ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ขยายต่อไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยใช้วงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (จำนวน ๔๒๗.๕๒๐๑ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป จะเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยยึดหลักการใช้งบประมาณอย่างประหยัด และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ดังนี้ ๑.๑ ตรวจสอบและประเมินผลโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง โดยยกเลิกร้านถูกใจที่ไม่มีศักยภาพ ไม่มีความพร้อมในการจำหน่าย หรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น สั่งซื้อสินค้าน้อย จำหน่ายสินค้าได้น้อย เป็นต้น โดยจะคัดเลือกร้านถูกใจสำรองที่มีอยู่ประมาณ ๖,๐๐๐ ราย มาทดแทน ๑.๒ ปรับลดเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยส่งเสริมและพัฒนาให้ร้านถูกใจเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว ๑.๓ กำกับดูแลให้ร้านจำหน่ายสินค้าต่ำกว่าราคาตลาดเฉลี่ยร้อยละ ๒๐ ๑.๔ กำกับดูแลร้านถูกใจให้จำหน่ายสินค้าตามปริมาณและราคาที่กำหนด ๑.๕ พัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้า การจัดเตรียม และจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วและเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อลดรายจ่ายของประชาชนให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ๑.๖ อาจจะมีการเพิ่มจำนวนร้านถูกใจมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑๐,๐๐๐ ราย เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อสินค้าจากร้านถูกใจได้สะดวกมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการโชห่วยช่วยชาติฯ อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อประหยัดงบประมาณของรัฐบาล ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อสินค้าให้รวดเร็วขึ้น โดยเพิ่มระยะเวลาหรือรอบการสั่งซื้อในแต่ละสัปดาห์ จัดระบบการกระจายสินค้า เพื่อลดระยะเวลาการจัดส่งสินค้า และจัดส่งสินค้าให้ตรงตามกำหนดเวลา โดยเฉพาะในพื้นที่ภูมิภาค เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้านค้าขาดสินค้าจำหน่าย รวมทั้งปรับรายการสินค้าและจำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคตามสภาพตลาดและพื้นที่ ดูแลคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับติดตามการดำเนินงานของ “ร้านถูกใจ” ให้มีการจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการครองชีพ สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนผู้บริโภค และเป็นไปตามระดับราคาที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาแนวทางการดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้ “ร้านถูกใจ” สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29875 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน) (นางปราณิน มุตตาหารัช) | รง | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางปราณิน มุตตาหารัช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29876 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง) | มท | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งให้ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29877 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (จำนวน 4 ราย 1. นายกมล ศิริบรรณ ฯลฯ) | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นายกมล ศิริบรรณ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายธวัช ชลารักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายวัชรินทร์ จำปี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายโรจนะ กฤษเจริญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
| 29878 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (จำนวน 11 ราย 1. นายศุภกร วงศ์ปราชญ์ ฯลฯ) | ศธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๑๑ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. นายศุภกร วงศ์ปราชญ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางศิริพร กิจเกื้อกูล ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายพินิติ รตะนานุกูล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นางสาวจิรพรรณ ปุณเกษม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายพิษณุ ตุลสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๗. นางรัตนา ศรีเหรัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ๘. นางสาวจุไรรัตน์ แสงบุญนำ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๙. นางสุทธศรี วงษ์สมาน ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ๑๐. นายกมล รอดคล้าย ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๑. นางสาวอาภรณ์ แก่นวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
|||||||||||||||||||||
| 29879 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (พลตำรวจเอก ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา) | นร04 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง พลตำรวจเอก ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29880 | ให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (จำนวน 12 ราย 1. พลตำรวจโท ฉลอง สนใจ ฯลฯ) | นร | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ จำนวน ๑๒ คน และแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน ๔ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกหนึ่งวาระ จำนวน ๑๒ คน ดังนี้ ๑.๑ พลตำรวจโท ฉลอง สนใจ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ๑.๒ นายสุรชัย เบ้าจรรยา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ๑.๓ นายปรีชา ธนานันท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ๑.๔ นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ๑.๕ นายวิสา คัญทัพ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ๑.๖ นางฉวีวรรณ คลังแสง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๗ นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๘ นายวิชัย เทียนถาวร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ๑.๙ นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ๑.๑๐ นายเอนก หุตังคบดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๑.๑๑ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ๑.๑๒ นายสมบัติ คุรุพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๒. กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีที่แต่งตั้งใหม่ จำนวน ๔ คน ดังนี้ ๒.๑ นายธนะ ดวงรัตน์ ๒.๒ นายธานี ยี่สาร ๒.๓ นายสุวัฒน์ ตันพิพัฒน์ ๒.๔ นายดิฐ อัศวพลังพรหม
|
|||||||||||||||||||||
.....
