ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 133 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 2641 - 2660 จากข้อมูลทั้งหมด 124458 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2641 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๘ เมษายน ๒๕๖๗
เพื่อสำรวจเส้นทางขนส่งสินค้าผลไม้ เตรียมความพร้อมในการรองรับฤดูผลไม้
และป้องกันปัญหาการขนส่งผลไม้ที่ติดขัดบริเวณชายแดนเวียดนามตอนเหนือกับจีนตอนใต้
อีกทั้งยังเป็นการกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาคเอกชน ผู้นำเข้า
ผู้ประกอบการ ผู้กระจายสินค้ารายสำคัญ เพื่อผลักดันการส่งออกให้ได้ตามเป้าหมาย
ขยายส่วนแบ่งสินค้าเกษตรของไทยในตลาดต่างประเทศ และประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยได้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ๑) สำรวจด่านรถไฟด่งดัง ด่านสากลหูหงิ
และหารือกับประธานคณะกรรมการประชาชนและผู้บริหาร จังหวัดลางเซิน เวียดนาม ๒) สำรวจด่านโหย่วอี้กวน
ด่านรถไฟผิงเสียง และหารือกับรองนายกเทศมนตรีเมืองฉงจั่ว
เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชน ได้แก่
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทตลาดเจียงหนาน และรองประธานกรรมการบริหารบริษัท Pagoda รวมทั้งได้เยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ต
Freshippo ซึ่งมีประเด็นการหารือที่สำคัญเกี่ยวกับการขยายตลาดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ไทยไปยังจีน ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยในตลาดจีน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2642 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗
เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว ครั้งที่ ๒๔ (Thai Festival Tokyo 2024) และเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย
ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑) เป็นประธานเปิดงานเทศกาลไทย ครั้งที่ ๒๔ เพื่อส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทย
ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ประกอบด้วยคูหากว่า ๘๐ คูหา เช่น คูหาผ้าไทยใส่ให้สนุก คูหาซีรีส์วาย
เป็นต้น ๒) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ
Rakuten ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของญี่ปุ่น
เพื่อเปิดร้าน TOPTHAI และส่งเสริมการขายสินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น
และ ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัท KALDI โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้แนะนำสินค้าไทยที่มีศักยภาพไปจัดจำหน่ายในร้าน KALDI เพิ่มขึ้น
อาทิ กาแฟ ผลไม้ และสินค้าไทย และยังแนะนำให้บริษัทฯ
นำเข้าผลไม้คุณภาพที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่น เช่น กล้วยหอมทอง ทุเรียน
และมังคุด เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2643 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ปปท. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นจากที่ประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวไปดำเนินการ
และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เรื่อง
มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยผลการพิจารณามาตรการฯ
ในภาพรวมมีหน่วยงานที่เห็นด้วยกับมาตรการฯ และไม่ขอแก้ไข ๖๐ หน่วยงาน มีหน่วยงานที่ขอแก้ไข
๑๑ หน่วยงาน เช่น การแก้ไขเป้าหมายและตัวชี้วัดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการ
และมีหน่วยงานที่ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ๒ หน่วยงาน เช่น
มาตรการที่กำหนดมีแผนงานจำนวนมากส่งผลต่อการดำเนินการให้สำเร็จตามแผนงานภายใน ๑ ปี
จึงควรมุ่งเน้นในส่วนที่เป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของปัญหาการทุจริต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2644 | ร่างกฎกระทรวงการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. .... | สธ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการเฝ้าระวัง
การป้องกัน และการควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเฝ้าระวัง
ป้องกัน หรือควบคุมโรคของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
โดยผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมของผู้เสียหายสามารถยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายด้วยตัวเองได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสำนักอนามัย
กรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี โดยผู้เสียหายอาจมีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหาย
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเพิ่มช่องทางการยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายของผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมเพิ่มเติมจากที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
เช่น กำหนดให้ผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมของผู้เสียหายสามารถยื่นคำขอ ณ
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือช่องทางอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เห็นว่าพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไม่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครมีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดค่าทดแทนเพื่อชดเชยแก่ผู้เสียหายดังกล่าวไว้
จึงเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกกฎหมายลำดับรองเกินกว่าหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครตามที่กฎหมายแม่บทกำหนด ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง
เห็นควรคำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ กระทรวงมหาดไทย
เห็นควรเพิ่มช่องทางการยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายของผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมเพิ่มเติมจากที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
หรือช่องทางอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2645 | การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อัตราร้อยละ
๐.๑๒๕ ต่อปี
ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน เป็นระยะเวลา ๑ ปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
รวม ๔ แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยปรับลดอัตราเงินนำส่งเหลือร้อยละ ๐.๑๒๕ ต่อปี
ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี พ.ศ. ๒๕๖๗
โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2646 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2567 | ปสส. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๕ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วันพุธที่
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๒
ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2647 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2648 | ปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.07 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปรับปรุงการมอบหมายผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2649 | ร่างตราสารแก้ไขและต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา | อว. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างตราสารแก้ไขและต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเป็นผู้ลงนามในร่างตราสารฯ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในร่างตราสารฯ
โดยร่างตราสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการต่ออายุความตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา
ไปอีกเป็นระยะเวลา ๑๐ ปี
ต่อเนื่องจากร่างตราสารต่ออายุความตกลงฉบับก่อนหน้าที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม
๒๕๖๖ โดยมีการแก้ไขข้อบทบางประการและร่างตราสารฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ ๖
สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป โดยจะมีผลบังคับใช้ ณ วันที่ได้มีการลงนามครบถ้วน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรพิจารณาปรับแก้ถ้อยคำในร่างตราสารฯ
ฉบับภาษาไทย เพื่อความถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณานำเสนอรายงานผลการดำเนินงานจากความร่วมมือระหว่างประเทศประกอบด้วย
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับอย่างเป็นรูปธรรมจากการมีความร่วมมือดังกล่าว
รวมถึงกรอบความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระหว่างประเทศไทยกับประเทศภาคีต่าง
ๆ ที่ได้มีการลงนามแล้ว
ควรได้รับการประชาสัมพันธ์ถึงผลการดำเนินงานและประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งต่อภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2650 | ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือตำรับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 พ.ศ. .... | สธ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท
๓ หรือตำรับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท
๔ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่าธรรมเนียมการขอขึ้นทะเบียนของตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท
๓ หรือตำรับวัตถุอออกฤทธิ์ในประเภท ๓ หรือประเภท ๔ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรมีการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
รวมทั้งแจ้งกระทรวงการคลังจัดทำประมาณการรายได้ที่จะเกิดขึ้นตามร่างกฎกระทรวงดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2651 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมทวิภาคีระดับรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 | กก. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมทวิภาคีระดับรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยวไทย
- กัมพูชา ครั้งที่ ๓ เพื่อเป็นกรอบในการหารือกับฝ่ายกัมพูชา ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม
๒๕๖๓ ณ กรุงเทพมหานคร และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน ให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
ผ่านการสนับสนุนให้เกิดการไหลเวียนของนักท่องเที่ยวระหว่างกัน
และมุ่งเน้นความคืบหน้าการดำเนินการของแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหากพิจารณาสถานะการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวแล้ว
พบว่าหลายกิจกรรมยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินงานที่เป็นภารกิจของฝ่ายไทยและติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของการเดินทางข้ามพรมแดน
เพื่อให้แผนฉบับนี้ประสบความสำเร็จตามกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2652 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อดำเนินโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ | พน. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓
และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่ห้ามมิให้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณี
เพื่อให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน บริเวณแม่น้ำบางปะกง ตำบลบางปะกง และตำบลท่าสะอ้าน
อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พื้นที่ประมาณ
๓ ไร่ ๐ งาน ๗๕ ตารางวา สำหรับดำเนินโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ได้
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า
๒๐ เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ได้รับอนุญาต ให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท. จำกัด
(มหาชน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าการก่อสร้างที่อยู่ในทางหลวงให้ผู้ขออนุญาตเสนอแผนการก่อสร้างรูปแบบการก่อสร้าง
แผนการจัดการจราจรระหว่างการก่อสร้างต่อกรมทางหลวงพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2653 | ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (High-level Political Forum on Sustainable Development: HLPF) ประจำปี ค.ศ. 2024 | กต. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
(High-level Political
Forum on Sustainable Development : HLPF)
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ และให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
หรือเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
ร่วมรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีของการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน
(High-level Political Forum on Sustainable Development :
HLPF) ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘-๑๘ กรกฎาคม
๒๕๖๗ ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับ
(๑) สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายในการบรรลุ SDGs และ (๒)
การกำหนดแนวทางการดำเนินการและการลงทุนเพื่อสนับสนุนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ.
