ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1411 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28201 - 28220 จากข้อมูลทั้งหมด 124441 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง  | 
									วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28201 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณกรณีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ในการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางบริการทางหลวงหมายเลข 126 สายทางเลี่ยงเมืองพิษณุโลก (ด้านใต้) ส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 | คค | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางบริการทางหลวงหมายเลข ๑๒๖ สายเลี่ยงเมืองพิษณุโลก (ด้านใต้) จังหวัดพิษณุโลก ระยะทาง ๒๑.๘๕๐ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๑๙๖,๗๙๒,๐๔๘ บาท โดยแบ่งการก่อสร้างเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ ระยะทาง ๑๒.๙๔๗ กิโลเมตร ระหว่าง กม.๒๙+๒๐๓ - กม.๔๒+๑๕๐ วงเงิน ๕๙๘,๖๖๖,๗๕๕ บาท และส่วนที่ ๒ ระยะทาง ๘.๙๐๓ กิโลเมตร ระหว่าง กม.๔๒+๑๕๐ - กม.๕๑+๐๕๓ วงเงิน ๕๙๘,๑๒๕,๒๙๓ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๙๕๖,๗๙๒,๐๔๘ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 
											    												    		 | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28202 | ขออนุมัติการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด | กค | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบการอนุมัติปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด ในการขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้าง จำนวน ๑,๓๖๙ ล้านบาท ออกไปอีก ๑๕ ปี (จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๙) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ ๓.๗๘ ต่อปี ซึ่งเท่ากับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ ๑๕ ปี ณ ปัจจุบัน และให้บริษัทฯ เริ่มชำระคืนเงินต้นเมื่อมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย (EBITDA : Earning Before Interest Taxes Depreciation and Amortization) และมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินกิจการเพื่อให้บริษัทฯ สามารถชำระหนี้เงินยืมในส่วนของเงินต้นคงค้างได้ทั้งหมดต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เรียกประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เพื่อบริหารจัดการเกี่ยวกับการชำระหนี้ของบริษัทฯ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วย ๒. สำหรับการคิดเบี้ยปรับการผิดนัดชำระหนี้เงินต้นค้างชำระให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐพิจารณาเลือกใช้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าและบริการอื่น ๆ ของบริษัทฯ เป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ให้มีสภาพคล่องและเพียงพอต่อการชำระหนี้ได้ต่อไป  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28203 | โครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ 115 กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ | มท | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ-อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยม และน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ กฟภ. รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประเด็นการดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ 
											    												    		 | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28204 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) | พณ | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28205 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๕๖๑๕/๑๕๔๑๑) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28206 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2556 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. การให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ๑.๑ การจัดบริการขนส่งสาธารณะ หน่วยงานที่รับผิดชอบการให้บริการขนส่งสาธารณะได้เพิ่มจำนวนยานพาหนะ เที่ยววิ่งรถ และเที่ยวบินเสริมพิเศษ เพื่อรองรับปริมาณการเดินทางตลอดเทศกาลสงกรานต์ โดยมีประชาชนใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน ๓,๑๗๑,๑๕๘ คน ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่รับบริการ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน ได้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีรถผ่านทาง จำนวน ๓,๖๕๘,๘๑๕ คัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๓,๗๙๐,๓๓๖ บาท ประกอบด้วย การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) และหมายเลข ๙ (วงแหวนกาญจนาภิเษก ด้านตะวันออก) ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ และยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางด่วนบูรพาวิถี ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๓ การอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลจราจร ได้รายงานผลการปฏิบัติงานผ่านระบบของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงคมนาคม (MOTOC) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยครอบคลุมการให้บริการระบบบริหารจัดการอุบัติเหตุด้านการขนส่ง (TRAMS) แก่หน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และอำนวยความสะดวกในการจัดทำรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุประจำวัน ทั้งในภาพรวมของกระทรวงคมนาคม ระดับกรม และระดับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ๒. การดำเนินงานด้านความมั่นคง ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคง โดยวางระบบป้องกันพื้นที่ในความรับผิดชอบ เช่น การติดตามสถานการณ์ข่าวสารข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคง และการแจ้งเตือนการก่อเหตุ ดำเนินการให้มีการจัดเวรยาม และเฝ้าระวังสังเกตการณ์ เป็นต้น ๓. การดำเนินงานด้านความปลอดภัย ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ยานพาหนะ และถนน ประกอบด้วย ๔ มาตรการ คือ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย และมาตรการผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย ๔. สถิติอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน ๑,๑๐๔ ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒๐ ผู้เสียชีวิต จำนวน ๒๒๑ คน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจำนวนผู้บาดเจ็บ จำนวน ๑,๓๖๒ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๔๘ โดยมูลเหตุสันนิษฐานของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ ลำดับแรก คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด คนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด และเมาสุรา ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุ ๓ ลำดับแรก คือ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ และรถจักรยานยนต์ สำหรับอุบัติเหตุทางราง มีจำนวน ๖ ครั้ง ทางน้ำและทางอากาศ (ไม่มี) ๕. แนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนน มอบให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทศึกษาและพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมความเร็วบนทางหลวงและทางหลวงชนบทให้เพิ่มมากขึ้น และร่วมมือกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่องไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถโดยสารสาธารณะ มอบให้กรมการขนส่งทางบกเร่งศึกษาและพิจารณาขยายผลการดำเนินการควบคุมความเร็วของรถโดยสารสาธารณะ โดยการใช้เทคโนโลยี RFID อย่างจริงจังและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้มีการเสริมสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยทางถนน (Safety Culture) เพื่อให้ผู้ขับขี่มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัยและมีวินัยจราจร รวมทั้งให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความสูญเสียทั้งทางด้านร่างกายและทรัพย์สิน 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28207 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๘๖๐๘/๑๕๓๖๐) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28208 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงอุตสาหกรรม | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผล และเรื่องที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จต่อไป ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง แผนการยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายแร่ใยหินไครโซไทล์และผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ จำนวน ๕ ผลิตภัณฑ์ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ยกร่างแผนแล้วเสร็จ แต่ยังมีผู้รับผลกระทบคัดค้านและเสนอความเห็นเพิ่มเติมอยู่ จึงได้ปรับปรุงแผนดังกล่าวโดยคำนึงถึงผลกระทบและผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมาประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๒ เรื่อง แผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ยกร่างแผนเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างจะนำเสนอแผนดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยโครงการและงบประมาณต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นเพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เรื่อง โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการเอง ๖ แห่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างจัดประกวดราคาการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำ รอบที่ ๒ ตามขอบเขตการดำเนินงาน (Term of Reference TOR) ที่ปรับปรุงใหม่ เนื่องจากกรมบัญชีกลางได้ปรับเปลี่ยนราคากลางตาม TOR ของเดิม และปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างใหม่ ๑.๔ เรื่อง การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ชาวไร่อ้อย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) ครบถ้วนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณากำหนดมาตรฐานความช่วยเหลือสำหรับปีต่อไป ๒. ส่วนที่เหลืออีก ๑๙ เรื่อง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานเจ้าภาพทราบและพิจารณาดำเนินการต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28209 | ความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคี ด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | ทส | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าผลการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือทวิภาคีด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ในขอบเขตความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การควบคุมมลพิษและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการสนับสนุนการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการตามกรอบความร่วมมือฯ โดยตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แก่ สปป.ลาว เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นในการเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาพื้นที่การเกษตร และไฟไหม้ป่า เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดมาตรการเพื่อลดผลกระทบปัญหาหมอกควัน โดยเฉพาะปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในช่วงฤดูแล้ง ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ดำเนินการจัดหาผู้รับจ้างในการสนับสนุนการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยการประกวดราคาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ และได้ผู้รับจ้างสำหรับดำเนินการแล้ว รวมทั้งได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การมอบสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบกึ่งถาวร เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสองประเทศ โดยอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว จะเป็นผู้ลงนามร่วมกันในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๓. การดำเนินการในขั้นตอนต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ จะประสานกับสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว เพื่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอธิบดีกรมควบคุมมลพิษฝ่ายไทย กับอธิบดีสถาบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฝ่าย สปป.