ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 10 จากทั้งหมด 15 หน้า แสดงรายการที่ 181 - 200 จากข้อมูลทั้งหมด 294 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
181 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) | อว. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓ คณะ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ท่าน ได้แก่
๑.๑ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๑.๒ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๒.
คณะกรรมการบริหารโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ท่าน ได้แก่
๒.๑ คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๒.๒ นายกฤษณพงศ์ กีรติกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓.
คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลสถาบันไทยโคเซ็น ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๗
ท่าน ได้แก่
๓.๑ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษา
๓.๒ ศาสตราจารย์ผดุงศักดิ์ รัตนเดโช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๓ รองศาสตราจารย์พินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๔ รองศาสตราจารย์กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๕ รองศาสตราจารย์รัตติกร วรากูลศิริพันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
๓.๖ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
182 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าง หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท
พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เป็นเวลา ๑๓ วัน
โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน
และได้รับเงินเดือนตามปกติ และให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นสตรี
ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิ ถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา
๑๓ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน
และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม)
ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรม ครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑
เดือน แต่ไม่เกิน ๓ เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๗๓ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณีตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
183 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว | พน. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม ๖.๗๕
เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ ๙๕๙.๗๖ ล้านบาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ ๒๔๓.๘๓
ล้านบาท และเงินบาท ๗๑๕.๙๓ ล้านบาท
โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว ให้แล้วเสร็จก่อนการลงนามผูกพันสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องขออนุญาตทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗
และต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการบริหารจัดการน้ำ
โดยต้องครอบคลุมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภูมิรัฐศาสตร์ต่อปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดให้มีกลไกในการติดตามประเมินผลโครงการฯ ร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกชนิดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่
โดยให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสอดรับกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพลังงานในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
184 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 26 (The 26th GMS Ministerial Conference) | นร.11 สศช | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS)] ครั้งที่
๒๖ และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ โดยมีรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)]
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้รับรองเอกสารจำนวน
๒ ฉบับ (โดยไม่มีการลงนาม) ได้แก่ ๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๖ และ ๒) ร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
185 | การเสนอศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี จังหวัดสมุทรปราการ ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks: AHP) | กห. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู)
เฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษา มหาราชินี จังหวัดสมุทรปราการ
ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN
Heritage Parks : AHP) ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าในกรณีที่มีการปรับแก้ไข
(ร่าง) เอกสารการขอขึ้นทะเบียนดังกล่าว
ขอให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของประเทศไทย
สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ - พ.ศ. ๒๕๖๘ เห็นควรให้กองทัพบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ให้จัดทำเผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
186 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีการถอนข้อสงวนข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก | พม. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีการถอนข้อสงวนข้อ ๒๒ ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รวบรวมความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งได้ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
ซี่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมายจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๗
เป็นกรรมการเข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว
เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า เห็นชอบการถอนข้อสงวนข้อ
๒๒ ของอนุสัญญาฯ ของประเทศไทย ส่วนการกำหนดความหมายของ
“เด็กผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง”
ในกรอบกฎหมายและนโยบายของประเทศไทยไม่ได้จำกัดสิทธิของเด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในการได้รับความคุ้มครองตามข้อ
๒๒ ของอนุสัญญาฯ โดยได้มีมาตรการที่เหมาะสมในการรองรับเด็กแต่ละกลุ่ม
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
187 | รายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | มท. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานประจำปีเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑) สถานการณ์ด้านการผังเมืองของประเทศไทยในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ (๒) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ (๓)
ผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ของการวางและจัดทำผังเมือง (๔) การพัฒนาเมือง และ (๕) การดำเนินการอื่น
ๆ ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
188 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 11/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ (แอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน)
ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพใหม่
เพื่อให้การกำหนดปริมาณยาเสพติดดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ยาเสพติดปัจจุบัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าหากมีการประกาศใช้บังคับแล้ว
ควรพิจารณาให้มีการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางให้ประชาชนและสังคมรับทราบ
เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงเจตนารมณ์ในการออกกฎกระทรวง
ตลอดจนควรพิจารณาให้มีการเก็บข้อมูลผลลัพธ์หลังการประกาศใช้ในประเด็นต่าง ๆ เช่น
สังคม เศรษฐกิจ และการแพทย์ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายต่อไป ๓.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
ดังนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
189 | รายงานประจำปี 2565 ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ | กห. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๕ ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งผู้สอบบัญชีได้ตรวจรับรองในส่วนของรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินแล้ว
ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
190 | หลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (De minimis threshold) เป็นการชั่วคราว | กค. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน
๑,๕๐๐ บาท (De minimis
threshold) เป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้าซึ่งแต่ละรายผู้รับในประเทศมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย
(Cost Insurance and Freight : CIF) ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑
บาทแต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด
๑๕ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบร่างประกาศกรมศุลกากร ที่ ../๒๕๖๗ เรื่อง
กำหนดราคาของที่นำเข้า ซึ่งได้รับยกเว้นอากรตามประเภท ๑๒ ภาค ๔
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรศุลกากรให้ของที่นำเข้าซึ่งมีราคาไม่เกิน
๑ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าในการยกร่างกฎหมายแก้ไขประมวลรัษฎากรจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงพันธกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ตามแนวปฏิบัติสากล (International Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้า
ส่งออก และการค้าระหว่างประเทศ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : สมอ.) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา :
อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่สั่งซื้อผ่าน
e-Commerce Platform ต่าง ๆ ต้องมีมาตรฐานตามที่
สมอ. หรือ อย. กำหนด ตามแต่กรณี ทั้งนี้
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าประเภทเดียวกัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
191 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก (National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund : GCF) | ทส. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการมอบหมายหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประสานงานหลัก
(National Designated Authority : NDA) ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว
(Green Climate Fund : GCF) ดังนี้ ๑)
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง
สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สมัยที่ ๒๐ และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๐ ณ กรุงลิมา
สาธารณรัฐเปรู จากเดิม “สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลาง (National Focal Point) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลัก ของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” เป็น “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เป็นหน่วยประสานงานหลักของกองทุนภูมิอากาศสีเขียว” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การแต่งตั้งผู้มีอำนาจ (Designated Authority) สำหรับกองทุน Green Climate Fund ของประเทศไทย
จากเดิม “มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เป็นผู้จัดทำกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ
ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณาโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
เป็น “มอบหมายกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้จัดทำกฎหมาย
กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนรูปแบบวิธีการอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องกำหนดหรือบัญญัติขึ้นภายในประเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งเป็นผู้พิจารณโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่ต้องการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนภูมิอากาศสีเขียวให้ถูกต้องตามระเบียบราชการต่อไป”
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
192 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ 12 | กก. | 04/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค
ครั้งที่ ๑๒ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารฯ
จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างถ้อยแถลงการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวเอเปค ครั้งที่ ๑๒
มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้นวัตกรรมใหม่เพื่อรับมือกับความท้าทายในภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน
รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการและการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๒)
ร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย “หลักการในการป้องกันและลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก” มีสาระสำคัญเกี่ยวกับโครงการวิจัยที่จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู ซึ่งได้ระบุเกี่ยวกับปัญหาของการทำอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างขยะอาหารในภาคการท่องเที่ยว
