ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 47 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 921 - 940 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 921 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน | สสป | 24/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอ
แนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และความเห็น ผล การพิจารณา และผลการดำเนินการ ของสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะ ฯ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ได้แก่ มาตรการที่ รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที คือ การสำรวจ และรับรองสิทธิในที่ทำกินที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันให้มีความ ชัดเจนในการถือครองสิทธิ การจัดทำฐานข้อมูลการครอบครอง และการใช้ประโยชน์ในสินทรัพย์ต่าง ๆ และ มาตรการที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการตามนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนอย่างเต็มรูปแบบ คือ การเร่งรัดแก้ปัญหาความสมบูรณ์ของสิทธิในทรัพย์สินชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประเมินราคา และการที่สถาบันการเงินจะยอมรับเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน มาตรการป้องกันไม่ให้ที่ทำกินของราษฎรตก อยู่ในการครอบครองของกลุ่มทุน การสร้างความชัดเจนในหลักเกณฑ์การจัดสรรสินทรัพย์ให้ประชาชน มาตร การสร้างมูลค่าเพิ่มในสินทรัพย์ที่ชัดเจนก่อนการให้ประชาชนกู้เงิน ความชัดเจนในระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ การเตรียมความพร้อมเรื่องหลักเกณฑ์ กรอบวิธีการตรวจสอบและประเมินราคาทรัพย์สิน รวมถึงบุคลากรในการ ประเมินราคาทรัพย์สิน ส่วนผลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวของสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ได้มีการกำหนดแผนงานและขั้นตอนต่าง ๆ ไว้ ระหว่างหน่วยงานของรัฐและสถาบันการเงินในรูปของข้อตกลง ภายในกรอบระยะเวลาดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2551) โดยพยายามสร้างความเข้าใจให้ผู้ต้องการเข้า ถึงแหล่งทุนได้ทราบถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะจัดหาทุนในระบบ เพื่อการพัฒนาและเพิ่มผลผลิตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาศักยภาพในการใช้เงินทุนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 922 | การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ
ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ทั้งในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำ และงบประมาณรายจ่ายลงทุนได้เบิกจ่ายไปแล้วร้อยละ 27.14 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว (ณ วันที่ 16 มกราคม 2547) มีการเบิกจ่ายสูงกว่าร้อยละ 3.79 แต่เมื่อหัก ยอดจำนวนเงินบำเหน็จดำรงชีพออกแล้ว ปีนี้จะมีการเบิกจ่ายต่ำกว่าปีที่แล้ว นอกจากนี้ เนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 นี้ มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ด้วย ดังนั้น เมื่อรวม กับงบประมาณที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายแล้ว เป็นไปได้ว่า การใช้จ่ายงบประมาณในปีนี้อาจจะกระจุกตัวในช่วงปลายปีงบ ประมาณมาก จึงขอให้ทุกส่วนราชการได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้เป็นพิเศษด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 923 | ขอขยายระยะเวลาการใช้วงเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาดยางพารา | กษ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้องค์การสวนยาง (อสย.) ขยายระยะ
เวลาการใช้วงเงินกู้ของโครงการแทรกแซงตลาดยางพารา ระยะที่ 4, 5 และ 6 รวม 5 วงเงิน เป็นเงิน 12,500 ล้านบาท ออกไปอีก 1 ปี เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 โดยกระทรวงการคลังค้ำประกัน และให้ อสย. นำ วงเงินกู้ส่วนที่เหลือของวงเงิน 4,000 ล้านบาท (ระยะที่ 6) ใช้ชำระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นทุกวงเงินหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2546 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรให้ อสย. เร่ง จัดทำรายงานทางการเงินของโครงการแทรกแซง ฯ เพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบบัญชีต่อไป และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้เร่งรัดตรวจสอบ และรับรองงบการเงินโครงการแทรกแซง ฯ โดยเร็วเพื่อ สำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณชดใช้ผลขาดทุนและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริงให้ อสย. นำไปชำระคืนหนี้ เงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดมาตรการเร่งรัดและกำกับดูแล เพื่อให้ อสย. รับผิดชอบในการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและเร่ง รัดการปิดบัญชีให้ได้จริงทันตามระยะเวลาที่กำหนด ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 924 | การรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือที่เป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล (เรื่อง สถิติผลการจับกุมยาเสพติดให้โทษ และรายงานความก้าวหน้าโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ฯลฯ) | ตช | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานสถิติผลการจับกุมยาเสพติดให้โทษ
