ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 26 | กค. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองอินซอน
สาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
เพื่อสนับสนุนความร่วมมือในด้านต่าง ๆ
และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของความร่วมมือทางการเงินของภูมิภาค อาทิ
การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืน
และการเสริมสร้างประสิทธิภาพของความร่วมมือของอาเซียน+๓
รวมทั้งการกำหนดข้อริเริ่มภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
782 | การรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม 77 บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมรับรองร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไตร่ตรองถึงความท้าทายรูปแบบใหม่ของภาควัฒนธรรมในประเทศสมาชิก
ตลอดจนมุ่งส่งเสริมความคิดริเริ่มที่จะดำเนินการในมิติด้านสังคมและเศรษฐกิจของวัฒนธรรม
เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การสนับสนุนกลไกความร่วมมือและทางเลือกเพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมในฐานะสินค้าสาธารณะแห่งโลก
รวมถึงส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและเสริมสร้างขีดความสามารถในประเทศกำลังพัฒนา
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาของการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมกลุ่ม
๗๗ บวกสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
783 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 29 [Joint Statement of the Twenty - Ninth ASEAN Socio - Cultural Community (ASCC) Council] | พม. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๒๙ [Joint Statement of the Twenty-Ninth ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council] และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะมนตรีประชาคมอาเซียนและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ [29th ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council Meeting] ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมอาเซียนและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙ ในวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
มีสาระสำคัญเพื่อสนับสนุนและชื่นชมความก้าวหน้าและความสำเร็จในการดำเนินงานภายใต้ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
ภายใต้แนวคิด “อาเซียนเป็นศูนย์กลาง สรรสร้างความเจริญ” “ASEAN
Matters : Epicentrum of Growth”ตลอดจนการรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานต่าง
ๆ ภายใต้ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ในกรณีที่มีการปรับแก้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องพิจารณาให้ร่างสุดท้ายของร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางในข้อ
๑.๑ ไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๙
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
784 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (ฉบับ ..) พ.ศ. .... | อว. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการพยาบาลศาสตร์
สาขาวิชาการแพทย์แผนไทย สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์
และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ เพิ่มขึ้น รวมทั้งสีประจำคณะพยาบาลศาสตร์ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่า
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีได้อนุมัติหลักสูตร
ดังนี้ (๑) หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต (๒) หลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาศิลปกรรมพื้นถิ่น (๓) หลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล (๕ ปี) (๔) หลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต
สาขาวิชาแพทย์แผนไทย และได้เปิดการเรียนการสอนแล้วในสาขาวิชาดังกล่าว
ก่อนเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยะฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต
มีผู้สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๕ (พ.ศ. ๒๕๖๖)
และจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๖ ส่วนหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
และหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิตจะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๗ (พ.ศ. ๒๕๖๘)
และจะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรประมาณเดือนกันยายน ๒๕๖๘ ดังนั้น
กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้น
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
785 | ขอความเห็นชอบและรับรองต่อเอกสารผลลัพธ์ในระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน และคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 42 | พณ. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาค
และร่างภาคผนวกประกอบแผนการดำเนินงานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต
ในส่วนของเสาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
โดยร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาค
เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในภูมิภาค
เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดการปล่อยคาร์บอน
เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในภูมิภาค
ส่วนร่างภาคผนวกประกอบแผนการดำเนินงานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต
ในส่วนของเสาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
เป็นเอกสารที่กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการเข้าเป็นภาคีตามความตกลงของเสาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนก่อนการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างสมบูรณ์
โดยติมอร์-เลสเต ต้องมีความพร้อมในการดำเนินการตามความตกลงและตราสารสำหรับเสาประชาคมเศรษฐกิจภายในร่างภาคผนวกรวม
๒๒๐ ฉบับ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ๑) ต้องมีความพร้อมในการเข้าร่วมทันที จำนวน
๖๖ ฉบับ ๒) ต้องเข้าร่วมภายใน ๒ ปี
หลังเป็นสมาชิกอาเซียน จำนวน ๔๘ ฉบับ และ ๓) ต้องเข้าร่วมภายใน ๕ ปี
หลังเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน จำนวน ๑๐๖ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าระดับภูมิภาค
และร่างภาคผนวกประกอบแผนการดำเนินงานสำหรับการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์-เลสเต
ในส่วนของเสาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ
รวมถึงแนวทางและมาตรการที่คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะกำหนดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากร่างปฏิญญา และมาตรการต่าง
ๆ ได้อย่างเหมาะสม เร่งศึกษาโอกาส ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
และแนวทางการเตรียมความพร้อมของไทย
เพื่อสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบความร่วมมือของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะความตกลงที่ติมอร์-เลสเตจะเข้าร่วมทันทีเมื่อภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนตามร่างภาคผนวกฯ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
786 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 02/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์ เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่า
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรดุริยางคศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาดุริยางคศิลป์ (หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๕) เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ และได้มีการเปิดการเรียนการสอนแล้วในสาขาวิชาดุริยางคศิลป์ในปี
๒๕๖๕ โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๖๘ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
787 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนายาง-หนองจอก จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. .... | มท. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนายาง-หนองจอก จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองจอก
และตำบลปึกเตียน อำเภอท่ายาง ตำบลหนองศาลา ตำบลบางเก่า ตำบลนายาง ตำบลดอนขุนห้วย
และตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม
เป็นศูนย์กลางหลักการค้าและบริการรับซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ให้บริการแก่ชุมชนโดยรอบ
รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชายทะเล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประวัติศาสตร์
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควร (๑)
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุมกับการวางผังเมือง
ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประกาศดังกล่าว และคำนึงถึงการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ
ไม่ให้กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ (๒) จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ (๓) หากมีการดำเนินการใด ๆ
ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
(๔)
การพิจารณาอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
(๕)
ให้พิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
ในประเภทหรือชนิดของโรงงานลำดับที่ ๒๒ (๔) การพิมพ์สิ่งทอให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง กำหนดจำนวน ขนาด
และประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ไม่ให้ตั้งหรือขยายในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจกร พ.ศ.
