ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 132 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 2621 - 2640 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2621 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร.01 | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเกท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยไม่ถือเป็นวันลา
เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ระหว่างวันที่ ๑๒ กรกฎาคม-๓
สิงหาคม ๒๕๖๗ รวม ๒๓ วัน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อเสนอแนะของกระทรวงวัฒนธรรม ที่เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่บรรพชาอุปสมบท
ณ วัดไทยในต่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2622 | ข้อเสนอแนะกรณีปัญหากระบวนการขอประทานบัตรเหมืองแร่เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และการประกอบกิจการเหมืองแร่อุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี | สม. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะกรณีปัญหากระบวนการขอประทานบัตรเหมืองแร่เพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และการประกอบกิจการเหมืองแร่อุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2623 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างเครือข่ายความเป็นเลิศของคนประจำเรือภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กับกรมเจ้าท่า ประเทศไทย (Memorandum of Understanding between The Asia-Pacific Economic Cooperation Seafarers Excellence Network (APEC SEN) and Marine Department of Thailand) | คค. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างเครือข่ายความเป็นเลิศของคนประจำเรือภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
กับกรมเจ้าท่าประเทศไทย (Memorandum of
Understanding between The Asia-Pacific Economic Cooperation Seafarers
Excellence Network (APEC SEN) and Marine Department of Thailand)
และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจ้าท่า หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดขอบเขตความร่วมมือระหว่าง APEC SEN กับกรมเจ้าท่า
ให้ครอบคลุมถึงการดำเนินการในด้านการศึกษาและการฝึกอบรมทางน้ำที่มีคุณภาพ
การปรับปรุงสวัสดิการผ่านการสนับสนุนร่วมกัน
และการอำนวยความสะดวกในการพัฒนาอาชีพและการฝึกอบรมใหม่ สำหรับคนประจำเรือในยุคดิจิทัล
เช่น การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญสำหรับกิจกรรมของ APEC SEN การทำงานร่วมกันในการออกแบบและดำเนินกิจกรรม
เสริมสร้างศักยภาพทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ
ที่ตกลงร่วมกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างเครือข่ายความเป็นเลิศของคนประจำเรือภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
กับกรมเจ้าท่าประเทศไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2624 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 57 | พม. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕๗ โดยไม่มีการลงนาม ในช่วงการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕๗ (The fifty-seventh session of the Commission on
Population and Development-CPD57) ระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๗-๓ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ณ
สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕๗ ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประชากรและการพัฒนา
และเสริมสร้างความร่วมมือระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ความร่วมมือเหนือ-ใต้
ใต้-ใต้ และความร่วมมือไตรภาคี เพื่อบรรลุการขจัดความยากจน การเพิ่มอายุคาดเฉลี่ย
(Life Expectancy) การลดการเสียชีวิตของเด็กและมารดา
การปรับปรุงการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน และบริการด้านสุขภาพทางเพศ และอนามัยการเจริญพันธุ์
รวมถึงการวางแผนครอบครัว โดยสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในลักษณะบูรณาการ
และตระหนักถึงความท้าทายที่สำคัญ อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุประชากร
ความยากจน ผลกระทบด้านลบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่โลกกำลังเผชิญ
ซึ่งทำให้ความเปราะบางและความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น
และมีผลกระทบเชิงลบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาคณะกรรมาธิการประชากรและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕๗
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2625 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบูรไนดารุสซาลาม | กก. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบรูไนดารุสซาลาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลของสุลต่านและยัง ดี-เปอร์ตวน แห่งบรูในดารุสซาลาม โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญ เช่น ย่อหน้าที่ ๑ ระบุวัตถุประสงค์ในการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ
เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการท่องเที่ยว และสนับสนุนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย ข้อบังคับ และนโยบายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง ย่อหน้าที่ ๒
ระบุขอบเขตความร่วมมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน อาทิ
การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวตามรูปแบบที่มีศักยภาพ
การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
การยกระดับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และบุคลากร วิชาชีพด้านการท่องเที่ยว
รวมถึงการประสานงานเพื่อส่งเสริมการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างสองประเทศ การประสานระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการท่องเที่ยว
การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้านการท่องเที่ยว
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรเร่งผลักดันให้เกิดการดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแนวทางมาตรฐานการท่องเที่ยวสะอาด (Clean Tourism) ที่สามารถพัฒนาให้เป็นจุดแข็งของประเทศ
เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มมุสลิมทั้งประเทศบรูไนดารุสซาลาม และประเทศอื่น
ๆ ในภูมิภาค ให้เลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น และใช้ความร่วมมือให้เป็นโอกาสในการพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวในรูปแบบที่สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นหุ้นส่วน (Partnership) กับการจัดการด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐ
เพื่อให้ประเทศไทยได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนากิจกรรมด้านการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ๆ ที่ประเทศบรูไนดารุสซาลามได้มีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเป็นทางเลือกที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ตามบริบทและความเหมาะสมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2626 | การส่งเสริมและสนับสนุนที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง | นร. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จากการลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมประชาชนบริเวณแฟลตดินแดง
เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา
ได้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(การเคหะแห่งชาติ)
ตรวจสอบความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศ
เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชนและสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
ตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละพื้นที่ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
ตรวจสอบที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณริมทางรถไฟและสถานีรถไฟต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีความเหมาะสมและสามารถนำมาสร้างที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารอาคารสงเคราะห์)
ศึกษาแนวทางในการส่งเสริมผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมและเป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2627 | แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา | นร. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมามีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และอาจส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลายมิติทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ
และสังคม รวมถึงการดำเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง
นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
จึงได้มีคำสั่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๗ ลงวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗ เรื่อง
แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา
โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ มีหน้าที่และอำนาจ ๗
ประการ ซึ่งรวมถึงการติดตาม ตรวจสอบ
ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ในภาพรวมที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
การให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี
หรือคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการหรือแนวทางในการดำเนินการ
เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์แห่งชาติในการแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ในเมียนมา
และการดำเนินการทางการทูตเชิงรุกที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนให้เกิดสันติภาพในเมียนมา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2628 | การจัดกิจกรรมแสดงพลังในการทำความดีของกลุ่มผู้ต้องราชทัณฑ์ | นร. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรื่อง ขอความร่วมมือในการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะ)
มอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินมาตรการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะต่าง
ๆ ในความรับผิดชอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์)
ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำนักโทษที่กรมราชทัณฑ์พิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ
นอกเรือนจำตามความเหมาะสม เช่น การขุดลอกคูคลอง การลอกท่อระบายน้ำ
เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ นั้น
เพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มผู้ต้องราชทัณฑ์และผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมให้แสดงพลังในการทำความดี
จึงขอให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณาจัดกิจกรรมแสดงพลังในการทำความดีของกลุ่มบุคคลดังกล่าวในลักษณะที่เป็นงานบริการสาธารณะเพื่อชดเชยความเสียหายที่ได้เคยกระทำ
เช่น การปลูกป่า การเก็บขยะบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล การขุดลอกคูคลอง
การลอกท่อระบายน้ำ ทั้งนี้
ให้กระทรวงยุติธรรมประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานครในการจัดกิจกรรมดังกล่าวโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2629 | การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย | นร. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารบริษัทเอกชนจากต่างประเทศเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๗ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
เนื่องในโอกาสการเดินทางมาประเทศไทยเพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการขยายการจัดการแข่งขันรถยนต์
Formula One ในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก
รวมทั้งเป็นการสร้างโอกาสและยกระดับศักยภาพของคนไทยและประเทศไทยในกิจกรรมประเภทนี้
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) ศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
เพื่อพิจารณาดำเนินการประมูลสิทธิการจัดการแข่งขันรถยนต์ดังกล่าวต่อไป ๒.
ให้การกีฬาแห่งประเทศไทยศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันรถยนต์ Formula One ที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขันดังกล่าว ๓.