และความก้าวหน้าโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยในส่วนของสถิติผลการจับกุมยาเสพติดให้โทษ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดือนกรกฎาคม 2546 จับกุมได้ 4,955 ราย เดือนสิงหาคม จับกุมได้ 4,957 ราย และเดือนกันยายน จับกุมได้ 4,809 ราย สำหรับความก้าวหน้าโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในส่วน ของโรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานแพทย์ใหญ่ ช่วงไตรมาส 4 (กรกฎาคม - กันยายน 2546) จากการรายงาน จากสถานพยาบาลต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีผู้ป่วยมาใช้บริการตรวจรักษาในแผนกผู้ป่วย นอกเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัว โดยจำนวนผู้ป่วยนอกของสถานพยาบาลต่าง ๆ ปี พ.ศ. 2546 เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2545 ถึงร้อยละ 63 ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลลดลงร้อยละ 9 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้ เห็นว่ามีผู้ป่วยที่มาด้วยอาการป่วยหนักน้อยลง เป็นผลมาจากการได้รับการดูแลที่ดีตั้งแต่เริ่มป่วย โดยที่รายจ่าย ของสถานพยาบาลในภาพรวมแล้วเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2544 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่มาก นัก นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังช่วยเหลือผู้ป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูงจำนวน 3 แสนกว่ารายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายเกือบ 4 พันล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้หากไม่ได้รับความช่วยเหลืออาจทำให้ล้มละลายทาง เศรษฐกิจได้ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยผ่าตัดสมอง ผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ เป็นต้น และสำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติยังได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาศูนย์บริการการแพทย์เฉพาะด้านจำนวน 42 แห่ง และจัดระบบชด เชยค่ารักษาค่าใช้จ่ายสูง อุบัติเหตุ และฉุกเฉินให้ความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น โดยผ่านระบบ e-claim (electronic claiming) ซึ่งเป็นระบบที่บริษัทประกันเอกชนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยใช้ในการเรียกเก็บเงินค่า รักษาพยาบาลทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินชดเชยเร็วขึ้นจาก 7 เดือน เป็นภายใน 2-3 เดือน ทั้งนี้ โรงพยาบาล ตำรวจ สำนักงานแพทย์ใหญ่ ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาระบบข้อมูล ทำให้ลดปัญหาสิทธิซ้ำซ้อนกับกองทุนอื่น ๆ และสามารถตรวจสอบออกบัตรใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งได้มีการดำเนินการในเชิงรุก โดยร่วมกับศูนย์ บริการสาธารณสุข 5 สำนักงานอนามัย กรุงเทพมหานคร ในการออกเยี่ยมชุมชน และส่งเสริมด้านการออก กำลังกายสำหรับการโอนเงินค่าใช้จ่ายรายหัวและเงินชดเชยค่าใช้จ่ายสูงและอุบัติเหตุ ขณะนี้ดำเนินการตามแผน ที่กำหนดไว้สำหรับลงทุนปี พ.ศ. 2546 ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแล้ว นอก จากนี้ ยังได้ดำเนินการเร่งรัดจัดตั้งสถานบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด (ศูนย์ซับน้ำตาผู้ติดยาเสพติด) โดยจัดกิจ กรรมป้องกันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ช่วงไตรมาส 4 (กรกฎาคม ถึง กันยายน 2546) มีผู้เข้ารับ การบำบัดฟื้นฟูจำนวน 550 คน มีผู้ได้รับการอบรม จำนวน 1,250 คน และสื่อสนับสนุนการป้องกันยาเสพติด จำนวน 1,000 สื่อ และในส่วนของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานแพทย์ใหญ่ ได้จัดทำโครงการเก็บรวบรวมข้อ มูล DNA ของผู้ต้องขังทั่วประเทศประมาณ 176 แห่ง เพื่อสนับสนุนการสืบสอบสวน ลดคดีอาชญากรรม ให้ได้ ข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องชัดเจน ปัจจุบันสามารถเก็บตัวอย่างได้ประมาณ 10,000 ราย (ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2547) |
|||||||||||||||||||||
| 925 | กระทู้ถามที่ 1257 ร. เรื่อง การออกเอกสารสิทธิในที่ดิน | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1257
ร. เรื่อง การออกเอกสารสิทธิในที่ดิน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การรับแจ้งความประสงค์ขอ ออกโฉนดที่ดิน กรมที่ดินได้มีประกาศกรมที่ดิน เรื่อง การสำรวจที่ดินซึ่งมีหลักฐานในจอง และ ส.ค.1 เพื่อ ออกโฉนดที่ดินตามนโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และแบบสำรวจข้อมูลที่ดินเพื่อการเดินสำรวจออก โฉนดที่ดิน เพื่อความประสงค์ให้ผู้ครอบครองที่ดินแสดงหลักฐานเอกสารในที่ดิน และแจ้งความประสงค์ขอ ออกโฉนดที่ดินเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนจัดทำโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดิน โดยให้ทุกจังหวัดรับ แจ้งความประสงค์ตามแบบสำรวจข้อมูลดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม - 7 กันยายน 2546 รวมทั้งได้ ประสานงานให้จังหวัดต่าง ๆ ขยายเวลาการรับแจ้งแบบสำรวจความประสงค์ขอออกโฉนดที่ดิน เพื่อเป็น ประโยชน์ในการประมวลข้อมูล เพื่อวางแผนงานโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินทั่วประเทศให้เสร็จภาย ใน 3 ปี (ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2549) สำหรับโครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินตาม หลักฐานใบจอง และ ส.ค.1 เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทย โดย กรมที่ดินได้ดำเนินการเร่งรัดดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้ประชาชนทั่วประเทศ ประกอบด้วย การดำเนิน การในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โครงการเร่งด่วนระยะที่ 1 จะดำเนินการออกโฉนดที่ดินจากหลักฐาน ใบ จอง และ ส.ค.1 จำนวน 1 ล้านแปลง ทั่วประเทศให้เสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2546 (ดำเนินการ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2546-31 ธันวาคม 2546) โครงการระยะที่ 2 ดำเนินการออกโฉนดที่ดินตาม โครงการเร่งด่วนระยะที่ 1 ได้จำนวนไม่ถึง 1 ล้านแปลง กรมที่ดินจะออกโฉนดที่ดินจากหลักฐาน น.ค.3 กสน.5 น.ส.3 น.ส.3 ก และ น.ส.3 ข. ให้ครบ 1 ล้านแปลง ภายในวันที่ 30 กันยายน 2547 (ดำเนิน การระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2547-30 กันยายน 2547) และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 จะออกโฉนดที่ดินจากหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 น.ส.3 ก. น.ส.3 ข.) ในส่วนที่เหลือ และที่ดินประเภทอื่นซึ่งอาจออกโฉนดที่ดินได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน รวมประมาณ 5 ล้านแปลง ทั้งนี้ จากการปฏิบัติตามแผนงาน "โครงการเร่งรัดการออกโฉนดที่ดินตามหลักฐานในจอง และ ส.ค.1 ตาม นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของรัฐบาล" ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546 โดยได้แต่งตั้งให้เจ้าพนักงานที่ ดินจังหวัดทุกจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินจังหวัด ทำการเดินสำรวจ ออกโฉนดที่ดิน ผลการดำเนินการจนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2546 ปรากฏว่า ได้ดำเนินการรังวัดออก โฉนดที่ดินให้แก่ประชาชนไปแล้วจำนวน 84,633 แปลง |