ลาว รวมถึงประสานกับผู้รับจ้างเพื่อการลงนามในสัญญาจ้างดำเนินการตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ และส่งมอบให้แก่ สปป.ลาว ต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28210 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของนายมนู เลขะกุล ที่จังหวัดยะลา | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของนายมนู เลขะกุล ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไป และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ โดยเคร่งครัด และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาตรการสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย รวมทั้งเห็นว่าในการใช้พื้นที่เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ฯ ควรให้กระทำได้ในเขตพื้นที่ประทานบัตรเดิมตามแนวเขตเส้นชั้นระดับความสูง (Contour Line) ของเขายะลาที่ชั้นความสูง ๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทำเหมือง รวมทั้งแผนการใช้วัตถุระเบิดในการทำเหมือง ข้อตกลงเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้ากองทุนและปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมศิลปากรไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และติดตามกำกับดูแลการดำเนินการในพื้นที่ขอประทานบัตรให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ และให้ผู้ถือประทานบัตรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทานเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28211 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๕/๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28212 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคมในพื้นที่เป้าหมาย พ.ศ. 2556 | ทก | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการจัดระเบียบสังคมในพื้นที่เป้าหมาย พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. ประชาชนร้อยละ ๑๐.๗ ระบุว่ามีสถานบันเทิง/สถานบริการในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย และร้อยละ ๘๙.๓ ระบุว่าไม่มี โดยสถานบันเทิง/สถานบริการ เปิด-ปิดเกินเวลา ประชาชนร้อยละ ๓๗.๔ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๓๔.๖ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพมหานคร มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๖.๐๓ การส่งเสียงดังรบกวน ประชาชน ร้อยละ ๔๒.๑ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๔๐.๒ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕๕.๓ การจัดการแสดงที่ไม่เหมาะสม ประชาชนร้อยละ ๑๙.๗ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๓๙.๓ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๔๔.๑ และการปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีเข้าไปใช้บริการ ประชาชนร้อยละ ๓๕.๕ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๒๔.๓ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕๗.๑ ๒. ประชาชนร้อยละ ๘๙.๑ ระบุว่ามีร้านค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์/บุหรี่ ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย และร้อยละ ๑๐.๙ ระบุว่าไม่มี โดยร้านค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์/บุหรี่ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ปี ประชาชนร้อยละ ๕๕.๕ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๒๒.๔ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยภาคใต้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๖๕.๗ และการขายบริเวณใกล้เคียงหรือรอบ ๆ สถานศึกษา/ศาสนสถาน ประชาชนร้อยละ ๔๔.๒ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๓๖.๗ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕๕.๕ ๓. ประชาชนร้อยละ ๕๖.๓ ระบุว่ามีร้านขายสินค้า/บริการที่ผิดกฎหมาย (ร้านค้าแอบแฝง) และร้อยละ ๔๓.๗ ระบุว่าไม่มี โดยร้านขายสินค้า/บริการที่ผิดกฎหมายดังกล่าว ประชาชนเห็นว่ามีการลักลอบขายเกิดขึ้นร้อยละ ๑๗.๓ และไม่เกิดขึ้นร้อยละ ๓๔.๑ โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๒.๖ ๔. ประชาชนร้อยละ ๗๐.๗ ระบุว่ามีร้านแต่ง/ซ่อมรถจักรยานยนต์ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย และร้อยละ ๒๙.๓ ระบุว่าไม่มี โดยร้านแต่ง/ซ่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ประชาชนเห็นว่ามีการมั่วสุมเสพยาเสพติดเกิดขึ้นร้อยละ ๑๗.๘ และไม่เกิดขึ้นร้อยละ ๔๒.๖ โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๐.๙ ๕. ประชาชนร้อยละ ๔๐.๑ ระบุว่ามีร้านอาหาร/ร้านคาราโอเกะในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย และร้อยละ ๕๙.๙ ระบุว่าไม่มี โดยร้านอาหาร/ร้านคาราโอเกะดังกล่าว ประชาชนเห็นว่ามีการมั่วสุมเสพยาเสพติดเกิดขึ้นร้อยละ ๑๖.๗ และไม่เกิดขึ้นร้อยละ ๔๒.๔ โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๖.๙ ๖. ประชาชนร้อยละ ๒๒.๔ ระบุว่ามีหอพัก บ้านเช่า อพาร์ทเมนท์ และคอมโดมิเนียมในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย และร้อยละ ๗๗.๖ ระบุว่าไม่มี โดยหอพัก บ้านเช่า อพาร์ทเมนท์ และคอมโดมิเนียม ที่มีการมั่วสุมเสพยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๓๔.๔ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๒๕.