ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 139 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 2761 - 2780 จากข้อมูลทั้งหมด 124458 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2761 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงคมนาคมและการเคลื่อนย้ายอย่างยั่งยืนแห่งราชอาณาจักรสเปน ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม | คค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงคมนาคมและการเคลื่อนย้ายอย่างยั่งยืนแห่งราชอาณาจักรสเปน
ด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย สำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมขนส่งในมิติต่าง ๆ
ได้แก่ ๑) ระบบราง ๒) ถนน และการขนส่งทางบก ๓) ท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ
และ ๔) การบินผ่านการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และการพัฒนาโครงการนำร่อง
การให้คำปรึกษาคำแนะนำทางเทคนิคและความช่วยเหลือในการจัดทำและดำเนินโครงการ
การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การจัดประชุม สัมมนา
และการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการฝึกอบรมและโครงการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2762 | ร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. 2567-2572 | กก. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน
เป็นผู้ลงนามในโครงการการดำเนินงานของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒ โดยร่างโครงการฯ
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ
ผ่านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ
การพัฒนาและการฝึกอบรมทรัพยากรบุคคล และการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการตลาด ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2763 | แนวทางการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย | กค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาเรื่อง แนวทางการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
ออกไปก่อน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2764 | ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อให้ความช่วยเหลือและอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในรัฐอิสราเอล (เพิ่มเติม) | กต. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๙๑,๙๕๓,๗๙๗ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและอพยพคนไทยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในรัฐอิสราเอล
(เพิ่มเติม) แก่กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นว่าในกรณีที่ผู้อพยพเป็นคนพิการ เห็นควรจัดเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ ความเข้าใจ
และจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมในการช่วยเหลือคนพิการตามประเภทความพิการ
ตลอดจนจัดบริการล่ามภาษามือ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมคนไทยทุกกลุ่มเป้าหมาย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศติดตามสถานการณ์และเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในฉนวนกาซาอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งติดตามการดำเนินการเรียกร้องให้มีการยุติการสู้รบในฉนวนกาซาโดยเร็ว
แล้วรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2765 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทวัสดุกัมมันตรังสีที่บุคคลธรรมดาขอรับใบอนุญาตได้ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทเครื่องกำเนิดรังสีที่บุคคลธรรมดาขอรับใบอนุญาตได้ พ.ศ. .... | อว. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทวัสดุกัมมันตรังสีที่บุคคลธรรมดาขอรับใบอนุญาตได้
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทวัสดุกัมมันตรังสีที่บุคคลธรรมดาสามารถขอรับใบอนุญาตผลิต
มีไว้ในครอบครอบครองหรือใช้ นำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านวัสดุกัมมันตรังสี และร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทเครื่องกำเนิดรังสีที่บุคคลธรรมดาขอรับใบอนุญาตได้
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทเครื่องกำเนิดรังสีที่บุคคลธรรมดาสามารถขอรับใบอนุญาตทำเครื่องกำเนิดรังสี
มีไว้ในครอบครองหรือใช้ นำเข้าหรือส่งออกเครื่องกำเนิดรังสี รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องควรเน้นการกระจายองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อขยายโอกาสในการพัฒนางานด้านการศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุกัมมันตรังสีและเครื่องกำเนิดรังสีในวงกว้าง
รวมถึงสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพต่อไปในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2766 | ข้อเสนอแนะกรณีหน่วยงานของรัฐไม่จัดตั้งนิคมสร้างตนเองเพื่อสงเคราะห์ชาวเขา และจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก พ.ศ. 2560–2565 ไม่ครอบคลุมพื้นที่ใช้ประโยชน์ของชุมชนชาติพันธุ์ม้ง จังหวัดเพชรบูรณ์ | สม. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะกรณีหน่วยงานของรัฐไม่จัดตั้งนิคมสร้างตนเองเพื่อสงเคราะห์ชาวเขาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภูทับเบิก
พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๕ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ใช้ประโยชน์ของชุมชนชาติพันธุ์ม้ง
จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2767 | โครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2567/68 | กษ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า
เนื่องจากในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับความช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) ผ่านโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๖/๖๗ ซึ่งสร้างภาระงบประมาณจำนวนมาก (ประมาณ ๕๖,๐๐๐๐ ล้านบาท)
ในครั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงขอปรับเปลี่ยนเป็นการจัดทำโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ มาทดแทนโครงการดังกล่าว
และจะไม่มีการจัดทำโครงการในลักษณะเป็นการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต
(ไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท) อีกต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(อธิบดีกรมการข้าว) ได้ชี้แจงด้วยว่า
กรมการข้าวได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้ทราบอย่างทั่วถึงแล้ว ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
การชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส.