|||||||||||||||||||||
| 926 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
|||||||||||||||||||||
| 927 | การกู้เงินในประเทศประจำปี 2547 ตามโครงการเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (คกก.2) ที่มี
มติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เสนอ ขอเปลี่ยนแปลงวงเงินกู้ในประเทศประจำปี 2547 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อดำเนินการตามโครงการเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระ แสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จากจำนวน 4,016.250 ล้านบาท เป็น 4,297.388 ล้านบาท รวมภาษีมูลค่า เพิ่มเป็นเงิน 281.138 ล้านบาท โดยให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณปี พ.ศ. 2548 เพื่อชดเชยคืนเงินกู้ และ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ในประเทศดังกล่าว และให้ กฟภ. รับความเห็นของ คกก.2 ไปประกอบ การพิจารณาด้วย ดังนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินโครง การเร่งรัดขยายบริการไฟฟ้า โดยระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home System) ควร สนองตอบนโยบายรัฐบาลทั้งในด้านการเร่งรัดให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือนและด้านการสร้างผู้ประกอบการ ผลิตภายในประเทศด้วย จึงควรพิจารณากำหนดประสิทธิภาพของแผงผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ให้ครอบคลุมถึงระดับที่ผู้ผลิตภายในประเทศมีความสามารถในการผลิตด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการผลิต ภายในประเทศได้มีส่วนร่วมในโครงการ ฯ โดยที่การกำหนดประสิทธิภาพดังกล่าวจะต้องไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ ฯ ทั้งนี้ ในการกำหนดประสิทธิภาพของแผงผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลัง งานแสงอาทิตย์ให้ครอบคลุมถึงระดับที่ผู้ผลิตภายในประเทศมีความสามารถในการผลิต เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประ กอบการผลิตภายในประเทศได้มีส่วนร่วมในโครงการ ฯ ตามความเห็นของ คกก.2 นั้น มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) รับไปเป็นประธานในการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ แก่ทุกฝ่ายมากที่สุด โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ ฯ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
| 928 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 5 (วันที่ 15 - 19 กันยายน 2546) | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมรัฐภาคีอนุ
สัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 15-19 กันยายน 2546 ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพ ฯ และแนวทางการ ดำเนินการของไทยในช่วงต่อไป พร้อมทั้งมอบหมายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยการประสาน งานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยผลการประชุม ฯ มีประเด็นสำคัญดังนี้ ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญา กรุงเทพ ฯ (Bangkok Declaration) ซึ่งมีเนื้อหาที่ปรับจากปฏิญญาในปีที่ผ่านมา โดยมีประเด็นใหม่ในเรื่อง ความสำคัญของการจัดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา ฯ ครั้งแรกในเอเชีย เน้นการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัย การให้ประเทศที่มิได้เป็นภาคีเข้ามามีส่วนร่วมในกรอบการดำเนินงานของอนุสัญญา ฯ ให้มากขึ้น และ การสร้างความตระหนักต่อภัยของทุ่นระเบิด รวมทั้งเห็นชอบการจัดประชุมทบทวนอนุสัญญา ฯ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา และการจัดลำดับความจำเป็นในการขอรับความช่วยเหลือในการ ปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิด หรือเรียกว่าแนวทาง 4Ps (problems, plans, progress, priorities for assistance) ให้ลุล่วงก่อนการประชุมทบทวน ฯ สำหรับกลุ่มประเทศเครือข่ายความมั่นคงของมนุษย์ (Human Security Network) ซึ่งไทยเป็นสมาชิก ได้ออกแถลงการณ์ส่งเสริมความพยายามในการผลักดันความเป็นสากลของอนุ สัญญา ฯ และปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญา ฯ โดยเน้นถึงภัยและผลกระทบของทุ่นระเบิดต่อความมั่นคง ของมนุษย์ นอกจากนี้ ในส่วนของไทยในฐานะประธานได้จัดทำเอกสาร President''s Action Programme หรือ แผนงานของประธานเน้นการดำเนินการตามเป้าหมายหลักด้านมนุษยธรรมของอนุสัญญา ฯ ประการ ได้แก่ 1) การทำลายทุ่นระเบิดในคลัง 2) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และ 4) การเสริม สร้างความเป็นสากลของอนุสัญญา ฯ ส่วนแนวทางการดำเนินการของไทยในช่วงต่อไป ได้แก่ การผลักดัน การดำเนินการภายใต้กรอบอนุสัญญา ฯ ของรัฐภาคี การเสริมสร้างความเป็นสากลของอนุสัญญา ฯ และ การเร่งรัดการดำเนินการของไทยตามพันธกรณีอนุสัญญา ฯ โดยส่งเสริมให้มีการดำเนินร่วมกันในลักษณะ หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม การเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2552 การให้ ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด และการให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากทุ่นระเบิด |
|||||||||||||||||||||
| 929 | โครงการจักรยานยืมเรียน | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับโครงการ
จักรยานยืมเรียน โดยให้จัดหาจักรยานให้นักเรียนในชนบทห่างไกลยืมใช้เป็นพาหนะเดินทางไป-กลับ ระหว่าง โรงเรียนและที่พัก จำนวน 375,900 คัน รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดติดตามการดำเนินตามโครงการ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง นั้น ขณะนี้จังหวัดนครราชสีมาได้มีการแจกจักรยานให้นักเรียนไปแล้ว 6,000 กว่าคัน และยังพบว่า ได้มีการนำจักรยานบางส่วนไปแจกให้แก่ข้าราชการและประชาชนด้วย ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุ ประสงค์ของโครงการ จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปตรวจสอบเรื่องนี้ และหากเป็นความจริง ก็ให้ดำเนินการแก้ไขต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 930 | กระทู้ถามที่ 967 ร. เรื่อง การขยายเขตไฟฟ้าให้ทั่วถึงทุกหลังคาเรือนทั่วประเทศ | สผ | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 967 ร.
