สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 419/2548 เรื่อง แต่งตั้ง
คณะกรรมการเร่งรัดการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงพัฒนาการบริการของรัฐ ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2548 โดย
มีนายอดิศัย โพธารามิก  เป็นประธานกรรมการ  มีกรรมการอื่นอีก 14 คน มีนายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เป็น
กรรมการและเลขานุการ   มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางพัฒนาโครงการที่จะใช้เทคโนโลยี  ตลอดจนริเริ่ม
โครงการเพื่อปรับปรุงพัฒนาการบริการของรัฐให้ทันสมัย  สะดวก  รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและใช้ทรัพยากร
ของประเทศอย่างประหยัด ติดตามความก้าวหน้าโครงการสำคัญ ๆ เพื่อให้เกิดการประสานงาน และดำเนิน
การในระยะเวลาที่เหมาะสม  พัฒนาโครงข่ายการสื่อสารด้วย  Internet ความเร็วสูง  (Broadband Internet)  
ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดพัฒนาเนื้อหาสาระของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Content) 
ด้านต่าง ๆ

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ที่มี
มติดังนี้ เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอกรอบยุทธ
ศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์  ได้แก่  ยุทธศาสตร์การ
สร้างความเชื่อมโยงฐานเศรษฐกิจและการพัฒนาพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล   ยุทธศาสตร์การ
พัฒนาพื้นที่ศูนย์กลางความเจริญของมหานคร เพื่อเสริมสมรรถนะในการแข่งขัน  ยุทธศาสตร์การสร้าง
ความสมดุลและยั่งยืนในการพัฒนาพื้นที่ยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่ความเป็นมหานครที่แข็งแรงน่าอยู่ และ
ยุทธศาสตร์การบริหารและการจัดการพัฒนามหานคร  รวมทั้งแผนปฏิบัติราชการ  การพัฒนากรุงเทพ
มหานครและปริมณฑล (พ.ศ. 2548-2551) ซึ่งมีเป้าประสงค์หลักในการมุ่งพัฒนากรุงเทพให้เป็นเมือง
ที่มีคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบ
สนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง  โดยรับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ  ไปพิจารณา
ประกอบด้วยดังนี้  ระบุที่มาของแหล่งเงินทุนในการดำเนินโครงการ ฯ ให้ชัดเจนว่า  เป็นเงินงบประมาณ
แผ่นดิน เงินกู้ และเงินงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ในสัดส่วนเท่าใด  ส่วนคณะกรรมการระดับชาติ
ที่จัดตั้งขึ้น  จะต้องจัดลำดับความสำคัญของโครงการและการดำเนินงานในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน  และ
โครงการบางโครงการอาจจำเป็นต้องมีการเร่งรัดดำเนินการ อาทิเช่น โครงการออกแบบ/ก่อสร้างลาน
เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ  เป็นต้น   และอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการ
ยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานครและปริมณฑล    โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่
นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ)
เป็นรองประธาน และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำหน้าที่เลขานุ
การ  โดยมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานครและพิจารณากลั่นกรองแผน
งาน/โครงการตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนากรุงเทพมหานครและปริมณฑล   (พ.ศ. 2548-2551)
ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา  ทั้งนี้  ในการแต่งตั้งคณะกรรมการ ฯ  ดังกล่าว  มอบให้รองนายก
รัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานกรรมการ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในการให้ความ
ช่วยเหลือด้านการเงินแก่รัฐบาลพม่า จำนวน 1,300,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการถมดินและค่าศิลป
กรรมพม่าสำหรับอาคารที่ทำการชั่วคราวด่านพรมแดนฝั่งพม่า  ณ  สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย  แห่งที่
2 โดยให้กระทรวงการต่างประเทศประสานกับรัฐบาลพม่าในการเร่งรัดพัฒนาด่านพรมแดนฝั่งพม่าเพื่อให้
สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำสาย  แห่งที่ 2  เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการได้โดยเร็ว  สำหรับงบประมาณที่จะ
ใช้เพื่อการนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือ
ทางเศรษฐกิจและวิชาการแก่ต่างประเทศโดยตรงพิจารณาปรับแผนการใช้จ่าย    จากงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ 2549  รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชา
การและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 290 ล้านบาท

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค
ครั้งที่ 7 (APEC Energy Minister) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเกียงจู สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2548
โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ได้มีการหารือถึงแนวทางและมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากวิกฤติราคา
น้ำมันและการสร้างความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานของการใช้พลังงาน รวมทั้งได้มีการเสนอมาตรการสำคัญ
เพื่อลดวิกฤติราคาน้ำมัน เช่น  การสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์  การส่งเสริมประสิทธิภาพเชื้อเพลิงที่ใช้กับยาน
ยนต์ การใช้เชื้อเพลิงทางเลือก และการส่งเสริมการลงทุนด้านการสำรวจ การผลิต และการกลั่นน้ำมัน ในการนี้
ประเทศไทยได้เสนอให้มีการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกมากขึ้น เช่น การใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งและ
ผลิตไฟฟ้า    และเสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ  (Biofuels)  เพื่อลดผลกระทบจาก
ราคาน้ำมันซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากประเทศสมาชิก โดยเฉพาะสหรัฐ ฯ ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการหารือในประเด็นอื่นๆ ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์
พลังงาน  การส่งเสริมการลงทุนในกิจกรรมพลังงาน  การเร่งรัดพัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน  และการแลกเปลี่ยน
ความเชี่ยวชาญระหว่างกัน  และนอกเหนือจากการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค  ครั้งที่ 7  คณะผู้แทนประเทศ
ไทยได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ท่องเที่ยว  และพลังงาน  ของออสเตรเลีย  เรื่อง นโยบาย
ส่งเสริมพลังงานทดแทนเพื่อพึ่งตนเอง และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทย  การหารือกับรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ ของอินโดนีเซีย  เรื่อง การร่วมลงทุนสำรวจและขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ในอินโดนีเซีย และการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  อุตสาหกรรม  และพลังงาน  ของสาธารณรัฐ
เกาหลี เรื่อง การแลกเปลี่ยนข้อมูลการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ NGV ในรถบรรทุกและรถโดยสาร

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 
เลขานุการคณะกรรมการติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548   รายงานผลการประชุม
คณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2548  สรุปดังนี้ ผลของมาตรการต่อภาพรวมทาง
เศรษฐกิจ การดำเนินมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลัง
ของปี 2548 ได้ช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสที่สาม หลังจากที่เศรษฐกิจเริ่ม
ปรับตัวดีขึ้นต่อจากไตรมาสที่สอง  ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการและติดตามผลของมาตรการเศรษฐกิจ
ที่สำคัญๆ  ได้แก่  การปรับราคาน้ำมันการสนับสนุนการใช้ก๊าซ  NGV  แก๊สโซฮอล์  และไบโอดีเซล (มาตร
การที่ 1,  19.1)  ที่ประชุมได้มีมติให้กระทรวงพลังงานเตรียมการชี้แจงคณะรัฐมนตรีในเรื่องร าคาน้ำมันใน
ประเทศที่ยังไม่ลดลง  รวมทั้งการส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถประจำทาง รถ บขส. และรถไฟที่ยังติดตั้งได้
จำนวนน้อย    ตลอดจนเร่งการปรับ  Road  Map  แผนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันให้ชัดเจน
การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อให้มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2548 สามารถขยายตัวได้
ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ  20  (มาตรการที่ 5)  การดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งต้นทางและปลาย
ทาง   (มาตรการที่  6)  การใช้หลักฐานค้ำประกันจากธนาคารมาค้ำประกันการส่งมอบงานของผู้รับเหมา 
(มาตรการที่ 9) โดยเมื่อสิ้นสุดมาตรการเศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2548 ให้กรมบัญชีกลางมีการประเมิน
เพื่อจะได้นำผลไปพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าวต่อไป การเร่งรัดงบ SML
(มาตรการที่ 16) ระยะที่ 1 (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548) ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และธนาคารออมสินติดตามประเมินผลด้านการเงิน  และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติติดตามประเมินผลต่อเศรษฐกิจและสังคม    และรายงานผลต่อคณะกรรมการ  ฯ   การขยาย
บริการโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ครอบคลุมมากขึ้น (มาตรการที่ 22) ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่ง
รัดประชาสัมพันธ์การขยายสิทธิประโยชน์  14  รายการ  ให้ประชาชนทราบ    เร่งรัดโครงการที่อยู่อาศัย
(มาตรการที่ 24) ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและการเคหะแห่งชาติ
ประเมินภาพรวมการขยายตัวธุรกิจการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ต่อการขยายตัวกิจกรรมผลิต เพื่อราย
งานต่อคณะกรรมการ ฯ  ทั้งนี้  ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องในมาตรการดูแลระดับราคาสินค้า    มาตรการการ
ประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมัน การเร่งดำเนินการโครงการบ้านเอื้ออาทร และ mega Projects อื่นๆ
มีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาสสี่ของปีนี้และปีหน้า

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับผลการประชุมผู้บริหาร
ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อซักซ้อมการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล 
เมื่อวันที่ 14 -15 ตุลาคม  2548  ณ  โรงแรมรามาการ์เดนส์  โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ได้มี
การมีการมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ในส่วนของการ
บริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัด CEO การวางแผนและการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา
ความยากจนการดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด  การปราบปรามผู้มีอิทธิพล  การแก้ไขปัญหาสังคม   
ปัญหาภัยพิบัติร้ายแรงต่าง  ๆ  ส่วนประเด็นงานสำคัญอื่น  ๆ  ได้แก่  โครงการ SML ที่ดินทำกิน โครงการ
ต้นแบบคนรวยช่วยคนจน  โครงการถนนคอนกรีตเสริมไม้ไผ่ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  การก่อ
สร้างฝายต้นน้ำลำธาร การป้องกันแผ่นดินไหว ภัยหนาว ไข้หวัดนกอุบัติเหตุบนถนนหลวง ประปาหมู่บ้าน 
เงินสะสมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัญหาขยะ  ทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ การเร่งรัดการเบิกจ่าย
งบประมาณและการดำเนินการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานต่าง  ๆ  ให้ประชาชนได้รับทราบ สำหรับ
แนวทางปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลในด้านสังคม  ได้แก่ การให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข  มีครอบครัวและคน
ในสังคมที่เข้มแข็ง   แก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่มีผลต่อสุขภาพของประชาชน    และยุทธศาสตร์การปรับปรุง
คุณภาพด้านการศึกษา  รวมทั้งได้ชี้แจงนโยบาย แนวทาง  และมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีการผลิต 
ปี พ.ศ. 2548-2549  การมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน  ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ในส่วนของการปรับโครงสร้างการผลิตและแก้ไขปัญหาความยากจน   การแก้ไขปัญหาไข้หวัด
นก  งานมหกรรมพืชสวนโลก    และแนวทางการบริหารราชการและการบริหารงบประมาณ    โดยที่การ
บริหารงบประมาณประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2549   ระบบ  GFMIS   เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อส่วน
ราชการและจังหวัด โดยใช้บันทึกแผนข้อมูลการปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณใช้อนุมัติในการจัด
สรรการโอนเปลี่ยนแปลงการเบิกจ่าย และการรายงานผล   ตลอดจนใช้ในการติดตามเหน่วยงานที่เกี่ยว
ข้อง    จากการประชุมดังกล่าว   กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดให้เป็นไปตาม
นโยบายสำคัญของรัฐบาลและตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดโดยให้มีการติดตามและรายงานผลเป็น
ระยะ

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอให้ประเทศไทย
โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สนับสนุนเงินสำหรับการจัดประชุมสุดยอดระดับโลกว่า
ด้วยสังคมสารสนเทศ  (World Summit on the Information Society หรือ WSIS)  ช่วงที่  2  เป็นเงินจำนวน
30,000 สวิสฟรังส์ หรือประมาณ  990,000  บาท  โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเจรจาและประชุมนานาชาติ  ประจำปี พ.ศ. 2548  ที่ตั้งไว้ที่สำนัก
งานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไปใช้เพื่อการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2548  ที่จะนำไป
สนับสนุนการจัดประชุมให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในวันที่  31  ธันวาคม  2548 ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ
วันที่ 26 มิถุนายน 2548 [เรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ (รายจ่ายลงทุน) ประจำปี พ.ศ. 2548
และการเตรียมการสำหรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2548]

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการ
ติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548  รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้าง
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ  ครั้งที่ 3/2548  เมื่อวันที่  13  กันยายน  2548  โดยที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้
หน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและติดตามผลของมาตรการที่สำคัญ  ๆ  ได้แก่  มาตรการที่ 1,  19.1 การ
ปรับราคาน้ำมัน การสนับสนุนการใช้ก๊าซ NGV แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล โดยให้กระทรวงพลังงานเร่งจัดทำ
Road  Map  แผนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันให้ชัดเจนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2548
มาตรการที่ 5 การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อให้มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2548 สามารถ
ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 20  โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำการติดตามผลใน 2 ระดับเพื่อเร่ง
รัดการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย  มาตรการที่ 6 การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งต้นทางและปลาย
ทาง ให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลสินค้าควบคุม   และจัดทำรายละเอียดประเภทสินค้าที่ยังไม่สามารถตรึงราคาได้
ส่วนสินค้าที่ไม่สามารถควบคุมราคาได้ต้องยอมให้มีการปรับขึ้นราคา  มาตรการที่ 8  การเร่งรัดการเบิกจ่าย
งบประมาณ     ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานสำนักงบประมาณ
กรมบัญชีกลางและสำนักงาน GFMIS เพื่อเร่งรัดรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณให้ตรงกัน  มาตรการที่ 9
การใช้หลักฐานค้ำประกันจากธนาคาร  (Bank  Guarantee)  มาค้ำประกันการส่งมอบงานของผู้รับเหมา  ให้
กรมบัญชีกลางเร่งรัดเก็บข้อมูลจากส่วนราชการและรายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายโดยเร็ว  และมาตรการ
ที่ 16  การเร่งรัดงบ SML ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   และธนาคารออมสิน   ติดตาม
ประเมินผลด้านการเงิน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามประเมิน
ผลต่อเศรษฐกิจและสังคม   และรายงานผลต่อคณะกรรมการติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี
2548  ทุกเดือน     และเห็นชอบให้กระทรวงที่รับผิดชอบมาตรการที่สำคัญ รวม  7  มาตรการดังกล่าว  และ
มาตรการอื่น ๆ รวม 26 มาตรการให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่
8  กันยายน  2507 เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลงชื่อในหนังสือราชการ พ.ศ. 2507 วัน
ที่ 14 ธันวาคม 2496  เรื่อง  ระเบียบงานสารบรรณ ตอนที่ 2  วันที่  24  ธันวาคม  2506  เรื่อง ระเบียบ
งานสารบรรณ  วันที่  4  พฤษภาคม  2520  เรื่อง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้ข่าวราชการ
พ.ศ. 2520  และวันที่ 18 มิถุนายน 2501  เรื่อง  ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  เรื่อง  การใช้และรักษารถ
ยนต์นั่ง พ.ศ. 2501 รวม  5 มติ ส่วนมติคณะรัฐมนตรีวันที่  17  เมษายน  2500  เรื่อง การให้ข่าวราชการ
หรือให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 19 เมษายน 2531 และหนังสือกรมสาร
บรรณคณะรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร เรื่อง การส่งหนังสือราชการ ไม่ใช่มติคณะรัฐมนตรีส่วนมติคณะรัฐมนตรีที่
เกี่ยวกับการหยุดพักผ่อน (วันที่ 10 พฤศจิกายน 2519,  23 มีนาคม 2508,  1 เมษายน 2518  และ  28
มีนาคม 2504) ได้มีการนำไปกำหนดไว้ในระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535   และมติคณะ
รัฐมนตรีวันที่ 16 เมษายน 2539   เกี่ยวกับการเร่งรัด ติดตามกรณีเงินของกระทรวง  ทบวง กรม เทศบาล
สุขาภิบาล  และรัฐวิสาหกิจขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ทุจริต  ได้มีการนำไปกำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายก
รัฐมนตรีว่าด้วยการเร่งรัด ติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต พ.ศ. 2546   แล้ว
จึงถือได้ว่าถูกยกเลิกโดยปริยาย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพันเป็น
กรณีพิเศษ ในโครงการปรับปรุงสถานีวิทยุกระจายเสียงรัฐสภา โดยเห็นชอบให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2548  เรื่อง การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ (ราย
จ่ายลงทุน) ประจำปี พ.ศ. 2548  และการเตรียมการสำหรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2549 โดยเคร่งครัด
ต่อไป  ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง  หากไม่สามารถเร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณปี
พ.ศ. 2546   ให้แล้วเสร็จภายในวันที่  31  ธันวาคม  2548   ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้   ให้สำนัก
งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2549 ซึ่งได้รับไปเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนที่ขาด โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ
แล้วดำเนินการต่อไปได้

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน 
(ศตจ.มท.) กระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการประชุมกลุ่มจังหวัดเพื่อการพัฒนายุทธศาสตร์จังหวัดและ
การแก้ไขปัญหายาเสพติด  ผู้มีอิทธิพล  ความยากจน และนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงมหาดไทยใน
ระดับพื้นที่  ในภาคเหนือ  ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  เมื่อวันที่  29 สิงหาคม 2548 ณ 
จังหวัดเชียงราย วันที่ 7 กันยายน 2548 ณ กรุงเทพมหานคร และวันที่ 9 กันยายน 2548 ณ จังหวัด
ขอนแก่น เพื่อรับฟังผลการดำเนินงาน ปัญหาข้อจำกัด และข้อเสนอแนะจากกลุ่มจังหวัดต่างๆ รวมทั้ง
ได้เน้นย้ำการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย    โดยในส่วนของ
การนำเสนอผลการดำเนินงานของกลุ่มจังหวัด    ได้แก่   การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด 
การดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล   การดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะความยาก
จน ความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย และงานนโยบายเร่งด่วนสำคัญของรัฐบาล    ในการนี้ได้มอบ
นโยบายและแนวทางการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปลัดจังหวัด 
และนายอำเภอ  รับไปดำเนินการในเรื่อง  การวางแผนและการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์พัฒนา
และเรียนรู้ระบบภูมิศาสตร์  (GIS) การบริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัด   การบริหารงบประมาณ 
การดำเนินการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด การปราบปรามผู้มีอิทธิพลและการแก้ไขปัญหาความยาก
จน ส่วนประเด็นงานสำคัญอื่นๆ ซึ่งได้เน้นย้ำแก่ที่ประชุม ได้แก่ โครงการ SML การก่อสร้างฝายแม้ว 
การขุดลอกคลองโดยไม่ใช้งบประมาณเพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำไม่ให้เกิดอุทกภัย  ถนนคอนกรีตเสริม
ไม้ไผ่   การป้องกันอุทกภัย  การให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ  เรื่อง OTOP  มาตรการสร้างเสถียรภาพ
ทางเศรษฐกิจ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ  คาราวานแก้จน ทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้  เรื่อง
สถานบริการและการจัดระเบียบสังคม และเรื่องไข้หวัดนก

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ  จารุสมบัติ) รายงานสรุปผลการ
ดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรณีพิบัติจังหวัดกระบี่  โดยได้ร่วมประชุมและมอบหมายให้จังหวัดกระบี่เร่ง
รัดดำเนินการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างบูรณาการดังนี้ การเร่งรัดคืนทรัพย์สินแก่ผู้ประสบ
ภัย  โดยให้จัดทำบัญชีสิ่งของต่าง ๆ พร้อมสิ่งของให้จังหวัดกระบี่ที่เก็บได้บริเวณเกาะพีพี หากไม่มีญาติมารับ
คืน จังหวัดกระบี่จะรวบรวมไว้เป็นอนุสรณ์สำหรับผู้ประสบภัย  การเร่งรัดจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยที่
มายื่นหลักฐานในภายหลังจำนวน 101 ราย กรณีผู้ประกอบอาชีพการประมงได้มอบหมายให้ประมงจังหวัด
สอบสวนเรื่องราว  พิสูจน์ความเสียหายเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง   หากมีผู้มาแจ้งเท็จให้
จังหวัดดำเนินการอย่างเฉียบขาด   ในส่วนของโครงการพัฒนาเกาะพีพี  โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง  ได้
เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาการก่อสร้างแนวถนน   เพื่อเป็นเส้นทางความปลอดภัยบนเกาะพีพี
ระยะทาง 5.7 กิโลเมตร งบประมาณ 259 ล้านบาทนั้น ได้มีการตรวจพื้นที่ที่จะก่อสร้างเส้นทางความปลอด
ภัยฯ ดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้นเห็นว่า ราคาค่าก่อสร้างฯ เป็นราคาค่อนข้างสูง แม้ว่าจะมีการปรับลดราคาค่า
ก่อสร้างลงมาเหลือ  166  ล้านบาท แล้วก็ตาม  และการก่อสร้างใดจะต้องคำนึงถึงความสวยงามตามธรรม
ชาติและสิ่งแวดล้อม     ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อ
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)  ดำเนินการศึกษาอยู่ ควรรอผลการศึกษาของ  อพท.  ก่อน  ในระยะเร่ง
ด่วนควรที่จะดำเนินการปรับสภาพภูมิทัศน์ในพื้นที่  30  เมตร  จากระดับน้ำทะเลสูงสุดท่วมถึงซึ่งเป็นพื้นที่
ห้ามก่อสร้าง  ในเบื้องต้นจะต้องทำความตกลงกับเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ครอบครองอยู่ เพื่อจัดทำโครง
การปรับสภาพภูมิทัศน์ต่อไป  ส่วนการจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนบนเกาะพีพี ผู้มีจิต
ศัทธาได้บริจาคที่ดินจำนวน  12  ไร่  ให้แก่ทางราชการเพื่อเป็นที่ก่อสร้าง ฯ  ดังกล่าวแล้ว  สำหรับการก่อ
สร้างบ้าน  Knock Down  สาธารณรัฐประชาชนจีนให้การช่วยเหลือจำนวน  400 หลัง จังหวัดได้ขอรับการ
สนับสนุนงบประมาณไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน  22  ล้านบาท   ในเบื้องต้นจังหวัดได้ปรับเปลี่ยน
โครงการตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด    เพื่อจะนำงบประมาณไปดำเนินการก่อสร้างเป็นกรณีเร่งด่วนเฉพาะ
หน้า  จำนวน  160 หลัง  วงเงินงบประมาณ 8 ล้านบาทเศษ

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2/2548 และแนวโน้มปี 2548 สรุปดังนี้ เศรษฐกิจไตรมาสที่สองขยาย
ตัวร้อยละ 4.4  สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 3.2  ในไตรมาสแรก  โดยรวมในครึ่งปีแรกปี 2548  เศรษฐกิจ
ไทยขยายตัวร้อยละ 3.9 อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงเป็นร้อยละ 3.3  ในครึ่งปีแรกของปี  อุปสงค์ภายในประเทศ
เป็นส่วนประกอบสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจในครึ่งปีแรก การส่งออกแสดงแนวโน้มการปรับตัว
ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ากุ้งและไก่   สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี  2548  การขยายตัว
ของเศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุดในไตรมาสแรก และมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง มาตรการที่ช่วยสนับ
สนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลัง ได้แก่ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบรัฐบาล กองทุน SML การ
เพิ่มค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนข้าราชการ  การสนับสนุนการใช้  NGV   การปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดี
เซล  และจัดศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix Center) จำนวน 2,000 หมู่บ้าน ส่วนปัจจัยเสี่ยง/ข้อจำกัดต่อ
เศรษฐกิจที่ต้องระมัดระวังในช่วงครึ่งหลังของปี ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยมีปัญหาการขาด
ดุลบัญชีเดินสะพัด และการขาดดุลการคลังของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบที่สูบขึ้นมาก การเพิ่มขึ้น
ของอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปี   น้ำแล้ง  การสะสมสินค้าคงคลัง    และจากการทบทวนเงื่อนไขทาง
เศรษฐกิจทั้งที่เป็นบวกและลบ  จึงได้ปรับประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจปี  2548 จากร้อยละ 4.5-
5.5 เป็นร้อยละ 3.8-4.3  อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ 4.0-4.4  และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ประมาณร้อยละ 1.9-2.4 ของ GDP

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนิน
โครงการขนาดใหญ่ (Mega-project) โดยให้ถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำ
รายละเอียดโครงการ/แผนงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  19  กรกฎาคม  2548 ให้แล้วเสร็จโดยด่วน
แล้วนำเสนอคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐซึ่งมีปลัดกระทรวงการ
คลังเป็นประธานพิจารณาในเบื้องต้นก่อน  แล้วให้ประสานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อนัดหมายนำผล ฯ
การพิจารณาของคณะกรรมการ ฯ  หารือกับนายกรัฐมนตรี ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปตาม
ลำดับเพื่อให้สามารถเปิดการประมูลได้ทันภายในเดือนธันวาคม 2548  ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดไม่สามารถ
ดำเนินการให้ทันกำหนดเวลาดังกล่าวได้  ให้ถือเป็นความบกพร่องของรัฐมนตรี  และหัวหน้าส่วนราชการที่
เกี่ยวข้อง

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี
วันที่  23  เมษายน  2534  เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาก่อนการเสนอร่างกฎหมาย และมติ
คณะรัฐมนตรีวันที่ 25 มิถุนายน 2545 เรื่อง การเร่งรัดร่างกฎหมายที่มีความจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้
เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

          คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 (เรื่อง ปัญหาการประเมิน
คุณภาพผลงานของข้าราชการครูและการถ่ายโอนภารกิจด้านการบริหารการศึกษาให้องค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น) ข้อ 2 การถ่ายโอนสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไป
สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  (อปท.)  และให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้
แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  (กกถ.)  ครั้งที่ 6/2548  เมื่อวันที่  15  สิงหาคม  2548  ตามที่รองนายก
รัฐมนตรี  (นายวิษณุ   เครืองาม)  ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เสนอ  ทั้งนี้  ให้ กกถ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้นำความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการไปประกอบการพิจารณาด้วย   แล้วดำเนินการต่อไปได้   ส่วน
การประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของ  อปท. รวมทั้งการติดตามประเมินผลหลังจากที่
อปท. ได้รับโอนสถานศึกษาไปแล้วควรกำหนดให้มีผู้แทนของ อปท. นั้น ๆ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรม
การที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวด้วย    และให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดจัดทำแผนการปฏิรูปการศึกษาในภาพ
รวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว     รวมทั้งประสานกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเรื่องนี้หารือนายก
รัฐมนตรีร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสถานะการเร่งรัดการ
เบิกจ่ายงบประมาณปี พ.ศ. 2548 ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2548  ดังนี้  การเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงวันที่
26 สิงหาคม 2548 เบิกได้ 80% ของวงเงินรายจ่ายปี 2548 จำนวน  1,250,000  ล้านบาท  วงเงินราย
จ่ายปี 2548 บวกรายจ่ายเหลื่อมปี  วงเงิน 1,414,343 ล้านบาท  การเบิกจ่ายคงค้างที่ต้องเร่งรัดมียอด
รวมทั้งงบประจำและลงทุน  316,746  ล้านบาท  ยอดวงเงินคงค้าง  316,746  ล้านบาท  ที่มีปัญหาจะ
มีเฉพาะในส่วนของงบลงทุน และงบกลาง ที่ยังไม่ได้การจัดสรร  หรือยังไม่ได้ผูกพัน   โดยเฉพาะงบกลาง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  รัฐวิสาหกิจ (เฉพาะส่วนที่ได้รับจัด
สรรจากงบประมาณ) กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร   จากการตรวจสอบในรายละเอียดการเบิกจ่ายพบว่า   มีส่วนราช
การที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายในสาระสำคัญดังนี้ งบกลาง เร่งรัดให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณ
ในหมวดค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพและการแข่งขัน เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวง
คมนาคม ควรเร่งรัดให้ทำการเบิกจ่ายตามงาน/โครงการดังนี้ งานพัฒนาทางหลวง งานบำรุงรักษาทาง
หลวง  โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลโครงการก่อสร้างทางเข้า
-ออก ท่าอากาศยานสากล  โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น  4  ช่องทาง  และงานพัฒนา
ระบบโครงข่าย   กระทรวงมหาดไทย   ควรเร่งรัดการเบิกจ่ายโดยเฉพาะในส่วนของงบกรุงเทพมหานคร
ที่มีการเบิกจ่ายต่ำมาก    กระทรวงเกษตรและสหกรณ์   ให้เร่งรัดในส่วนของกรมชลประทานเป็นสำคัญ
สำหรับงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ  และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้โอน
งบประมาณที่ค้างการเบิกและเป็นคดีความ   เช่น   งาน/โครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย  คืนเงินคงคลัง  เพื่อ
สำรองจ่ายเมื่อจบคดีแล้ว

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานรายงานความ
ก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาอ่างเก็บน้ำที่มีน้ำน้อย เฉพาะอ่างเก็บน้ำบางวาด จังหวัดภูเก็ต โดยปัจจุบันอ่างเก็บ
น้ำบางวาดมีปริมาณน้ำทั้งหมด 0.35 ล้านลบ.ม. ปริมาณใช้การได้ 0.08  ล้านลบ.ม. สภาพน้ำฝนในจังหวัด
ภูเก็ต  ตั้งแต่ 1 มกราคม - 15 สิงหาคม 2548 มีปริมาณน้ำฝนตกสะสมเพียงร้อยละ 57 ของปริมาณน้ำฝน
เฉลี่ย (1,421 มม.) คิดเป็นร้อยละ 56 ของปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งหมด ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเริ่มลดลง และ
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ประสานกับสำนักฝนหลวงเพื่อจัดทำฝนหลวง
ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม  2548  อย่างต่อเนื่อง  และได้ประสานเพื่อปรับแผนโดยเพิ่มเติมสถานีปฏิบัติการฝน
หลวงที่จังหวัดภูเก็ต และเพิ่มเครื่องบินไปประจำอีก 2 ลำ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  สำหรับแนวทาง
การแก้ไขปัญหาดังกล่าว  ในส่วนของมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง  แผนระยะเร่งด่วน ได้แก่ การดำเนินการติดตั้ง
เครื่องสูบผันน้ำจากแหล่งน้ำของเอกชน จำนวน 5  แห่ง  ก่อสร้างท่อรับน้ำระยะทาง 700 ม.  จากโครงการ
ชลประทานขนาดเล็ก   ฝายกระทู้เพื่อผันน้ำเข้าท่อส่งน้ำที่มีอยู่แล้วไปลงอ่างเก็บน้ำบางวาด  แผนงานระยะ
สั้น  ได้แก่ การเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำบางวาดไปเก็บกักที่ระดับ รนส.  แผนงานระยะกลาง  ได้แก่ การเร่งรัด
ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ  อ่างเก็บน้ำคลองกะทะ ปรับปรุงเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ำบางวาดและ
ก่อสร้างระบบสูบน้ำเติมอ่างเก็บน้ำคลองบางเหนียวดำ  ส่วนแผนงานระยะยาว  ได้แก่  การวางระบบส่งน้ำ
จากเขื่อนรัชชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี  สำหรับมาตรการไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง ได้แก่ การประชาสัมพันธ์และ
รณรงค์ให้มีการประหยัดน้ำทุกภาคส่วน   จัดทำฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง  สนับสนุนให้เอกชนผลิตน้ำประปา
ขายให้กับทางราชการหรือก่อสร้างระบบสูบน้ำดิบส่งขายให้การประปารวมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
เพื่อจะได้สามารถนำน้ำจากขุมเหมืองของเอกชนไปใช้ในการผลิตน้ำประปาให้เพียงพอ

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัด
ชายแดนภาคใต้ ทั้งในส่วนของสถาบันการศึกษาภาครัฐและเอกชน รวมตลอดถึงโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา
(โรงเรียนปอเนาะ และโรงเรียนตาดีกา) ซึ่งหากมีการจัดระบบการศึกษาในส่วนนี้ได้อย่างเหมาะสม ก็อาจจะ
นำไปเป็นแนวทางสำหรับการจัดการศึกษาในจังหวัดอื่น ๆ  ต่อไปได้  จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดจัด
ทำแนวทางการปรับปรุงระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว  โดยให้พิจารณา
ประเด็นต่าง ๆ ให้ครบถ้วน  เช่น  การจัดหลักสูตรการศึกษา  การควบคุมดูแลคุณภาพมาตรฐานการจัดการ
เรียนการสอน ครู อาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษา  งบประมาณค่าใช้จ่าย  และการสนับสนุนจากรัฐ  เป็น
ต้น     และให้ประสานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแนวทางและรายละเอียดร่วมกับนายกรัฐมนตรี
รองนายกรัฐมนตรี(พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) และผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐนตรี ที่
304/2548  เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ปฏิบัติราชการแทน
นายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  (นายเนวิน ชิดชอบ)  สั่งและปฏิบัติ
ราชการแทนนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม ดังนี้ ติดตาม เร่งรัด และประสานการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุง
เทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งการจัดระเบียบชายแดน โดยในกรณีจำเป็นให้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ประชุมได้  กรณีต้องสั่งการใด  ๆ  แทนนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการได้เท่าที่จำเป็น  โดยให้ประสานงานกับ
รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบภารกิจนั้น  ๆ  โดยตรง
และให้รายงานความคืบหน้า ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ รวมทั้งเสนอมาตรการเร่งรัด ป้องกัน และแก้ไขต่อ
นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่ วันที่ 16 สิงหาคม  2548 เป็นต้นไป