๒๕๕๐ และ (๖)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวางผังเมืองรวมชุมชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
788 | รายงานเสนอต่อคณะรัฐมนตรี กรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง สิทธิการเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน) | สผผ. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง
สิทธิการเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน) ตามที่ผู้ตรวจการการแผ่นดินเสนอ
รวมทั้งรับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงาน
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงมาตรการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินให้เกิดความเหมาะสม
โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
โดยกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปผลการพิจารณาและความเห็นในภาพรวม
เช่น (๑) การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสิทธิเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือน
อาจมีบทบาทหน้าที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน (๒)
การแบ่งจ่ายค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระควรมีการศึกษาผลกระทบในด้านต่าง ๆ
เพื่อไม่ให้มีผลต่อรายได้และอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของหน่วยงานผู้ให้บริการ
และเป็นภาระทางการคลังของรัฐบาล (๓)
มาตรการจูงใจให้ประชาชนแบ่งจ่ายค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระได้ตามกำลังทางเศรษฐกิจ เช่น
การไฟฟ้านครหลวงมีมาตรการขยายระยะเวลาและผ่อนชำระค่าไฟฟ้า
และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยมีมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และ (๔) กรมการปกครองได้สำรวจครัวเรือนที่ยังไม่มีไฟฟ้าผ่านระบบ ThaiQM แล้ว
และพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาสิทธิเข้าถึงบริการไฟฟ้าในครัวเรือนให้แก่ประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
789 | รายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี 2566 | พน. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้ไฟฟ้าของประชาชนประเภทบ้านอยู่อาศัยในช่วงฤดูร้อนปี
๒๕๖๖ และแนวทางการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย
โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๓๐๐ หน่วยต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖
กับให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน
๕๐๐ หน่วยต่อเดือน จำนวน ๑๕๐ บาทต่อราย ในรอบบิลเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า
๑.๑ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ
ในการคำนวณสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่ถูกต้องจะต้องคำนวณจากปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าที่พึ่งพาได้จริง
(Dependable Capacity) ของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภท (เช่น
โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์)
โดยไม่สามารถนำผลรวมของกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทดังกล่าวที่มีกำลังผลิตต่างกันมารวมกันเพื่อคำนวณเป็นสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองได้โดยตรง
โดยในปี ๒๕๖๕ ประเทศไทยมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่จริงที่ประมาณร้อยละ ๓๕-๓๖
เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ
เนื่องจากการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ส่งผลให้การใช้ไฟฟ้าจริงในปีที่ผ่านมาลดลง
และทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ในอนาคตความต้องการไฟฟ้าของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้า
นอกจากนี้
เมื่อประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นก็จะมีส่วนทำให้ต้องมีสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นด้วย ๑.๒ การเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาด/พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง
โดยดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีต้นทุนต่ำและเป็นการรับซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีค่าความพร้อมจ่าย
(Availability Payment) รวมทั้งเป็นการดำเนินการที่สนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี
ค.ศ. ๒๐๕๐ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. ๒๐๖๕
ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ในเวทีโลกและเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า
โดยเฉพาะภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสากลในการลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องระบุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไฟฟ้าที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการ
เพราะหากไม่ดำเนินการตามมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ประกอบการไทยจะมีต้นทุนส่งออกที่สูงขึ้นและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ทั้งนี้
ในการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศนั้นเป็นการดำเนินการเพื่อทดแทนกำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ปลอดระวางตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งไม่ทำให้สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศไทยเพิ่มขึ้น ๑.๓ อัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ที่เพิ่มขึ้น
องค์ประกอบหลักของอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft)
ได้แก่ (๑) ค่าเชื้อเพลิง และ (๒) ยอดสะสมยกมาจากงวดที่ผ่านมา
รวมถึงภาระต้นทุนคงค้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
โดยในส่วนของค่าเชื้อเพลิงประเทศไทยต้องนำเข้าเชื้อเพลิงโดยอ้างอิงราคาในตลาดโลกเป็นหลัก
โดยในปี ๒๕๖๔ ราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น
ซึ่งภาครัฐได้พยายามตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม
เมื่อเกิดวิกฤตพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทำให้ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นมากและไม่สามารถตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ในภาพรวมต่อไปอีก จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) เพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แท้จริง อย่างไรก็ดี
รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนแบบพุ่งเป้าอย่างต่อเนื่องต่อไป
แม้ว่าปัจจุบันราคาเชื้อเพลิงได้ปรับตัวลดลงบ้างแล้ว แต่การจัดหาเชื้อเพลิงต้องมีระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า
(Lead Time) ทำให้ไม่สามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ
(ค่า Ft) ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้
คาดว่าจะสามารถปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) ให้ลดลงได้ในช่วงปลายปี ๒๕๖๖ เป็นต้นไป สำหรับภาระต้นทุนคงค้างของ กฟผ.
ปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่ กฟผ.
ได้ช่วยสนับสนุนการตรึงอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (ค่า Ft) มาอย่างต่อเนื่อง
จึงจำเป็นที่จะต้องทยอยจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างดังกล่าวให้กับ กฟผ.
เพื่อรักษาฐานะทางการเงินของ กฟผ. ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อไป
ในขณะที่สัดส่วนของค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ในอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติอยู่ที่ประมาณ
๑๐ สตางค์เท่านั้น ๒. ให้กระทรวงพลังงานนำแนวทางการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามนัยมาตรา
๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม
๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
790 | การจัดทำแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2566 - 2568) | กต. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๘)
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามแผนการหารือฯ โดยร่างแผนการหารือฯ เป็นแผนการหารือในกรอบที่ครอบคลุมระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศ
โดยกำหนดให้มีการหารือใน ๒ ระดับ คือ ระดับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
และระดับกรมของกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความร่วมมือทวิภาคี
ความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเด็นระหว่างประเทศ และความร่วมมือพหุภาคี
สถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ สถานการณ์ในยุโรป
ความร่วมมือด้านสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ ความร่วมมือด้านกงสุล และประเด็นอื่น ๆ
ที่สนใจร่วมกัน ทั้งนี้
กำหนดการและระเบียบวาระของการหารือเป็นไปตามความเห็นชอบร่วมกันของทั้งสองฝ่ายผ่านช่องทางการทูต
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนการหารือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
791 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลศึกษา และการกีฬา ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการกีฬาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | กก. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลศึกษา
และการกีฬา ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการกีฬาแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
และอนุมัติให้นายนภินทร ศรีสรรพางค์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลศึกษาและการกีฬาระหว่างกัน
อาทิ การส่งเสริมหลักการแยกการกีฬาออกจากการเมือง
หลักการไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติในวงการกีฬาทุกรูปแบบ
ตลอดจนการต่อต้านการใช้สารต้องห้ามในวงการกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นด้านสารัตถะและถ้อยคำ
รวมทั้งประเด็นด้านกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
792 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 8 | กต. | 25/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย
(Joint Thai-Russian Commission on Bilateral
Cooperation : JC) ครั้งที่ ๘
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาภูมิภาคตะวันออกไกลและอาร์กติกสหพันธรัฐรัสเซีย
โดยไม่มีการลงนาม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบกำหนดแนวทางการดำเนินการความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซีย
โดยระบุความร่วมมือที่สำคัญใน ๑๒ สาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินความร่วมมือทวิภาคีด้วยความรอบคอบ รัดกุม
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของชาติและการรักษาดุลยภาพของการดำเนินความสัมพันธ์และความมั่นคงของไทยกับประเทศอื่น
ๆ ในภาพรวมด้วย
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลความร่วมมือทวิภาคีดังกล่าว
เพื่อนำไปสู่การขยายผลความร่วมมือในมิติอื่น ๆ รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
793 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาตรีในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี (ฉบับที่..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม
เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่าเมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาได้อนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
สภามหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต
(หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓) เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓
และได้มีการเปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ในปี ๒๕๖๓
โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี ๒๕๖๖ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จึงต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อนแล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
794 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | อว. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาตรีในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ
เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร (ฉบับที่..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์
รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๘ กันยายน ๒๕๔๑ ให้ถือเป็นหลักการว่าเมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาได้อนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน
แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้ แต่โดยที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าสภามหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชรได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
(หลักสูตรใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๓) เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓
และได้มีการเปิดการเรียนการสอนสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ในปี ๒๕๖๓ โดยจะมีผู้สำเร็จการศึกษาในปี
๒๕๖๖ ดังนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
เมื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดอนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้ว
จึงต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อนแล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
เพื่อให้พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับก่อนเปิดทำการสอน
ซึ่งจะรองรับศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