ให้คงหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการชดเชยอัตราต้นทุนทางการเงินที่ต้องขอรับชดเชยจากภาครัฐในอัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑ เช่นเดียวกับที่ได้เคยดำเนินการมา
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ รวมทั้งเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เสนอความเห็นเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ ธ.ก.ส. แจ้งว่า
ไม่มีข้อขัดข้องในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ขอความเห็นชอบให้ ธ.ก.ส.
สามารถนำส่วนต่างระหว่างค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ได้รับชดเชย
เพื่อบวกกลับในการคำนวณโบนัสประจำปีของพนักงานได้และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง (ธ.ก.ส.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๓.๑
เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในคราวประชุมครั้งที่
๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่ให้จัดหาผู้ประกอบการผลิตปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ
ให้มีจำนวนหลากหลาย เพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในการใช้ปุ๋ยให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ราคาปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่จำหน่ายตามโครงการฯ
จะต้องเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไป ๓.๒
กำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและรัดกุมรวมถึงติดตามผลการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และรายงานผลการดำเนินโครงการฯ ให้ นบข.
ทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2768 | มาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ | ปช. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2769 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2566 | กค. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้ม : เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว โดยเฉพาะการใช้จ่ายในหมวดบริการ
สำหรับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยว
แต่การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อคนปรับลดลงจากจำนวนวันพักที่ลดลงและสัดส่วนนักท่องเที่ยวระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ายังคงฟื้นตัวช้า ๑.๒ เสถียรภาพระบบการเงินและภาวะการเงิน : ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ
แต่ต้องติดตามพัฒนาการของคุณภาพสินเชื่อที่อาจได้รับแรงกัดดันจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของผู้ประกอบการ
SMEs และครัวเรือนบางส่วนที่ยังเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
รวมถึงติดตามความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ๑.๓ การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย : กนง. มีมติ (๒ สิงหาคม ๒๕๖๖ และ ๒๗ กันยายน
๒๕๖๖) ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕
และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจนถึงสิ้นปี ๒๕๖๖ ๑.๔ การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน : ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าในไตรมาสที่
๔ ของปี ๒๕๖๖ แข็งค่าขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ๑.๕
การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน : กนง.
ได้สนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้
รวมทั้งสนับสนุนแนวทางการดูแลหนี้ครัวเรือนเพิ่มเติมที่จะดำเนินการควบคู่ไปด้วยในอนาคต ๒. ให้
กนง. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า กนง.
ควรคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนที่สูงขึ้น
รวมถึงความเปราะบางที่เกิดจากภาระหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการ
SMEs ตลอดจนแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยของต่างประเทศ
เพื่อนำไปใช้ในการพิจารณาดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป
เพื่อให้ทิศทางการส่งผ่านนโยบายการเงินสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2770 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ปช. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๒.