๙ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยภาคใต้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๔๖.๒ การซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๒๖.๘ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๒๖.๓ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๙.๔ การมั่วสุมดื่มสุรา ประชาชนร้อยละ ๕๖.๘ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๑๖.๑ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๖๙.๐ ๗. ประชาชนร้อยละ ๒๘.๘ ระบุว่ามีร้านเกมส์-อินเทอร์เน็ต และร้อยละ ๗๑.๒ ระบุว่าไม่มี โดยร้านเกมส์-อินเทอร์เน็ต ที่มีการซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๑๔.๙ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๔๒.๔ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๖.๔ การมั่วสุมเสพยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๑๗.๑ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๔๒.๐ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๓๙.๙ ๘. พฤติกรรมของเด็ก/เยาวชนที่มีเกิดขึ้นในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมาย ได้แก่ การมั่วสุมรวมกลุ่มของเด็ก/เยาวชน (เช่น แก๊งรถซิ่ง) ประชาชนร้อยละ ๓๘.๕ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๕๐.๘ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕๕.๘ การมั่วสุมของเด็กนักเรียน/เยาวชน/เด็กเร่ร่อนในมุมอับ/ที่ลับตาคน/สวนสาธารณะ ประชาชนร้อยละ ๓๑.๐ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๕๒.๗ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕๐.๐ การขายบริการทางเพศในสวนสาธารณะ/สถานบันเทิง/สถานบริการ ประชาชนร้อยละ ๙.๒ ระบุว่ามีเกิดขึ้น และร้อยละ ๗๕.๒ ระบุว่าไม่เกิดขึ้น โดยกรุงเทพฯ มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสูงกว่าภาคอื่นร้อยละ ๒๗.๙ ๙. แหล่ง/สถานที่ที่ประชาชนต้องการให้ภาครัฐเข้าไปดูแล/จัดระเบียบมากที่สุด คือ สถานบันเทิง/สถานบริการร้อยละ ๕๐.๕ รองลงมา ได้แก่ ร้านเกมส์-อินเทอร์เน็ตร้อยละ ๔๑.๐ แหล่งอบายมุข เช่น สถานที่รับซื้อหวยใต้ดิน รับพนันบอล ร้านค้าแอบแฝง ฯลฯ ร้อยละ ๓๕.๓ และชุมชนแออัดร้อยละ ๓๔.๓ เป็นต้น 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28213 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. .... | กสทช | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖ (เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (พ.ศ. ....) กรณีสิทธิประโยชน์เฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรเทียบเคียงกับองค์กรอิสระตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่ควรปรับลดโดยเทียบเท่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เนื่องจากที่มา กระบวนการคัดเลือก และภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน ถ้าหากจะปรับลดควรกำหนดให้ กสทช.ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่เทียบสิทธิในอัตราเดียวกับรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พ.ศ. .... อีกครั้งหนึ่ง โดยให้ปรับค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ต่างท้องที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ให้เป็นอัตราเดียวกับรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28214 | นายสนอง กฤษณายุทธ ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวก ต่อศาลปกครองกลางขอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ยกอุทธรณ์ของนายสนอง กฤษณายุทธ | อส | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๕๖-๕๘/๒๕๕๖ ระหว่างนายสนอง กฤษณายุทธ ผู้ฟ้องคดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้อง 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28215 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นายพงษ์เทพ โพธิรังสิยากร) | นร06 | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพงษ์เทพ โพธิรังสิยากร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28216 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ 
											    												    		๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่แก้ไขเพิ่มเติมจากร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงบทกำหนดโทษกรณีความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกรณีผู้ใดไม่มาให้ถ้อยคำ ไม่ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือไม่ส่งบัญชีเอกสารหรือหลักฐานตามมาตรา ๒๕(๒) หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกตามมาตรา ๒๕(๓) หรือ (๔) ๑.๒ ปรับปรุงอำนาจในการอนุมัติการจับและการแจ้งข้อหาผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๖ หรือมาตรา ๘ ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการก่อนหรือได้รับการพิจารณาอนุมัติจากพนักงานอัยการตำแหน่งตั้งแต่อัยการจังหวัดหรือเทียบเท่าขึ้นไป ๑.๓ ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและพนักงานเจ้าหน้าที่ ๑.๔ กำหนดหลักเกณฑ์ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก่อนหรือหลังที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งตรวจสอบทรัพย์สินตามมาตรา ๑๙ หรือก่อนที่คณะกรรมการหรือเลขาธิการมีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินตามมาตรา ๒๒ ๑.๕ ปรับปรุงอำนาจของข้าราชการตำรวจตำแหน่งตั้งแต่สารวัตรหรือเทียบเท่าขึ้นไปและเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดซึ่งเป็นผู้ค้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องพบสิ่งของที่มีพยานหลักฐานตามสมควรว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสิ่งของรายใดอาจมีการยักย้าย ซุกซ่อน มีอำนาจยึดสิ่งของดังกล่าวไว้เพื่อการตรวจสอบทรัพย์สิน ทั้งนี้ ในกรณีจำเป็นเร่งด่วน ๑.๖ ปรับปรุงระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นของกองทุนและระยะเวลาในการยื่นคำร้องเพิ่มเติม รวมทั้งกำหนดให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีหรือถึงแก่ความตาย และให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของกองทุน ๑.