เรื่อง การขยายเขตไฟฟ้าให้ทั่วถึงทุกหลังคาเรือนทั่วประเทศ ของนายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบ สรุปได้ว่า การดำเนินการในเขตพื้นที่ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้มีการวางระบบจ่ายพลังไฟฟ้าหลัก ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการทั้งหมดทุกพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ รวมทั้งได้ปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าให้รองรับจำนวนความต้องการใช้พลังไฟฟ้าของบ้านอยู่ อาศัยธุรกิจ อุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ซึ่งการกำหนดการลงทุนในการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่าย พลังไฟฟ้าจะต้องสามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าตามค่าพยากรณ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรม การการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ส่วนหมู่บ้านหรือบ้านเรือนราษฎรที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ นั้น เนื่องจากเป็น หมู่บ้านและบ้านเรือนราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวน เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่หวงห้ามของทางราชการ ซึ่งจะพิจาณาดำเนินการให้มีไฟฟ้าใช้ได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีบ้าน เรือนที่กระจัดกระจายห่างจากชุมชนส่วนใหญ่และไม่มีเส้นทางคมนาคมเข้าถึง ซึ่งเมื่อกลุ่มบ้านเรือนดังกล่าว มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีเส้นทางคมนาคมเข้าถึง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะได้พิจารณาดำเนินการให้ในโครงการ ระยะต่อไป สำหรับการขยายเขตไฟฟ้าในพื้นที่หมู่ที่ 7, 8 ตำบลบางตาเถร หมู่ที่ 3, 4 และ 5 ตำบลบ้าน ช้าง หมู่ที่ 1 ตำบลต้นตาล หมู่ที่ 1 และ 4 ตำบลบางตะเคียน อำเภอสองพี่น้อง หมู่ที่ 1, 2, 7 และ 10 ตำบลวัดโบสถ์ และหมู่ที่ 1 ตำบลจรเข้ใหญ่ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้บรรจุเข้าแผนงาน โครงการขยายเขตไฟฟ้าชนบท ระยะที่ 3 แ ละโครงการเร่งรัดขยายการบริการไฟฟ้าโดยระบบผลิตกระแส ไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Home System) เพื่อดำเนินการในปี พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2548 โดยหมู่ ที่ 12 ตำบลบางตาเถร อำเภอสองพี่น้อง ได้ดำเนินการขยายเขตไฟฟ้าและเปิดจ่ายไฟฟ้าเมื่อเดือนพฤษภา คม 2546 |
|||||||||||||||||||||
| 931 | สรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี | สธ | 25/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญ
ของกระทรวงสาธารณสุข สรุปได้ดังนี้ การส่งเสริมให้คนไทย "ออกกำลังกาย" อย่างสม่ำเสมอ กระทรวงสาธารณสุข ได้สนับสนุนให้ประชาชนที่ออกกำลังกาย รวมตัวกันตั้งเป็น "ชมรมสร้างสุขภาพ" โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีชมรมสร้าง สุขภาพทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ กับให้มีการดำเนินการสร้างสุขภาพในทุกหมู่บ้านจนครบ 5 อ. เมื่อหมู่บ้านใดดำเนิน การจนได้ครบ 5 อ. จะประกาศให้เป็นหมู่บ้านสร้างสุขภาพ (Healthy Villages) เพื่อไปสู่การเป็น "Healthy Thailand" และได้สนับสนุนให้มีการจัดงานมหกรรมรวมพลังสร้างสุขภาพ เช่นเดียวกับที่สนามหลวง กทม. ในเขตต่าง ๆ ทั้ง 12 เขต ในทุกจังหวัด รวมทั้งทุกเขตของกรุงเทพมหานคร สนับสนุนให้เกิดชมรมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกายทุก หมู่บ้าน ส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายในสถานประกอบการ หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ และดำเนินการส่ง เสริมการออกกำลังกายในกลุ่มนักเรียนในรูปแบบของการแข่งขันวิ่ง 30 สู่สุขภาพดี และในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน ภายใต้โครงการ To Be Number One สำหรับในกลุ่มประชาชนในเขตเมืองได้จัดกิจกรรมสาธารณสุขพบประชาชน โดยจัดหน่วยให้ความรู้และบริการเคลื่อนที่ในเรื่องการออกกำลังกาย อาหาร และสุขภาพอื่นๆ ไปตามศูนย์การค้า และสวนสาธารณะในวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนการส่งเสริมให้คนไทยได้บริโภค "อาหารที่ปลอดภัยได้คุณค่า" ได้ดำเนิน การเร่งรัดในการรณรงค์ให้ความรู้สร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน และผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารที่นำเข้า การ ผลิตและจำหน่าย โดยตรวจสอบอย่างเข้มงวดในอาหาร 3 กลุ่ม ได้แก่ อาหารสด อาหารปรุงจำหน่าย และอาหาร แปรรูป โดยในส่วนของอาหารสด ได้ตรวจสอบสารปนเปื้อน 6 ชนิด ในอาหารที่วางจำหน่ายในตลาดสด ซึ่งได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง สารฟอกขาว สารกันรา บอแรกซ์ ฟอร์มาลิน และยาฆ่าแมลง โดยรณรงค์ตรวจสอบอย่างจริงจัง ทั่วประเทศตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 อาหารปรุงจำหน่าย จากการตรวจสอบร้านอาหาร และแผงลอยอาหารที่ ปรุงสำเร็จทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 109,983 แห่ง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน "อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Teste)" และเกณฑ์มาตรฐานท้องถิ่น พบว่า จำนวนร้านอาหารและแผงลอยที่ปรุงสำเร็จผ่านเกณฑ์ มาตรฐานท้องถิ่น จำนวน 32,957 แห่ง และได้รับป้ายรับรองอาหารสะอาด รสชาติอร่อย จำนวน 17,237 แห่ง และจากการตรวจตลาดสดที่เข้าร่วมโครงการตลาดสดน่าซื้อ 731 แห่ง ได้ทำการตรวจแล้ว 200 แห่ง พบว่า ผ่าน เกณฑ์สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม 142 แห่ง และผ่านเกณฑ์เป็นตลาดสดน่าซื้อ 64 แห่ง สำหรับอาหารแปรรูปได้กำหนด มาตรการในการควบคุม กำกับ ดูแลผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ตลอดจนยาและเภสัชเคมีภัณฑ์ โดยส่งเสริมยกระดับ คุณภาพสถานประกอบการให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ GMP และได้มีการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงาน ณ ด่าน นำเข้าอาหารและยา โดยจัดตั้ง Minilab ขึ้น ณ ด่านอาหารและยา ท่าเรือคลองเตย ขณะนี้ได้เริ่มเตรียมการพัฒนา บุคลากรโดยอบรมผู้ตรวจศุลกากร จำนวน 125 คน เกี่ยวกับการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นแล้ว นอกจากนี้ กระทรวง สาธารณสุขได้ดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอาหารในโรงเรียน (อย. น้อย) โดยได้ส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน โดยบูรณาการเข้าในหลักสูตรสถานศึกษาและมีกิจกรรมพัฒนา นักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีการเฝ้าระวังและตระหนักในความปลอดภัยด้านอาหารทั้งภายในโรงเรียน และรอบโรง เรียนด้วยชุดทดสอบต่าง ๆ ที่กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนให้ในปี พ.ศ. 2545 |