ให้กรุงเทพมหานครพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการจัดการแข่งขันรถยนต์ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2630 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตพิเศษเฉพาะคราวเพื่อส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ที่ห้ามนำเข้า พ.ศ. .... | สธ. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตพิเศษเฉพาะคราว เพื่อส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ที่ห้ามนำเข้า
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตพิเศษเฉพาะคราวและการออกใบอนุญาตพิเศษเฉพาะคราวเพื่อส่งออกวัตถุออกฤทธิ์ที่ห้ามนำเข้า
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นว่าการกำหนดให้ผู้อนุญาตพิจารณาออกใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน
๓๐ วันตามร่างข้อ ๖ นั้น ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่ากำหนดเวลา ๓๐ วัน
นับแต่เมื่อใดและหากพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะมีมาตรการอย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. และสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th)
ต่อไป และการกำหนดให้ผู้อนุญาตพิจารณาออกใบอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน
๓๐ วันตามร่างข้อ ๖ นั้น ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่ากำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่เมื่อใดและหากพิจารณาไม่แล้วเสร็จจะมีมาตรการอย่างไร
ควรกำหนดให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2631 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการ
(Agreement between the Government
of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of
Bangladesh on Visa Exemption for Holders of Official Passports) และให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายปานปรีย์ พหิทธานุกร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่างความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทนให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้ผู้ลงนามดังกล่าว และให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่ายในการเดินทางเข้า
เดินทางออกจาก เดินทางผ่าน
และพำนักอยู่ชั่วคราวในดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน
นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่เข้ารับการจ้างงานใด ๆ
ไม่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือกิจการส่วนตัวอื่นใดในดินแดนของอีกฝ่าย ทั้งนี้
ระยะเวลาพำนักนั้นจะได้รับการขยายไปจนสิ้นสุดวาระการแต่งตั้งของบุคคลเหล่านั้น
เมื่อมีคำร้องขอของกระทรวงการต่างประเทศหรือสถานเอกอัครราชทูตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางราชการในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งแจงเหตุผลและประโยซน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผลและสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานตามความตกลงดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบ
และเห็นควรให้ความเห็นชอบให้ผู้แทนที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงดังกล่าว
โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
ที่ให้หน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศทุกประเภทดำเนินการให้ถูกต้อง
ชัดเจน และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2632 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | กก. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการบินพลเรือนและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยมีสาระสำคัญเป็นการมุ่งพัฒนาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยและบังกลาเทศ
เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ
โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวระหว่างกัน เช่น
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา การพัฒนาการท่องเที่ยว และบริการรูปแบบใหม่
การพัฒนาบุคลากร และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางสถิติด้านการท่องเที่ยว
โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเพื่อติดตามและให้คำแนะนำการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับนี้ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๙๐๗/๑๐๒ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗) ที่เห็นควรสนับสนุนรูปแบบการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของประเทศและสอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวบังกลาเทศ
ด้วยการผนวกรวมวัฒนธรรม ความเชื่อ และศรัทธา
สำหรับใช้เป็นเรื่องราวที่มีความน่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสติดตาม
และเกิดความหลงใหลในเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปรับทราบกรอบความร่วมมือในวงกว้าง
รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกัน
โดยมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาความร่วมมือทั้งสองประเทศให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตลอดจนติดตามประเมินผลความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวดังกล่าว
เพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ต่อไป และเห็นว่าในย่อหน้าที่ ๔
ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่กำหนดว่า “ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในสาขาดังต่อไปนี้”
โดยข้อ (เอช) กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศาสนา จิตวิญญาณ และความเชื่อ
และการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวชาวพุทธ ระหว่างสองประเทศ
และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงมรดกวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ”
นั้น อาจมีประเด็นว่าเหตุใด จึงระบุเพียงชาวพุทธหรือวัฒนธรรมทางศาสนาพุทธ
จึงเห็นว่า ในข้อนี้อาจเขียนในลักษณะกว้างทำนองเดียวกับข้อ (ไอ) ที่กำหนดว่า “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
และสุขภาพ” โดยข้อ (เอช) อาจแก้ไขเป็นเพียง “การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม/มรดกทางวัฒนธรรม”
เนื่องจากความหมายของวัฒนธรรมมีความหมายครอบคลุมในทุกด้านอยู่แล้ว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2633 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Memorandum of Understanding Between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Power, Energy and Mineral Resources of the People's Republic of Bangladesh on Energy Cooperation) | พน. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า
พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ (Memorandum
of Understanding Between the Ministry of Energy of the Kingdom of
Thailand and the Ministry of Power, Energy and Mineral Resources of the
People’s Republic of Bangladesh on Energy Cooperation) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงไฟฟ้า
พลังงาน และทรัพยากรแร่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญที่มุ่งเน้นการผลักดันกิจกรรม/โครงการความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยและบังกลาเทศ
โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนแนวนโยบายและองค์ความรู้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาพลังงานที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน
นอกจากนี้ กิจกรรมภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ยังช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจและการร่วมลงทุนในโครงการด้านพลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และการจัดหาพลังงานสะอาดร่วมกับฝ่ายบังกลาเทศ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางและนโยบายการพัฒนาภาคพลังงานของไทยที่มุ่งเน้นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและผลักดันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรพิจารณาค่าใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน หรืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2634 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณการก่อสร้างระบบระบายน้ำถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก ระยะที่ 1 เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี | มท. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการการก่อสร้างระบบระบายน้ำถนนเลียบทางรถไฟฝั่งตะวันออก
ระยะที่ ๑ เมืองพัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี จากเดิม ๖๕๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็น
๖๘๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไว้เดิม
(รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) จำนวน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งขออนุมัติขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการดังกล่าว
จาก ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ เป็น
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย
(เมืองพัทยา) การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
หากโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้รับผลกระทบและต้องมีการปรับรูปแบบเปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับความเห็นชอบเดิม
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามขั้นตอนการพิจารณารายงานต่อไป
และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยเมืองพัทยา
ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลการก่อสร้างโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนงาน
เพื่อให้โครงการฯ สามารถดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาโครงข่ายลำคลองระบายน้ำตามธรรมชาติให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
โดยเฉพาะคลองนาเกลือ ซึ่งเป็นคลองที่รับการระบายน้ำจากโครงการฯ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
พร้อมทั้งจัดทำแผนการจัดการขยะตามแหล่งชุมชนใกล้แหล่งน้ำควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อป้องกันมิให้มีการทิ้งขยะมูลฝอย
สิ่งปฏิกูล น้ำเสีย หรือของเสียลงสู่แหล่งน้ำและทางระบายน้ำสาธารณะ
ซึ่งจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเน่าเสียและปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่บริเวณโดยรอบได้อย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2635 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา | ลต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๒๒๗,๑๐๕,๕๐๐ บาท
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งขอรับการสนับสนุนงบประมาณ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ตามนัยข้อ ๘ วรรคสองของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ทั้งนี้
ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2636 | ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์
แสงมณี) เสนอเพิ่มเติมว่า โดยที่เอกสาร ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑)
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งบรูไนดารุสซาลามเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน
และ ๒) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการแห่งบรูไนดารุสซาลามยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
ดังนั้น ในชั้นนี้กระทรวงการต่างประเทศจึงขอตัดถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับเอกสารทั้ง ๒
ฉบับ ในร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมดังกล่าวออกไปก่อน ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายจักรพงษ์ แสงมณี เสนอเพิ่มเติม
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมสำหรับการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี
ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละฮ์ แห่งบรูไนดารุสซาลาม
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2637 | ร่างกฎกระทรวงการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. .... | ศธ. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่องร่างกฎกระทรวงการจัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พ.ศ. .... คืนไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2638 | รัฐบาลสาธารณรัฐปานามาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทย (นางสาวซารา เตเรซา เอเนเฆ ชุม) | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวซารา เตเรซา เอเนเฆ ชุม (Ms. Sara Teresa Ng Shum) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐปานามาประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางสาวอิตเซล การินา เชน ชัน (Ms.
Itzel Karina Chen Chan) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2639 | รัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียเสนอขอแต่งตั้งกงสุลสาธารณรัฐอินเดีย ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายประเณาว์ คเณศ) | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายประเณาว์ คเณศ (Mr. Pranav Ganesh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลสาธารณรัฐอินเดีย
ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร
ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน นครสวรรค์ น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก แพร่
สุโขทัย ตาก อุทัยธานี และอุตรดิตถ์ สืบแทน นายกฤษณะ ไจยตันยะ (Mr. Krishna Chaitanya) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2640 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร และการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ จังหวัดภูเก็ต (นางสาวกันยารัตน์ กัลยาวรัตน์) | กต. | 23/04/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน
๒๕๒๑ (เรื่อง
รัฐบาลไอซ์แลนด์ขอตั้งสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และเสนอชื่อนาย Jorgen Albert Hage สัญชาติเดนมาร์ก
ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ประจำกรุงเทพมหานคร
และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ ณ กรุงเทพมหานคร
คนใหม่) เฉพาะในส่วนการกำหนดเขตกงสุล จากเดิมที่มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย เป็น
มีเขตกงสุลครอบคลุมประเทศไทย ยกเว้นจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช
นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา สุราษฎร์ธานี ตรัง และยะลา
|