๗ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตกเป็นของกองทุนและกำหนดให้การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น รวมทั้งทรัพย์สินของผู้อื่นที่ได้ยึดหรืออายัดไว้เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้นสิ้นสุดลง กรณีปรากฏตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดในคดีนั้นว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ๑.๘ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอให้ศาลสั่งอนุญาตให้นำทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ออกขายทอดตลาดหรือไปใช้เพื่อประโยชน์ของทางราชการไปพลางก่อน ก่อนที่ทรัพย์สินตามมาตรา ๓๐ ตกเป็นของกองทุน และการประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าเสียหาย หรือค่าเสื่อมสภาพของทรัพย์สิน ๑.๙ ให้ทรัพย์สินของกองทุนรวมถึงทรัพย์สินที่ตกเป็นของกองทุนตามมาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๐/๒ ๑.๑๐ แก้ไขผู้รับรายงานงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินของกองทุนจากคณะรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรี ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดของผู้ต้องหาหรือผู้อื่นเป็นทรัพย์สินที่จะมีการนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา ๓๐/๒ วรรคสี่หรือไม่ การให้คณะกรรมการสามารถมอบหมายให้อนุกรรมการวินิจฉัยทรัพย์สินวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดหรือไม่ และการให้อำนาจของคณะกรรมการ อนุกรรมการ เลขาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่ในการค้นในเคหสถาน หรือสถานที่ใด ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28217 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... | สธ | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ 
											    												    		๑. กำหนดให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นไปตามแบบท้ายกฎกระทรวง และให้นายกสภาเภสัชกรรม เป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ๒. กำหนดให้รูปถ่ายที่ติดบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด และให้บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันออกบัตร 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28218 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" | สสป | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการค่าจ้าง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้ 
											    												    		๑. ควรจะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ก่อนจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. ควรเพิ่มองค์ประกอบของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณามาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้มีผู้แทนจากนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างร่วมด้วย ๓. ควรมีมาตรการการบริหารค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคตอย่างชัดเจน ดังนี้ ๓.๑ การพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไป ควรใช้กระบวนการไตรภาคีและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงกำหนดเวลาให้ชัดเจน ๓.๒ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรแบ่งเขต (Zoning) เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนไปยังภูมิภาคและสอดคล้องกับการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ๓.๓ จัดให้มีการส่งเสริมการจัดระบบการบริหารค่าตอบแทนในสถานประกอบการตามหลักการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๔. รัฐควรช่วยเหลือแรงงานกรณีมีการเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเลิกกิจการโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ได้รับค่าชดเชยรวมทั้งเร่งให้มีการบรรจุงานให้แก่แรงงานเหล่านี้โดยเร็ว 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28219 | การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ | รง | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ (๒) ที่ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นเห็นชอบแล้ว ในเรื่องการลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ 
											    												    		๑. ลูกจ้างซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน นายจ้างอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้ ๒. ลูกจ้างซึ่งลาไปช่วยเหลือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน แต่ถ้าเป็นการลาเมื่อพ้น ๓๐ วัน นับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตรไม่ให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลา เว้นแต่ผู้บริหารสูงสุดเห็นสมควรจะให้จ่ายค่าจ้างระหว่างลานั้นก็ได้ แต่ไม่เกิน ๑๕ วันทำงาน  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
| 28220 | ร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สม | 18/06/2556 | |||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ 
											    												    		๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประธานกรรมการ กรรมการ และอนุกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างพระราชกฤษฎีกาที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีค่าตอบแทนของประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนของบุคลากรภาครัฐ โดยปรับเพิ่มในอัตราร้อยละห้าและร้อยละสี่ รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนให้ยึดโยงกับการปรับอัตราค่าตอบแทนของประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ได้รับจัดสรรเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ  | 
											    ||||||||||||||||||||||||
					.....
									
			