|||||||||||||||||||||
| 932 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของกระทรวงมหาดไทยในรอบสัปดาห์(ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2546) | มท | 25/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
กระทรวงมหาดไทย (ศตส.มท.) รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในภาพรวมของ ทุกจังหวัด (ศตส.จ.) ทั้ง 75 จังหวัด ในรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2546) โดยผลการปฏิบัติงาน ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดที่ได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการใน 5 ประการ ประกอบด้วย การดำเนิน การกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้า หมู่บ้าน/ชุมชน ที่ผ่านขั้นตอน ตามกระบวนการเสริมสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งเพื่อเอาชนะยาเสพติด ครบ 6 ขั้นตอน ผู้เสพ/ผู้ติดที่ได้รับ การบำบัด/ฟื้นฟู และผู้ผลิต/ผู้ค้าที่ผ่านโครงการอบรมทำความดีเพื่อแผ่นดินได้ดำเนินการจนสามารถบรรลุ เป้าหมายทั้งหมด ส่วนการปฏิบัติการนับถอยหลัง 60 วัน กับการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ในด้านการ ปราบปรามการจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดของ ศตส.จ. ศตส.อ/กิ่ง อ. โดยการดำเนินการค้นหาตรวจสอบ อีกครั้ง (RE-X-RAY) มีผู้ผลิต/ผู้ค้ารายงานตัวเพิ่มขึ้น 2 คน และถูกจับกุมดำเนินคดีเพิ่มขึ้น 259 คน ด้าน การดำเนินการกับผู้เสพ/ผู้ติด มีผู้เสพ/ผู้ติดแสดงตน โดยสมัครใจเพิ่มขึ้น 389 คน ผู้ไม่เลิกพฤติการณ์และถูก นำตัวเข้าสู่การบำบัดเพิ่มขึ้น 134 คน และถูกจับกุมดำเนินคดีอีก 12 คน ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ของหมู่บ้าน/ชุมชน ตามกระบวนการเสริมสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งเพื่อเอาชนะยาเสพติด มีหมู่บ้าน/ชุม ชนที่จังหวัดประกาศการดำเนินการผ่าน 6 ขั้นตอนเพิ่มขึ้น 23 หมู่บ้าน/ชุมชน ด้านการปฏิบัติภารกิจของผู้ ประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ได้จัดฝึกอบรมวิทยากรระดับตำบล (ครู ข) 256,609 คน จัดประชุม ชี้แจงผู้ประสานพลังแผ่นดินระดับหมู่บ้านเพื่อจัดตั้งและรับมอบภารกิจ 2,207,255 คน และมีผู้ผลิต/ผู้ค้า ผ่านโครงการอบรมทำความดีเพื่อแผ่นดิน 31,484 คน ด้านการดำรงรักษาความเข้มแข็งพลังแผ่นดินเพื่อเอา ชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน มีตำบล/เทศบาลที่จัดเวทีสาธารณะเพื่อประชุมประชาคมเพิ่มขึ้น 534 แห่ง โรง เรียนเข้มแข็งเพิ่มขึ้น 1,682 แห่ง และโรงงานสีขาวเพิ่มขึ้น 1,730 แห่ง ด้านการปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ ค้ารายสำคัญ และการยึดทรัพย์สิน สามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญเพิ่มขึ้น 10 ราย และยึดทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 28.190 ล้านบาท ส่วนการยึดทรัพย์สินของ ป.ป.ส. และ ปปง. ในระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 23 พฤศจิกายน 2546 สามารถดำเนินการยึดทรัพย์สินผู้ผลิต/ผู้ค้า 3,545.448 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีผล การดำเนินการประกาศจังหวัดเข้มแข็งเอาชนะปัญหายาเสพติด และการประชุมของ ศตส.มท. เพื่อพิจารณา ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง การเร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพล |
|||||||||||||||||||||
| 933 | ยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด | นร | 17/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา ในฐานะผู้แทนกลุ่ม
จังหวัดเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด ทั้ง 19 กลุ่ม รับไปดำเนินการในภาพรวมด้วย โดยให้ทุกกลุ่ม จังหวัดดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติ การตามยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดให้มีความชัดเจนว่า ภารกิจเรื่องใด จะมอบหมายให้ภาคเอกชนหรือภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการและควรมีการตั้งทีมงาน (task force) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ ประสานงานในระดับจังหวัด และเพื่อพิจารณาความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ระหว่างกลุ่มจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกัน และในเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น การปลูกข้าวหอมมะลิ การท่องเที่ยว เป็นต้น และจัดทำเอกสารยุทธศาสตร์ การพัฒนากลุ่มจังหวัดที่นำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นฉบับภาษาอังกฤษ มอบให้ทูต CEO นำไปเผยแพร่ (road show) เพื่อจูงใจนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในพื้นที่ และให้ทุกกลุ่มจังหวัดไปปรับแก้เพิ่มเติม ยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องดังนี้ (1) ยุทธศาสตร์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด ควรกำหนดเป้าหมาย การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2547 ของกลุ่มจังหวัดให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่วางไว้ (2) กลุ่มจังหวัดที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นควรแยกเขตอุตสาหกรรมออกจากเขตท่องเที่ยวเพื่อให้วัฒนธรรมยังคงอยู่ได้ และกำหนดสัญลักษณ์เป็น cluster ของตัวเองเพื่อสร้างจุดเด่นในด้านการท่องเที่ยว และให้มีการกระจายกลุ่มเมือง