ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | กรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยกรอบแนวทางการประเมินของส่วนราชการ
กำหนดให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง
สำหรับกรอบและแนวทางการประเมินของจังหวัดมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสม ตัวชี้วัด น้ำหนัก
และค่าเป้าหมาย รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ในหัวข้อองค์ประกอบการประเมิน รอบระยะเวลาการประเมิน และกลไกการประเมิน
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา
๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่
จึงไม่เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนากยรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
และสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการศึกษาและทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละส่วนราชการเพื่อนำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วมกันจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้ ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และกรอบเวลาในรอบการประเมินครั้งที่ ๑ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้คะแนนการประเมินสามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
และเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ซึ่งกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
และโดยที่ผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ
ดังนั้น หากมีการเร่งรัดกระบวนการประเมินดังกล่าว
จะทำให้การดำเนินการมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติการผู้บริหารของส่วนราชการ
และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ มากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
722 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ | พณ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property
Organization : WIPO) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ (Memorandum
of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the
World Intellectual Property Organization on Expansion of Cooperation in
Specific Areas) และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
ในนามอาเซียน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างอาเซียนและ WIPO ในด้านทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องใหม่นอกเหนือจากที่ดำเนินการอยู่แล้วตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ที่อาเซียนดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยดำเนินการใน ๔ ประเด็น ได้แก่
(๑) การให้ความช่วยเหลือ SME และสตาร์ทอัพในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสนับสนุนการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างภูมิภาค
(๒)
การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจด้วยการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
(๓) การสนับสนุนการนำทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้มาใช้ค้ำประกันเงินกู้เพื่อต่อยอดธุรกิจ
และ (๔) การสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้
๔ ปี และไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณ ตามที่กระทรวงพาณิชย์
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
723 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซีแดตเทิล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐเอริกา
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้แนวนโยบายเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหารของเอเปคในระยะยาว
สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของไทย
และสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยปี ๒๕๖๕ โดยเฉพาะเป้าหมายกรุงเทพฯ
ว่าด้วยเศรษฐกิจบีซีจี ที่เน้นการใช้นวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ในขณะที่เอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ร่างเอกสารหลักการเพื่อการบรรลุความมันคงอาหารผ่านระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเปค
สอดคล้องกับการทำงานของเอเปคตามแผนงานความมั่นคงอาหารของเอเปค ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายกรุงเทพฯ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
724 | เอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Nitric Acid Climate Action Group : NACAG) (คาโปรแลคตัม) | ทส. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน
(Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ
(Nitric Acid Climate Action Group : NACAG) (คาโปรแลคตัม) โดยให้รัฐมนตีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนลงนามในเอกสารดังกล่าว
และมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กลุ่ม NACAG ของไทยให้สอดคล้องกับเอกสาร SoU (คาโปรแลคตัม)
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผลการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากสถานประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม
NACAG ไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย NDC ของไทย
และไม่นำไปซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศตามความตกลงปารีส โดยเอกสาร SoU (คาโปรแลคตัม) มีสาระสำคัญใกล้เคียง SoU (กรดไนตริก) โดยปรับเปลี่ยนจากการผลิตกรดไนตริกเป็นคาโปรแลคตัม
และยืนยันว่าภายใน ๓ ปี หลังจากการลงนามใน SoU (คาโปรแลคตัม) สถานประกอบการผลิตคาโปรแลคตัมทั้งหมดในไทยจะติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซwไนตรัสออกไซด์จากวงจรการผลิต โดยกลุ่ม NACAG
จะให้การสนับสนุนเทคโนโลยีแก่ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงานของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ
(คาโปรแลคตัม) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความประหยัด ความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับการบูรณษการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน
และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
725 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล
จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลคลองโยง ตำบลศาลายา
ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล และตำบลหอมเกร็ด ตำบลทรงคนอง ตำบลบางเตย
อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา
การศาสนา พาณิชยกรรมและการบริการ
การรองรับการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของประชากรและแรงงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยการพัฒนาการผลิตทางด้านเกษตรกรรมแบบผสมผสานการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
การชลประทานและการระบายน้ำ การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค การสาธารณูปการ
และการดำรงรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่นด้วย
การพิจารณาอนุญาตต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
ให้พิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยในประเภทหรือชนิดของโรงงานลำดับที่
๒๒ (๒) การทอหรือการเตรียมเส้นด้ายยืนสำหรับการทอ และโรงงานลำดับที่ ๒๒ (๔)
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการพิมพ์สิ่งทอ ให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง กำหนดจำนวน ขนาด
และประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ไม่ให้ตั้งหรือขยายในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๐ และควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
726 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... | ทส. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเชียงม่วน
อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย บางส่วน
ในท้องที่ตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่ยม ป่าแม่ต๋ำ และป่าแม่ร่องขุย บางส่วน
ในท้องที่ตำบลเชียงม่วน อำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา
เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดพะเยา โดยมีจำนวนเนื้อที่ประมาณ ๑,๓๔๔ ไร่ ๓ งาน ๗๗ ตารางวา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องถือปฏิบัติตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการตามมาตรการป้องกันและการฟื้นฟูผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
เนื่องจากการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำปี้
มีการดำเนินการบางส่วนในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางทางระบบนิเวศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
727 | การขออนุมัติให้ประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 17 ในปี พ.ศ. 2568 (UCCN Annual Conference 2025) ณ จังหวัดเชียงใหม่ | วธ. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก
ครั้งที่ ๑๗ ในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ (UCCN Annual Conference 2025) ณ จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรแล้วในโอกาสแรก
หากไม่เพียงพอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
แล้วแต่กรณี ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
728 | การแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 (ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น หรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ....) | ตช. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการในระดับกองบัญชาการหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ
โดยคงจำนวนส่วนราชการดังกล่าวไวว้เท่าเดิม จำนวน ๓๐ หน่วย
(ไม่มีส่วนราชการสำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ
ซึ่งโอนไปเป็นส่วนราชการในพระองค์ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์
พ.ศ. ๒๕๖๐
และพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ.
๒๕๖๐) และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น
หรือในระดับต่ำลงไปในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานย่างอื่น
หรือในระดับต่ำลงไป และกำหนดหน้าที่และอำนาจ
โดยคงจำนวนส่วนราชการดังกล่าวไว้จำนวนเท่าเดิม
และกำหนดเพิ่มเติมหน่วยงานที่มีระดับต่ำกว่ากองบังคับการ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าไม่ควรปรากฏ
“กองบังคับการตำรวจรถไฟ” ในร่างกฎกระทรวงฯ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๖๓ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่บัญญัติให้เมื่อครบหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ใช้บังคับ ให้กองบังคับการตำรวจรถไฟเป็นอันยุบ
แม้ว่าปัจจุบันยังไม่ครบกำหนดระยะเวลา ๑ ปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าไม่มีการกำหนดตำแหน่งข้าราชการตำรวจเพิ่มขึ้น
จึงไม่กระทบต่ออัตรากำลังในภาพรวมและไม่กระทบต่องบประมาณด้านบุคลากร
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาการปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องตามภาระงานและความจำเป็น
และควรนำความเป็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในกรม
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕
มาพิจารณาเป็นแนวทางประกอบการปรับปรุงร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการฯ โดยกำหนดภารกิจ
หน้าที่และอำนาจของกรมเป็นหลัก และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการภายในกรมให้สอดคล้องโดยจเขียนเท่าที่จำเป็น
ไม่ลงรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
729 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 9/2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติมพ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๖ โดยอนุมัติให้จังหวัด
เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ให้ความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ
eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
มอบหมายให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และอยู่ระหว่างดำเนินการให้เร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
โดยในกรณีที่หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ๒๕๖๔ พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ
ให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการเร่งเสนอเรื่องขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนข้อ
๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯเพิ่มเติม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ เร่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายตามข้อ ๒๒
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ พร้อมทั้งจัดทำรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการตามหลักเกณฑ์
วิธีการ
และแนวทางในการประเมินผลผลิตและผลลัพธ์ของโครงการตามที่กระทรวงการคลังกำหนดต่อไป ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงต้นสังกัดติดตามหน่วยงานเจ้าของโครงการในการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด
และกำกับดูแลหน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ข้อ ๒๒ และข้อ ๒๓ สำหรับโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก หากมีเงินกู้เหลือจ่ายของโครงการนั้น
ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
เพื่อส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายที่มีบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังภายใน ๓ เดือน
นับจากวันสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ และในกรณีที่หน่วยงานพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการ
แผนงาน/โครงการได้ตามเป้าหมาย ให้เร่งดำเนินการขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการตามขั้นตอนข้อ
๑๘ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถบริหารจัดการเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
730 | การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวรประจำองค์การความร่วมมืออิสลาม และดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสำนักเลขาธิการคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ | กต. | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด
ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ดำรงตำแหน่งผู้แทนถาวไทย (Permanent Representative : PR) ประจำองค์การความร่วมมืออิสลาม
(The Organisation of Islamic Cooperation : OIC) และดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสำนักเลขาธิการคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ
(Gulf Cooperation Council : GCC) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าหากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นให้กระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ
และควรสื่อสารถึงผลลัพธ์และประโยชน์จากการดำเนินงานดังกล่าวให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
731 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... | นร.10 | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนร่างกฎ
ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๕
โดยตัดความ “ข้อ ๔.๑โรคทางกาย” และ “ข้อ ๔.๒ โรคจิต (Psychosis) หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood
Disorders) ที่ปรกฎอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่” ของร่างกฎ ก.พ. ออก ๒. อนุมัติร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดโรคที่เป็นลักษณะต้องห้ามมาตรา ๓๖ ข.
(๒) ของร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ประกอบด้วย “(๑)
โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฎอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม (๒) โรคติดยาเสพติดให้โทษ
(๓) โรคพิษสุราเรื้อรัง (๔)
โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฎอาการเด่นชัดหรือรุนแรงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่”
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.
รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่าการไม่กำหนดให้โรคจิต
หรือโรคอารมณ์ผิดปกติที่ปรากฏอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้องรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่
เป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการเพื่อลดผลกระทบที่มีต่อบุคคลบางประเภทตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
แต่ให้ความในร่างข้อ ๔ (๔) “โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรงและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่”
ให้รวมถึงโรคทางกายและโรคจิต หรือโรคอารมณ์ผิดปกติ
ที่ปรากฏอาการเด่นชัดรุนแรงหรือเรื้อรัง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วย โดยจะใช้ผลการตรวจโรคบุคคลดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการแพทย์ของ
ก.พ. กำหนด
ซึ่งกรณีดังกล่าวจะทำให้บุคคลดังกล่าวมีลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการ
เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง
และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานหน้าที่ ตาม (๔) ของข้อ ๔ ของร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยโรค พ.ศ. .... ดังนั้น สำนักงาน ก.พ.
จึงควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามในการเข้ารับราชการตามเจตนารมณ์ของร่างกฎ
ก.พ. นี้ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
732 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 | นร.11 สศช | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
(คกง.) ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ โดย คกง.