๒๐๓๐ ตามเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสนับสนุนการจัดทำ VNRs โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
กอปรกับไม่มีการลงนามในร่างปฏิญญาดังกล่าว ดังนั้น ร่างปฏิญญาฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความมุ่งมั่นระดับประเทศ (National Commitment) ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ใน HLPF ห้วงปี ค.ศ. ๒๐๒๓ ด้วย
และให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการปรับแก้ร่างปฏิญญาดังกล่าวกับผลการปรับแก้เอกสารผลลัพธ์ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น
ๆ พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2654 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 11 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๑ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑ - ๖ เมษายน ๒๕๖๗ ณ
เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในการประชุมฯ ได้มีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุม
AFMGM ครั้งที่
๑๑ ซึ่งในระหว่างการประชุมได้มีการปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เช่น
การปรับรายงานประมาณการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน
+ ๓ และเพิ่มถ้อยคำสนับสนุนให้มีการหารือเพื่อผลักดันการจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ ๒ โดยมีบางถ้อยคำแตกต่างจากฉบับร่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒ เมษายน ๒๕๖๖๗ เพื่อให้มีความเหมาะสม และสะท้อนข้อเท็จจริงมากขึ้น
โดยไม่กระทบสาระสำคัญ ไม่กระทบหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย
และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2655 | ผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนที่ผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด และเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) | คค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและเงื่อนไขสำคัญของสัญญาร่วมลงทุน
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) (โครงการฯ)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งเสนอพระราชบัญญัติบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบัตรโดยสารร่วมและโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งสาธารณะโดยนำร่องในระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะเพิ่มมากขึ้นได้ตามเป้าหมาย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ตามมาตรา ๔๓
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ พิจารณาปรับแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ
ให้สอดคล้องกับผลการเจรจาเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการและป้องกันข้อพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๒
เร่งรัดดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และการส่งมอบพื้นที่ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (โครงการฯ ส่วนตะวันตก) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการสำรวจอสังหาริมทรัพย์และการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้อยู่ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ
(จำนวน ๑๔,๖๖๑ ล้านบาท)
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทย] เพื่อไม่ให้เป็นภาระทางการคลังของประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเจรจากับเอกชนผู้ร่วมลงทุนในการปรับแผนการดำเนินงานและเร่งรัดการดำเนินโครงการฯ
ให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติด้วย ๒.๓
เร่งเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบการจ่ายเงินค่าโดยสารร่วมในระบบขนส่งสาธารณะโดยคิดอัตราค่าแรกเข้า
๑ ครั้งต่อ ๑ เที่ยว มาใช้สำหรับการเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าได้ในทุกกรณี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2656 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี
(โครงการฯ) ปีการผลิต ๒๕๖๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)
ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน
Tier 1)
และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ (Tier 2) จำนวน ๒๑
ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการฯ รวม ๒,๓๐๒.๑๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ยกเว้นในส่วนของการกำหนดผู้รับผลประโยชน์กรณีเกษตรกรเป็นลูกค้าสินเชื่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) ให้เกษตรกรที่ประสบภัยที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส.
เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน หากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน
อาจทำให้มีเงินทุนลดลงสำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่และไม่สามารถพ้นจากภาวะหนี้สินได้
รวมทั้งเห็นควรขยายระยะเวลาการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัย
เพื่อให้เกษตรกรในกลุ่มจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ
และภาคตะวันตก รวม ๖๓ จังหวัด ซึ่งสิ้นสุดการจำหน่ายกรมธรรม์ในวันที่ ๗ กรกฎาคม
๒๕๖๗ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการฯ ได้เพิ่มมากขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตรกรในวงกว้างให้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีหลักประกันภัยเพื่อผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ร่วมกับพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทางการเกษตรให้แตกต่างหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรได้ตรงจุด
และเร่งรัดพัฒนาระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีด้านการประกันภัยสินค้าเกษตรให้สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้อย่างถูกต้องและจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ทันต่อความต้องการใช้จ่ายของเกษตรกรเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตหรือการวางแผนเพาะปลูกในรอบการเพาะปลูกต่อไปได้อย่างทันต่อสถานการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2657 | การแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบาย (Public Service Account : PSA) | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
(Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ
(Public Service Account : PSA) พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารออมสิน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพิจารณาให้สินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาว
เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2658 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ | กษ. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศออกไปเป็นเวลา
๒๐ ปี (ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ - ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๘๗)
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ สกช. ๐๔๐๔/๑๐๒๒ ลงวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๖๗) และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดตั้งกองทุนโดยตราเป็นกฎหมายเฉพาะเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา
๖๓ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบกับมาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๒ ปี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2659 | แนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ | กค. | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการตามแนวทางในการส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ
(กอช.) เพื่อรองรับการเกษียณผ่านโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว
กอช. จะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายได้เมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน และมอบหมาย กอช.
ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔
ในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินโครงการสลากสะสมทรัพย์ฯ ข้างต้นต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเงินรางวัลที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำทุกปีนั้น
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาถึงความคุ้มค่า ต้นทุน ความจำเป็นเร่งด่วน
ความเหมาะสมกับสภาวการณ์ และประโยชน์สูงสุดของทางราชการและที่ประชาชนจะได้รับ โดยให้คำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
และพิจารณาแนวทางในการบริหารเงินสะสมที่สมาชิกซื้อสลากเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม
รวมทั้งความเป็นไปได้ในการนำผลตอบแทนดังกล่าว หรือรายได้อื่นใดมาสมทบกับเงินรางวัลที่ภาครัฐจะต้องสนับสนุน
เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินโครงการและลดภาระงบประมาณในระยะยาวของภาครัฐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและกองทุนการออมแห่งชาติดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรพิจารณาขยายผู้มีสิทธิซื้อสลากฯ
ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ
กลุ่มแรงงานในระบบ กลุ่มผู้ประกันตนตามมาตราต่าง ๆ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม
พ.ศ. ๒๕๓๓ ฯลฯ เพื่อให้มีเงินออมที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตยามเกษียณได้อีกช่องทางหนึ่ง
ควรพิจารณามาตรการสร้างแรงจูงใจในการส่งเสริมการออมหรือแนวทางการเพิ่มมูลค่าและสวัสดิการอื่น
ๆ เพิ่มเติม เช่น การออมเงินที่คุ้มครองชีวิตและสุขภาพในรูปแบบของประกัน เป็นต้น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรพัฒนาแพลตฟอร์มโดยเน้นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบเพื่อป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลกับการฉ้อโกงและการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เพื่อสร้างความมั่นใจและความสะดวกสำหรับการซื้อสลากแบบออนไลน์
และควรคำนึงถึงการเชื่อมโยงแอปพลิเคชันภาพรวมและฐานข้อมูลเพื่อประโยชน์ในด้านความสะดวกในการใช้งานและการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านอื่น
ๆ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องเชิงนโยบายภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2660 | ร่างแผนปฏิบัติการ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | นร.14 | 16/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองต่อร่างแผนปฏิบัติการ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)
สำหรับสาขาความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำ ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน
และเพื่อให้ประชาชนของทั้ง ๖ ประเทศสมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำโขง
- ล้านช้าง ผ่านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ๗
สาขาความร่วมมือ ดังนี้ ๑) การคุ้มครองทรัพยากรน้ำและการพัฒนาสีเขียว ๒)
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
๓) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและผลประโยชน์ร่วมกัน ๔) พื้นที่ชนบท
การอนุรักษ์น้ำ และการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ๕)
การพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืนและความมั่นคงด้านพลังงาน ๖)
ความร่วมมือแม่น้ำข้ามพรมแดนและการแบ่งปันข้อมูล และ ๗)
การประสานงานกับสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