บริวารที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน เพื่อ ลดความแออัด (3) กลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพเป็น distribution center ให้ กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์เพราะจะมีความสำคัญมากในอนาคตเนื่องจากสามารถช่วยลดต้นทุนด้านการผลิตการขนส่ง และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ (4) กลุ่มจังหวัดที่จะจัดตั้งเป็นเขตการค้าเสรี (Free Trade Area) ควรให้ความ สำคัญด้านการตลาดการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยประสานการดำเนินงานและข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์ด้วย และ (5) กลุ่มจังหวัดที่มีพื้นที่ ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านควรเพิ่มเติมยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ECS (Economics Cooperation) และความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการเพิ่มยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในเรื่อง ปัญหาแรงงานอพยพ การค้า มนุษย์ และปัญหาการขนส่งยาเสพติด และมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) นำยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด และภารกิจหลักในการบริหารจังหวัดแบบบูรณา การตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยระบบบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2546 ไปเป็นกรอบใน การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการดำเนินการด้วยว่า การจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดต้องคำนึงถึง ความสอดคล้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดของจังหวัดใกล้เคียงซึ่งอยู่ต่างกลุ่มกันด้วย และให้ทุกกระทรวง รับไป พิจารณาภาพรวมของยุทธศาสตร์พัฒนากลุ่มจังหวัดในการพิจารณาความเหมาะสมของแผนงาน/โครงการ กับ ความสอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนงาน/โครงการของกระทรวงที่จะดำเนินการต่อไปต้องประสานสอดรับกัน ตลอดจน สนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกินความสามารถของกลุ่มจังหวัดและจังหวัดที่จะดำเนินการได้ เองให้ บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญเร่งด่วนในการเร่งรัดการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในด้านโครงสร้าง พื้นฐานการศึกษา และเศรษฐกิจ ในกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา/การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศึกษาหาแนวทาง ในการพัฒนาน้ำแร่ร้อนที่มีคุณภาพ (hot spring) ที่จังหวัดระนอง และนำมาใช้เป็น spa ในลักษณะของ club พิเศษ สำหรับสมาชิก และศึกษาแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ โดยเน้นในเรื่องของการจัดการประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดแสดงนิทรรศการ (MICE) และการท่องเที่ยวในเชิงศิลปะและวัฒนธรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งดำเนินการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ของสินค้าเกษตรที่สำคัญ พัฒนาผลผลิตไหมไทยให้เข้าสู่มาตรฐานสากล ส่งเสริมให้มีการลดพื้นที่เพาะปลูกอ้อยศึกษาความเหมาะสมของสถาน ที่ตั้งตลาดกลางยางพารา ศึกษาปัญหาการทำประมงน้ำจืด แก้ปัญหาการทำการประมงชายฝั่ง และอนุรักษ์พันธุ์ปลาใน แม่น้ำสำคัญ ๆ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันวางแผนและกำหนดทิศทางการดำเนินการด้าน การค้า การลงทุน และการจัดทำเขตการค้าเสรีกับต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม ดำเนินการในการวางแผนพัฒนา ระบบขนส่งมวลชนแบบ multi-modal transportation พิจารณา สนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ ศึกษาความเหมาะสมทำเลที่ตั้งในการก่อสร้าง ท่าเรือน้ำลึกเชื่อมโยงชายฝั่งทะเลอันดามันกับอ่าวไทยใน ภาคใต้ และพิจารณาการขุดลอกร่องน้ำท่าเรือสงขลา ให้เรือขนาด 1,200 TEU เข้ามาเพื่อขนส่งสินค้าไปยังญี่ปุ่นและจีน แทนการใช้ท่าเรือปีนัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาการใช้ทรัพยากรน้ำในอนาคต และออก ประกาศคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่จังหวัดกระบี่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สนับสนุนด้านเทคโนโลยี และสารสนเทศให้ได้มาตรฐาน และอำนวยความสะดวกแก่กลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพในการดำเนินการเรื่อง software park กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน วางแผนการผลิตนักศึกษาและพัฒนาผู้มีฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้อง การในการพัฒนายุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดต่าง ๆ ว่ามีความต้องการแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม ศึกษาราย ละเอียดในการจัดทำยุทธศาสตร์และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลอย่างเป็นระบบและครบวงจร สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พัฒนาตัวชี้วัดในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้ การพัฒนาเกิดความ สมดุลเพื่อให้กลุ่มจังหวัดนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ และจัดทำตัวเลขมาตรฐาน เพื่อใช้เป็น benchmark ในการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดต่อไป และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พิจารณาปรับ ลดกระบวนการทำงานด้านต่าง ๆ ในระบบราชการให้มีความคล่องตัวและรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านสังคมให้ความสำคัญต่อการดำเนินยุทธศาสตร์ทางสังคมในมิติต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการ พัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญ เติบโตของประเทศเพื่อให้พัฒนาการทั้งสองด้านเป็นไปอย่างประสานสอดคล้องและเกิดความ สมดุลระหว่างกัน
|
|||||||||||||||||||||
| 934 | กระทู้ถามที่ 857 ร. เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวง สายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 857 ร.
เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอ มะนัง จังหวัดสตูล ของนายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล แล้วปรากฎว่า สายทางดังกล่าวมีระยะทาง 11.50 กิโลเมตร โดยช่วง กม. 0+000-6+850 เป็นถนนลาด ยาง อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนช่วง กม. 6+850-11+500 เป็นถนนลูกรัง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม โดยกรม ทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่เกิดจากการรวมหน่วยงานด้านถนน ของกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัด พัฒนาชนบท ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารงานให้สอดคล้องกับภารกิจตามที่กฎกระทรวง กำหนดและกำลังดำเนินการศึกษาถนนทั้งหมดที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบว่า สอดคล้องกับภารกิจหลักหรือ ไม่ หากสายทางดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญ และจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป นอกจากนี้ การปรับปรุงถนนลูกรังให้เป็น ถนนลาดยางต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในอันที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด และรัฐบาลมีภาระที่จะต้องพัฒนาประเทศในอีกหลายด้าน ซึ่งทุกด้านจำเป็นที่จะต้องใช้ งบประมาณในการพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้น หากถนนดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดเข้าแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 935 | ขอความเห็นชอบโครงการด้านการเกษตร | กษ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการ
โครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเกษตรเพื่อจัดการสินค้าคงเหลือชุมชนให้เหมาะสมจากธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ที่สนับสนุนช่วยเหลือ สถาบันเกษตรกร โดยผลการกู้เงินเพื่อดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเกษตรเพื่อจัดการสินค้าคง เหลือชุมชน ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ส่งโครงการให้ ธ.ก.ส. พิจารณาให้เงินกู้แก่ สถาบันเกษตรกร นั้น ธ.ก.ส. ได้พิจารณาเงินกู้โครงการตามหลักเกณฑ์ที่ ธ.ก.ส. กำหนด โดยโครงการที่ได้รับการ สนับสนุนช่วยเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ได้แก่ โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการลดภาระ หนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร โครงการสนับสนุนสินเชื่อในการจัดหาปุ๋ย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544/45 โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพผลิตผลการเกษตรของสถาบัน เกษตรกร โครงการเร่งรัดกระจายพันธุ์มันสำปะหลังพันธุ์ดี และโครงการสนับสนุนให้สมาชิกสหกรณ์ใช้ปุ๋ยพืชสด เพื่อรักษาและปรับปรุงคุณภาพดิน สำหรับโครงการที่ได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ได้แก่ โครงการลดภาระหนี้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร โครงการสนับสนุน สินเชื่อในการจัดหาปุ๋ยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ปี 2544/45 และโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพผลิต ผลการเกษตรของสถาบันเกษตรกร
|
|||||||||||||||||||||
| 936 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้
จ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ดังนี้ มาตรการเร่งรัดติดตามในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เห็นควรกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ไว้ในอัตราร้อย ละ 92.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย 1,011,500 ล้านบาท โดยไม่รวมงบกลางที่ตั้งไว้เพื่อใช้จ่ายในงานโครง การเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) และราย จ่ายลงทุนควรกำหนดเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 72.0 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละส่วนราช การ ส่วนแนวทางการดำเนินงานของส่วนราชการเจ้าของงบประมาณ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติ ตามแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยเคร่งครัด และเพื่อเร่งรัดการก่อหนี้ผูกพัน รายจ่ายลงทุน ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่มีหน่วยงานในภูมิภาคเร่งโอนเงินงบประมาณไปให้หน่วยงานใน ภูมิภาคโดยเร็ว และเร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 กับให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และจังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานขึ้นทำหน้าที่ติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไป ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และติดตามปัญหาอุปสรรคในการเบิกจ่ายเงินและดำเนินการตามมาตร การและแนวทางที่คณะกรรมการติดตามผลการใช้จ่ายเงินภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กำหนดต่อไป รวม ทั้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจส่งสำเนาแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามระบบงบ ประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานที่จัดส่งให้สำนักงบประมาณให้กรมบัญชีกลางทราบ เพื่อประโยชน์ในการติดตามเร่ง รัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาประสิทธิภาพ ของหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและผู้ว่าราชการจังหวัด ในกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจในส่วนกลางที่ มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุนที่ได้รับ และกรณีที่ส่วนราช การและรัฐวิสาหกิจในส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนต่ำกว่าร้อยละ 72 ของงบประมาณราย จ่ายลงทุนที่ได้รับ ทั้งนี้ อัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำกว่ากำหนดดังกล่าวจะต้องมิได้มีสาเหตุมาจากปัญหาที่เป็นปัจจัย ภายนอก และให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในการให้รางวัลกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ ส่วนภูมิภาคที่มีอัตราการเบิกจ่ายที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานกลาง มอบหมายให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ได้แก่ ราย งานภาพรวมการเบิกจ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคพร้อมทั้งมาตรการที่ควรดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบ และ รายงานผลการเบิกจ่ายเงินรายส่วนราชการให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบเพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดการดำเนินงาน แก้ไขปัญหาอุปสรรคและทำให้การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด นอกจากนี้ ให้สำนักงาน คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้คณะรัฐมนตรีทราบ |
|||||||||||||||||||||
| 937 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||
|