เห็นชอบข้อเสนอแนะระดับนโยบายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปประกอบการพิจารณาขับเคลื่อนและยกระดับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในปีต่อไป
รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและข้อเสนอแนะของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการประเมิน ITA ควรแยกส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานที่ให้บริการกับหน่วยงานนโยบายออกจากกัน
และปรับข้อคำถามในตัวชี้วัดให้แตกต่างกันตามภารกิจ
การเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างตามแบบวัด OIT ควรมีการยืดหยุ่นให้ใช้ระบบการรายงานของหน่วยงานแทนได้
และควรเพิ่มเกณฑ์การประเมินที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นประจักษ์ ชัดเจน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะต้องได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติควรพิจารณากำหนดเกณฑ์การประเมิน
ITA ให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งควรสื่อสารสร้างความเข้าใจและชี้แจงเกณฑ์การประเมิน ITA ก่อนเริ่มปีงบประมาณ
เพื่อให้หน่วยงานสามารถวางแผนการดำเป็นการและจัดทำแผนปฏิบัติราชการที่จะนำไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงานได้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2771 | ปัญหาการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ | นร. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งราคากุ้งนำเข้าดังกล่าวมีราคาต่ำกว่าราคากุ้งในประเทศก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ
เพราะมีผลทำให้ราคากุ้งในประเทศยิ่งต่ำลง โรงงานแปรรูปไม่รับซื้อ ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบโดยตรง
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาและดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทยโดยด่วน
และให้รายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2772 | ผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๑๓ (the Thirteenth Ministerial Conference :
MC13) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งองค์การการค้าโลก (World
Trade Organization : WTO) ร่วมกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
MC13 ระหว่างวันที่ ๒๖–๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ กรุงอาบูดาบี
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีรัฐมนตรีด้านการค้าและผู้แทนระดับสูงของประเทศสมาชิก
จำนวน ๑๖๔ ประเทศ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยในส่วนของไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO
และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกเป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม
โดยภาพรวมการประชุม MC13 มีรูปแบบการประชุมเป็นการหารือรายหัวข้อ
(Working Session) ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถแสดงความคิดเห็นหรือกล่าวถ้อยแถลงโดยความสมัครใจในประเด็นต่าง
ๆ ทั้งนี้ ภายหลังการประชุม MC13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๑๓ ฉบับ เช่น ปฏิญญารัฐมนตรีอาบูดาบี และแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ครั้งที่ ๔๓ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2773 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการ จำนวน ๕๗ รายการ (๕๒
สินค้า ๕ บริการ) เป็นสินค้าและบริการควบคุมตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
(กกร.) ในคราวประชุม กกร. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2774 | การปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น | ศธ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
(นักเรียนทุน จ.ภ.) ระยะที่ ๒
โดยผู้รับทุนจะเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานใช้ทุนหรือหน่วยงานของรัฐที่ผู้ให้ทุนกำหนด
และรับเงินเดือนตามที่หน่วยงานนั้น ๆ
กำหนดเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ได้รับทุนตามสัญญา โดย “หน่วยงานชดใช้ทุน”
ให้หมายความรวมถึงภาคอุตสาหกรรม สถาบันไทยโคเซ็นและหน่วยงานของรัฐ “ภาคอุตสาหกรรม”
ให้หมายความถึงภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ
และกลุ่มอุตสาหกรรมอนาคตในประเทศไทย โดยไม่จำกัดภูมิภาคในประเทศไทยและไม่จำกัดสัญชาติของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
และ “หน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร” ให้หมายความถึง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
องค์การมหาชน หน่วยธุรการขององค์การของรัฐที่เป็นอิสระ กองทุนที่เป็นนิติบุคคล
หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ และหน่วยงานที่มีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ ๒ เห็นชอบให้ปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑
โดยให้เป็นไปตามเงื่อนไขการปฏิบัติงานเพื่อใช้ทุนหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๒ ตามข้อ ๑
เนื่องจากเป็นการให้ทุนการศึกษาในลักษณะเดียวกันกับการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาต่อสำหรับนักเรียนทุนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยไปศึกษาต่อ
ณ สถาบันโคเซ็น ประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ ให้กระทรงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ. รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ ที่ให้กำหนดสัดส่วนของนักเรียนทุน จ.ภ. ที่จะชดใช้ทุนในสถานที่ปฏิบัติงานต่าง
ๆ (หน่วยงานภาครัฐ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของเอกชนในประเทศไทย
และสถาบันไทยโคเซ็น) ให้เหมาะสม และให้ความสำคัญกับหน่วยงานภาครัฐและโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
สำหรับการปรับเงื่อนไขการชดใช้ทุนในส่วนของการปฏิบัติงานหลังสำเร็จการศึกษาของนักเรียนทุน
จ.ภ. ระยะที่ ๑ ให้เป็นเงื่อนไขเดียวกับนักเรียนทุน จ.ภ. ระยะที่ ๒
ควรกำหนดเงื่อนไขทุนเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ผู้รับทุนได้มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการวางแผนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาพรวมให้มีความชัดเจน
โดยพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลเพื่อติดตามและประเมินความก้าวหน้าทางอาชีพของนักเรียนทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ
เพื่อนำมาวัดประสิทธิผลของการจัดสรรทุนรัฐบาลในกลุ่มประเภทแหล่งทุนต่าง ๆ
และการออกแบบแนวทางการพิจารณาจัดสรรทุนโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2775 | การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี วงเงิน 500 ล้านบาท ของสำนักงานธนานุเคราะห์ | พม. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารออมสิน วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ออกไปอีก ๒
ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
เพื่อเป็นเงินทุนสำรองสำหรับหมุนเวียนรับจำนำและสำหรับใช้จ่ายในการบริหารเงินให้เกิดสภาพคล่องในกิจการ
ของสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (สำนักงานธนานุเคราะห์)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา
๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ การก่อหนี้ภายใต้การต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว
จะต้องเป็นไปตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ขอบวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐผู้กู้
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศและของหน่วยงานของรัฐ โดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบ
และคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้
การกระจายภาระการชำระหนี้ เสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินการคลัง ตลอดจนความน่าเชื่อถือของประเทศและของหน่วยงานของรัฐผู้กู้
รวมถึงให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง
การวางแผนทางการเงินล่วงหน้า และการพัฒนาระบบบริหารทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้สามารถบริการประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ และการกู้เงินดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้องครบถ้วน
โดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบและคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้
รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2776 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ปี 2567 และกลไกการบริหารจัดการ | นร.12 | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ๑.๑
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ ของสำนักงาน
ก.พ.ร.
โดยจังหวัดเป้าหมายที่สามารถกำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยรายปีของปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน
๒.๕ ไมครอน (PM2.5) ตามตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint KPIs) ประเด็นที่ ๕ การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5
ได้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวนทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด
และจังหวัดเป้าหมายที่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะนำมากำหนดเป็นค่าเป้าหมาย
เนื่องจากมีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในระหว่างปี
หรือยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ซึ่งจะนำมากำหนดให้มีการประเมินตัวชี้วัดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๑๕ จังหวัด ๑.๒
เห็นชอบข้อเสนอแนะโดยมอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเพิ่มเติม
สำหรับจังหวัดที่ยังไม่มีการติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดค่าเป้าหมายสำหรับใช้ประเมินในปีถัดไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงาน ก.พ.ร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งการและสนับสนุนงบประมาณ
เครื่องมือ และบุคลากรสำหรับการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่อย่างเต็มขีดความสามารถ
ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มกลไกการบริหารจัดการเชิงรุก
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุนอย่างชัดเจน เพื่อการบูรณาการทำงานร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศได้ในระยะยาว
และควรคำนึงถึงสถานที่ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2777 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ 3 | พณ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า
(Joint Trade
Committee : JTC) ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๓ - ๔ กรกฎาคม
๒๕๖๗ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมมาเลเซีย เป็นประธานร่วม โดยท่าทีไทยฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดท่าทีของไทยเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้า การลงทุนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
โดยยังไม่มีการทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างสองประเทศ จึงไม่มีประเด็นที่
ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และหากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น