มีมติเกี่ยวข้องกับการพิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินภายใต้พระราชกำหนดกู้เงินฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ปี ๒๕๖๖ ของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๒ จังหวัด รวม ๒ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๒๒.๘๘๕๐
ล้านบาท ได้แก่ ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน ๑ จังหวัด (จังหวัดน่าน) จำนวน ๑
โครงการ และขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ เป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ จำนวน ๑
จังหวัด (จังหวัดตรัง) จำนวน ๑ โครงการ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการ คกง. เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงมหาดไทยควรกำกับติดตามหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
733 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ พ.ศ. .... | นร.11 สศช | 18/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
(Strategic Environmental Assessment : SEA) ตามประเภทของแผน เช่น คมนาคม พลังงาน และอุตสาหกรรม โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศตามประเภทของแผนที่กำหนด ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่เห็นว่าการวางและจัดทำผังเมืองเป็นการดำเนินการภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีกระบวนการจัดการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนที่เกี่ยวข้อง
และมีขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการผังเมืองที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
พ.ศ. .... อยู่แล้ว ดังนั้น การกำหนดให้การวางแผนและจัดทำผังเมืองต้องได้รับการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ตามร่างระเบียบฉบับนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคและความล่าช้าในการขับเคลื่อนการวางผังเมือง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาชุมชน เมือง จังหวัด รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้
ควรเพิ่มประเภทแผนที่ต้องจัดทำ SEA และควรระบุนิยามแต่ละประเภทของแผนที่เพื่อให้เกิดความชัดเจน
ควรพิจารณาความสัมพันธ์ของแผนที่เชื่อมโยงกับประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจส่งผลได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่เห็นว่าการวางและจัดทำผังเมืองเป็นการดำเนินการภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยมีกระบวนการจัดการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนที่เกี่ยวข้อง
และมีขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการผังเมืองที่ครอบคลุมและสอดคล้องกับการจัดทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ตามร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
พ.ศ. .... อยู่แล้ว ดังนั้น การกำหนดให้การวางแผนและจัดทำผังเมืองต้องได้รับการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ตามร่างระเบียบฉบับนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคและความล่าช้าในการขับเคลื่อนการวางผังเมือง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาชุมชน เมือง จังหวัด
รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้ ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด
ควรให้ความสำคัญในการกำหนดแนวทางการประเมินที่ชัดเจนครอบคลุมมิติด้านเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสอดคล้องกับบริบทภารกิจระดับโลก ระดับประเทศ และระดับพื้นที่
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดทำประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์สำหรับโครงการหน่วยงานของรัฐที่ต้องดำเนินการจัดทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย
เพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ
ของหน่วยงานของรัฐเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่เกิดความล่าช้า ๓. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน ที่เห็นว่าสำนักงบประมาณต้องมีการจัดงบประมาณเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่จะต้องดำเนินการ
SEA
สามารถดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
734 | ขออนุมัติการลงนามใน Letter of application for cooperating status เพื่อเข้าร่วมเป็น Cooperating Non - Contracting Party (CNCP) กับคณะกรรมาธิการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิตทางทะเลของมหาสมุทรแอนตาร์กติก (CCAMLR) ของประเทศไทย | กษ. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการลงนามใน
Letter of application for cooperating status เพื่อเข้าร่วมเป็น Cooperating Non-Contracting
Party (CNCP) กับคณะกรรมาธิการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิตทางทะเลของมหาสมุทรแอนตาร์กติก
(CCAMLR) ของประเทศไทย และอนุมัติในหลักการโดยก่อนที่จะมีการลงนาม
และให้อธิบดีกรมประมงหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายเป็นผู้ลงนามใน Letter of application for cooperating status
โดยเอกสารการลงนามฯ เป็นเอกสารแสดงความจำนงเพื่อขอเป็นประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกแต่ให้ความร่วมมือต่อคณะกรรมาธิการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิตทางทะเลของมหาสมุทรแอนตาร์กติก
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยปฏิบัติตามการอนุรักษ์ ๑๐-๐๕
ที่เป็นมาตรการที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันการทำประมงที่ผิดกฎหมาย
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม สำหรับปลาหิมะโดยเฉพาะ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสาร Letter of
application for cooperating status
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์โอกาสและสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบกิจการประมงจะได้รับจากการเข้าร่วมเป็น
CNCP
และการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดกฎระเบียบที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามมาตรการอนุรักษ์
๑๐-๐๕ อย่างต่อเนื่องให้กับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ และผู้ประกอบกิจการประมงที่มีการนำเข้าและส่งออกปลาหิมะให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
735 | รายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2565 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 | กค. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
ปีบัญชี ๒๕๖๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ซึ่งทุนหมุนเวียนได้นำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน
จำนวน ๒๒,๘๓๘.๕๗ ล้านบาท
ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเรียบร้อยแล้ว ประกอบด้วย (๑) ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน
ปีบัญชี ๒๕๖๕ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ จำนวน ๑ ทุน
ได้แก่ กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๑๔,๓๗๗.๕๗
ล้านบาท (๒) ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียน ปีบัญชี ๒๕๖๕