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของ สภาผู้แทนราษฎร และตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและ สิทธิมนุษยชนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของ วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทนราษฎร มีข้อสังเกตว่า ปัญหาการขาดแคลนตุลาการ ศาล ยุติธรรมสมควรที่จะต้องคิดค้นหามาตรการ หรือวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในระยะยาว เช่น จัดให้มีการสอบผู้ ช่วยผู้พิพากษาในแต่ละปีบ่อยขึ้น การเร่งรัดตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสอบให้มีความรวดเร็วขึ้น การเพิ่มหลัก เกณฑ์หรือกำหนดให้มีคะแนนเกี่ยวกับความประพฤติหรือคุณสมบัติอื่น ๆ ที่มิใช่เฉพาะแต่ความรู้ความสามารถเชิง วิชาการ ซึ่งถ้าศาลยุติธรรมมีการจัดทำแผน หรือแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังบุคลากรอย่างเป็นระบบ ก็ จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งระบบ ส่วนคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ฯ มีข้อสังเกตว่า ศาล ยุติธรรมควรกำหนดหลักเกณฑ์ และหามาตรการหรือวิธีการในการแก้ไขปัญหา โดยจัดให้มีการเปิดรับสมัครสอบ คัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษาเพิ่มขึ้น จัดให้ผู้พิพากษาประจำศาลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้นตามพระ ราชบัญญัติฉบับนี้เป็นองค์คณะร่วมกับผู้พิพากษาผู้มีอาวุโสในศาลนั้น จัดให้มีระบบงานช่วยตรวจร่างคำพิพากษา หรือร่างคำสั่งในศาลชั้นต้นก่อนการอ่านในลักษณะเดียวกับกองผู้ช่วยผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา กับ ให้เพิ่มหลักสูตรการอบรมผู้ช่วยผู้พิพากษาในเรื่องการบันทึกคำให้การพยานและการรับฟังพยานหลักฐานให้มากขึ้น นอกจากนี้ จัดให้มีระบบการติดตามประเมินผลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และให้ทบทวนปรับปรุง กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิอุทธรณ์ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงให้เคร่งครัดกว่าเดิม พร้อมทั้งกระจายผู้พิพากษาใน ราชการที่มีอาวุโสสูงไปยังศาลชั้นต้น ให้ปฏิบัติราชการในศาลชั้นต้นให้นานและมากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ มอบให้ กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรม รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมน ตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 938 | การเร่งการตรากฎหมายสำคัญ | นร | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการตรากฎหมายสำคัญ เนื่อง
จากยังมีร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนบางแห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งสมควรเร่งรัดดำเนินการ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งยังมีร่างกฎหมายอื่นที่สำคัญ เช่น ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชน พ.ศ. .... กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง เป็นต้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ติดตามและเร่งรัดการดำเนินการตรากฎ หมายเหล่านั้น สำหรับในส่วนขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งได้จัด ตั้งขึ้นแล้ว และองค์การมหาชนที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการจัดตั้ง มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เร่งดำเนินการและเตรียมการด้านต่าง ๆ เช่น การจัดทำโครงสร้าง การคัดเลือกกรรมการ และผู้บริหารเพื่อให้สามารถเริ่มดำเนินการได้โดยเร็วเมื่อกฎหมายประกาศใช้บังคับ |
|||||||||||||||||||||
| 939 | กระทู้ถามที่ 1199 ร. เรื่อง การบริหารการเบิกจ่ายงบประมาณ | สผ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1199 ร.
เรื่อง การบริหารการเบิกจ่ายงบประมาณ ของนายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระบวนการงบประมาณแผ่น ดินที่ใช้ในปัจจุบันเป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนตามสถาน การณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงระบบงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้น ผลงานตามยุทธศาสตร์ โดยการปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณได้กำหนดให้ส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่แสดงผลผลิตและผลลัพธ์ที่สอด คล้องกับเป้าหมายการให้บริการของกระทรวง และสอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลตามที่ได้ รับการจัดสรรงบประมาณ โดยการปรับเปลี่ยนงบประมาณส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจะสามารถดำเนินการ ได้เท่าที่จำเป็น ภายใต้ความรับผิดชอบต่อเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ตามแผนปฏิบัติงาน และ แผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งการมอบอำนาจเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการ ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้การบริหารราชการส่วนภูมิภาคมีความสะดวกคล่องตัว สามารถตอบสนอง ความต้องการของประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ และความต้องการของประชาชนในเชิงมิติพื้นที่ ส่วนการ ให้แต่ละส่วนราชการดำเนินการเพื่อยกร่างระเบียบการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยผ่านความเห็นชอบจากคณะ รัฐมนตรี เพื่อให้การใช้จ่ายและการเบิกจ่ายงบประมาณบรรลุเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ตามที่ได้รับอนุมัติ จึงต้องกำหนดระเบียบหรือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นมาตรฐานกลางร่วมกัน และต้องมีการวาง ระบบการตรวจสอบและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้จ่ายงบประมาณตลอดระยะเวลาที่กำหนด เพื่อ ให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลซึ่งจะเหมาะสมกว่าการให้แต่ละกระทรวง ยกร่างระเบียบ ฯ ขึ้นใช้บังคับ สำหรับในกรณีการเร่งรัดให้เบิกจ่ายงบประมาณที่มักจะมีการทุจริต รัฐบาลจะ พิจารณาประสิทธิภาพในการบริหารงบประมาณโดยจะต้องมีมาตรการหรือเครื่องมือในการควบคุมตรวจสอบ ที่เด็ดขาด รัดกุม เคร่งครัด รวมทั้งพิจารณาโทษผู้กระทำผิดตามกฎหมาย และเมื่อมีการทุจริต ได้มีมาตรการ ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสมและรวดเร็วตามที่กฎหมายและระเบียบปฏิบัติของทางราชการกำหนด ไว้อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
| 940 | รายงานสรุปผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 | กค | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2546 ในภาพรวม ส่วนราชการและรัฐ วิสาหกิจเบิกจ่ายเงินจากคลังทั้งสิ้น 898,332.48 ล้านบาท หรือร้อยละ 89.84 ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย 999,900 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายจำนวน 21,667.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.16 เทียบกับการเบิกจ่ายใน ช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อนสูงกว่าร้อยละ 0.13 (89.84 - 89.71) ส่วนผลการเบิกจ่ายเงินงบ ประมาณรายจ่ายจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจ (งบประจำ/งบลงทุน) โดยการเบิกจ่ายงบประจำ มีการเบิกจ่าย 765,894.96 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.77 ของงบประมาณรายจ่ายประจำ 799,726.30 ล้านบาท ต่ำกว่า อัตราการเบิกจ่ายในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อน สำหรับการเบิกจ่ายงบลงทุน มีการเบิกจ่าย 132,437.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.16 ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน 200,173.70 ล้านบาท ต่ำกว่า อัตราเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีงบประมาณก่อน ทั้งนี้ จากผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ได้ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการ ฯ เพื่อรวบรวมปัญหาอุปสรรค และเสนอแนวทางแก้ไขและมาตรการเร่งรัดให้ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจสามารถเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||
.....