ๆ นอกเหนือจากที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอันเป็นผลประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ให้ผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
(หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนมาก ที่ นร ๑๔๐๗/๑๗๒ ลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน
๒๕๖๗) เห็นว่าในกรณีที่หน่วยงานมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ ขอให้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องมีหนังสือขอความเห็นมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ซึ่งในกรณีนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะมีหนังสือขอความเห็นมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเองโดยตรง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2778 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม พ.ศ. .... | ดศ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจัดระบบการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม
สำหรับรับข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการแจ้งเตือนประชาชนตามกฎหมาย
และส่งต่อข้อมูลนั้นไปยังอุปกรณ์สื่อสารของประชาชนผ่านระบบของผู้ให้บริการการสื่อสารโทรคมนาคม
รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม
และกำหนดหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการแจ้งเตือนประชาชนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
แจ้งข้อมูลโดยใช้ระบบการแจ้งเตือนข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเละสังคมรับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไปหารือร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติก่อน
แล้วให้ส่งร่างระเบียบฯ ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามข้อยุติแล้ว
รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความเห็นว่า ร่างระเบียบในเรื่องนี้ได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการแจ้งเตือนประชาชนแจ้งข้อมูลโดยใช้ระบบการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติให้ทำหน้าที่หลักในการใช้ระบบแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนสาธารณภัยต่าง ๆ เช่น อุทกภัย แผ่นดินไหว สึนามิ
ซึ่งเป็นภารกิจในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พ.ศ. ๒๕๕๐ อยู่แล้ว ดังนั้น
การดำเนินภารกิจของหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการแจ้งเตือนภัยประชาชนตามร่างระเบียบดังกล่าว
จึงอาจซ้ำซ้อนกับการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรมีแนวทาง ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการดำเนินการที่ชัดเจนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกัน
รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
โดยควรตระหนักและให้ความสำคัญของข้อมูลที่จะทำการเผยแพร่
ซึ่งต้องมีความถูกต้องแม่นยำ (Accuracy) เชื่อถือได้ (Reliable) และทันต่อเวลา (Timely) สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรกก่อน
และพิจารณาการขอรับจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคม ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ
หากไม่เพียงพอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2779 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) | ยธ. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมตาราง ๕
ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยลดภาระในการจ่ายค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีบางประการที่ไม่จำเป็น
เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากการไม่สามารถชำระหนี้ได้
และยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เห็นว่าการชำระค่าธรรมเนียมตามกฎหมายเป็นมาตรการอย่างหนึ่งเพื่อให้ผู้ใช้สิทธิได้พิจารณาเรื่องอย่างละเอียดรอบคอบก่อนที่จะใช้สิทธิบังคับตามกฎหมาย
และป้องกันมิให้มีการใช้สิทธิโดยไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสม เช่น
ค่าธรรมเนียมถอนการยึดอันเกิดจากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดทรัพย์โดยผิดหลง
ดังนั้น หากมีการลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี
อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการยึดหรืออายัดทรัพย์สินในลักษณะดังกล่าวมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2780 | การพัฒนาโครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ (คุ้งบางกะเจ้า) อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ | นร. | 25/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการโครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติศรีนครเขื่อนขันธ์ (คุ้งบางกะเจ้า) อำเภอพระประแดง
จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นพื้นที่ตามพระราชดำริให้สงวนพื้นที่คุ้งบางกะเจ้าไว้เป็นพื้นที่สีเขียวและคงความเป็นปอดของคนเมือง
เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติ ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จึงขอให้หน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้พื้นที่คุ้งบางกะเจ้าเป็นพื้นที่นำร่อง (Sandbox) ในการประกาศหลักเกณฑ์คุ้มครองพื้นที่ป่าและพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม
และให้ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ตลอดจนให้พิจารณาเพิ่มชนิดพืชที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ในบัญชีแนบท้าย ก
ของประกาศกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
หลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๖
ให้เหมาะสมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