795 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... | มท. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนทองผาภูมิ
จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลท่าขนุน
อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ
ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การค้าชายแดน การบริการ
และรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชน อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) การใช้ประโยชน์ที่ดินต้องไม่ขัดต่อการจัดสรรที่ดินภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
พ.ศ. ๒๕๑๑
และเพื่อกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(๒)
ขอแก้ไขถ้อยคำในรายการประกอบแผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว
ข้อ ๑๐.๑๐ จากเดิม “หมวดการทางทองผาภูมิ” แก้ไขเป็น “หมวดทางหลวงทองผาภูมิ” (๓)
ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และการกำหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้
นั้น หากพบว่ามีการส่งมอบพื้นที่กลับคืนกรมป่าไม้ในภายหลัง
เห็นควรพิจารณากำหนดประเภทที่ดินให้เป็นที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้
(สีเขียวอ่อนมีเส้นทแยงสีขาว) (๔)
การพิจารณาอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
และ (๕)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและสภาพแวดล้อม
รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชนให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
796 | การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย | วธ. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย
(Memorandum of Understanding on Cultural
Cooperation between the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand and the
Ministry of Culture of the Russian Federation) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีเนื้อหาหลักสอดคล้องกับพิธีสารและบันทึกความเข้าใจในด้านวัฒนธรรมที่สิ้นสุดลงแล้ว
โดยมุ่งส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างกันทั้งในด้านศิลปะ ภาษา วรรณกรรม
ตลอดจนความร่วมมือด้านพิพิธภัณฑ์ การสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรม และการส่งเสริมความร่วมมือด้านใหม่
ๆ เช่น ด้านภาพยนตร์ การส่งผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี การละคร และทัศนศิลป์
การผลิตผลงานศิลปะร่วมกันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ซึ่งกันและกัน
เป็นต้น ตลอดจนการเข้าร่วมงานและกิจกรรมทางวัฒนธรรมของแต่ละฝ่าย
รวมทั้งการจัดงานวัฒนธรรมรัสเซียในประเทศไทย และงานวัฒนธรรมไทยในสหพันธรัฐรัสเซีย ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาสาระแอบแฝงและเนื้อหาของกิจกรรมต่าง
ๆ ที่จะเผยแพร่ในไทย เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับประเทศอื่น
ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
797 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (นายชาญเวช บุญประเดิม) | ศธ. | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายชาญเวช บุญประเดิม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเกษตรและประมง)
ในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเนื่องจากได้ถึงแก่กรรม
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๑ เมษายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป
และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง
การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ
ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
798 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ ค.ศ. 2023 | นร.14 | 04/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาเวียงจันทน์
ค.ศ. ๒๐๒๓ โดยร่างปฏิญญาฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายของประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในการมุ่งเน้นการดำเนินการตามพันธกรณี
ของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘
และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายประวิตร วงษ์สุวรรณ) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีเสนอการปรับแก้ไขถ้อยคำในร่างปฏิญญาเวียงจันทน์
ค.ศ. ๒๐๒๓ ตามข้อคิดเห็นของกรมสนธิสัญญาและกฎหมายในการประชุมรัฐมนตรีในกรณีที่มีความจำเป็น
และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง
ครั้งที่ ๔ เป็นผู้รับรองปฏิญญาเวียงจันทน์ ค.ศ. ๒๐๒๓ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ ค.ศ. ๒๐๒๓
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
799 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีฉบับใหม่ | สกพอ. | 04/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี
และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับใหม่ของฝ่ายไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เป็นกรอบความร่วมมือในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่างไทยและเกาหลีใต้
โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของไทย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยบันทึกความเข้าใจฯ
ได้รับการลงนามและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และมีอายุ ๓ ปี
(สิ้นสุดผลบังคับใช้วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕)
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรมุ่งเน้นส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนาในมิติต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ผลักดันให้เกิดการลงทุนพัฒนาในระบบนิเวศทางธุรกิจและอุตสาหกรรม (Ecosystems) ของไทย
ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศสามารถแสวงหาโอกาสต้นแบบการพัฒนาที่เหมาะสมเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันและแบ่งปันข้อมูล
ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยภายใต้กรอบความร่วมมือฉบับนี้ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
800 | การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | นร. | 04/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติกำชับให้กระทรวงการคลัง
คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระมัดระวังในการเก็บรักษาข้อมูลอย่างรอบคอบ
รัดกุม รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ และ ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๖ อย่างเคร่งครัด
โดยไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่สาธารณชน
หรือนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด
|