(ครั้งที่ ๒) ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินภายในวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๖ จำนวน ๑๕ ทุน
รวม ๘,๔๖๐.๙๙ ล้านบาท เช่น เงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์
ทรัพย์สินมีค่าของรัฐ และการทำของ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตวัคซีนจำหน่าย และกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
736 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ ฉบับ
และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสาร
จำนวน ๑๒ ฉบับ และเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสาร จำนวน ๓ ฉบับ โดยร่างเอกสารที่จะร่วมรับรองทั้ง
๑๒ ฉบับ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและคู่เจรจาในการส่งเสริมความร่วมมือและต่อยอดในการดำเนินงานในด้านต่าง
ๆ ส่วนร่างเอกสารที่จะมีการลงนามทั้ง ๓ ฉบับ เป็นเอกสารที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศจะลงนามเพื่อให้ความยินยอมต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญา
TAC กับเม็กซิโก ปานามา
และซาอุดีอาระเบีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๕ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศหรือส่วนราชการเจ้าของเรื่องดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรวิเคราะห์ ติดตาม
และประเมินผลการดำเนินงานตามความร่วมมือดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
737 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและสถานที่ดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย กำแพงเพชร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย สระแก้ว | ศธ. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเปลี่ยนแปลงรายการและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖-พ.ศ. ๒๕๖๘
รายการก่อสร้างอาคารเรียนและรายการหอพักนักเรียนแบบพิเศษของโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
กำแพงเพชร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย สระแก้ว
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการขั้นพื้นฐานเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป
ให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการก่อสร้างดังกล่าว
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องได้รับอนุญาตการใช้พื้นที่จากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อนดำเนินการ
และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
738 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - คงคา ครั้งที่ 12 | กต. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ครั้งที่ ๑๒ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
ตามที่ประเทศสมาชิกมีฉันทามติ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญมุ่งเน้นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอินเดียกับประเทศลุ่มน้ำโขงในด้านต่าง
ๆ อาทิ การพัฒนาที่ยั่งยืน การค้าและการลงทุน
ความเชื่อมโยง การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาธารณสุข
การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
ซึ่งสอดคล้องแนวทางการขับเคลื่อนหลักของประเทศตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่างประเทศที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืนกับต่างประเทศ
และการพัฒนาเพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้า
การลงทุน และการบริการที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา
ครั้งที่ ๑๒
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
739 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์) | พน. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานเสนอข้อมูล
ข้อเท็จจริง และเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเพิ่มเติม
กรณีการแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ราย นายเทพรัตน์
เทพพิทักษ์ ไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๒.
เห็นชอบให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติว่า กรณีที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องได้เสนอเรื่องใด ๆ
เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่
หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน
ต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง
แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร)
และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ/อนุมัติในเรื่องนั้น และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว นั้น
หากเรื่องใดคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วไม่เห็นชอบด้วยกับมติคณะรัฐมนตรี
แต่หน่วยงานเจ้าของเรื่องยังคงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการ
หากล่าช้าออกไปจะเกิดความเสียหายต่อหน่วยงานและอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือประชาชนโดยรวมได้
รวมทั้งไม่สามารถจะชะลอเรื่องไว้จนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องทำหนังสือแจ้งยืนยันข้อมูล ข้อเท็จจริง
และเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเรื่องนั้นอย่างเร่งด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาทบทวนผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งต่อไป
ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ
และเหตุผลความจำเป็นให้ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน
พร้อมจัดส่งผู้แทนซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานไปร่วมชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ชัดเจน
ถูกต้อง และตรงประเด็นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
740 | ร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน ครั้งที่ 1 | กต. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน
ครั้งที่ ๑ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงปักกิ่ง
สาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว
ในห้วงการประชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน
ครั้งที่ ๑ โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการจัดการกับความท้าทายด้านการพัฒนาเพื่อเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน
รวมทั้งเป็นการสนับสนุนบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศด้านการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและแสดงความมุ่งมั่นของไทยในการเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่ร่วมมือและองค์การระหว่างประเทศต่าง
ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อความยั่งยืน มั่นคง
มั่งคั่งของอนุภูมิภาค ภูมิภาค และประชาคมโลก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ปักกิ่งสำหรับการระชุมระดับสูงว่าด้วยการปฏิบัติการระดับโลกเพื่อการพัฒนาร่วมกัน
ครั้งที่ ๑
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลง เงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|