และได้มีข้อเสนอแนะซึ่งจะช่วยสนับสนุนหลักการของเอเปคสำหรับการป้องกันและลดการสูญเสีย
และขยะอาหารในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก (หลักการเอเปค) ให้เป็นรูปธรรม และ ๓)
ร่างแนวคิดโครงการ “แพลตฟอร์มเอเปคเพื่อเผยแพร่โอกาสความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก จัดทำขึ้นโดยสาธารณรัฐเปรู
ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างแพลตฟอร์มการจัดการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในภาคการท่องเที่ยว
และอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกัน การถ่ายทอดความรู้ การแลกเปลี่ยนโอกาสด้านความร่วมมือที่มีอยู่
และการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างเอกสารฯ จำนวน ๓
ฉบับ ไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เห็นควรเพิ่มการอ้างถึงแผนงานสำคัญที่เกี่ยวข้องของเอเปค
โดยอาจเสนอเพิ่มบางถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงฯ และกรรมการอาจใช้โอกาสการเจรจาร่างถ้อยแถลงฯ
แจ้งท่าทีไทยดังกล่าวตามความเหมาะสม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรดำเนินการเชิงรุกโดยเฉพาะจัดเตรียมแผนงาน/โครงการในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็นไปตามทิศทางที่ประเทศสมาชิกในภูมิภาคเห็นชอบร่วมกัน
รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดการขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวอย่างจริงจังที่เป็นโอกาสสร้างความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศให้มีความยั่งยืนมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
193 | มาตรการและแนวทางการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย | กต. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการตรวจลงตราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ในการขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังในการอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศหักเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมการกงสุลในอัตราร้อยละ
๕๐ หรือไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท
ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบในหลักการ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ทำงาน หรือการติดต่อธุรกิจระยะสั้น ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา
และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินหกสิบวันเป็นกรณีพิเศษ ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวจะขอรับการตรวจลงตรา
ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง ๒.๓
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อท่องเที่ยวและทำงานทางไกล
เป็นกรณีพิเศษ ๒.๔
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักร เพื่อศึกษา
หรือศึกษาและทำงาน เป็นกรณีพิเศษ รวม
๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าข้อเสนอของกระทรวงการต่างประเทศที่จะขอหักเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมการกงสุลเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ
๓๐ เป็นอัตราร้อยละ ๕๐ หรือไม่น้อยกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป นั้น
เป็นการดำเนินการตามมาตรา ๔ วรรคสอง (๒) แห่งพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. ๒๔๙๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เห็นควรรับฟังความเห็นของกระทรวงการคลัง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองรับความเห็นของนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น นายกรัฐมนตรี เห็นว่าการอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรผ่านระบบการตรวจคนเข้าเมืองและการตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์
(e – Visa) ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
และสมควรดำเนินการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น มีความสะดวกรวดเร็ว
คล่องตัว และสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม
การอำนวยความสะดวกดังกล่าวยังคงต้องให้ความสำคัญกับการคัดกรองอย่างรอบคอบรัดกุมเพื่อเฝ้าระวังบุคคลและกลุ่มอาชญากรที่อาจแฝงตัวเดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
194 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม) | นร.04 | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
195 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ และนายดนัย เรืองสอน) | คค. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายชาครีย์ บำรุงวงศ์
ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางบก (นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ)
สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
196 | การดำเนินโครงการ/กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 | นร. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ประกาศโครงการหลักและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ จำนวน ๑๐ โครงการ เมื่อวันที่
๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗ นั้น ขอเน้นย้ำว่า
รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับโครงการหลักและกิจกรรมดังกล่าว และขอให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดและให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโครงการและกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น
เช่น ความสำคัญ ความเป็นมาของโครงการ และกิจกรรม
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและประชาชน ให้ถูกต้อง ทั่วถึง และต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
197 | การเข้าร่วมเจรจาอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ | กต. | 28/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้คณะผู้แทนไทยเข้าร่วมเจรจาอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ
โดยมีองค์ประกอบ ได้แก่ ๑) กระทรวงการต่างประเทศ ๒) สำนักงานอัยการสูงสุด ๓)
สำนักงานศาลยุติธรรม ๔) กระทรวงยุติธรรม และ ๕) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเห็นชอบกรอบการเจรจาอนุสัญญาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ
และให้รับรองถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งในอนาคตซึ่งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งความประสงค์ของไทยในการเข้าร่วมเจรจาอนุสัญญาฯ
และรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ กับฝ่ายจีน โดยวิธีการที่เหมาะสมต่อไป โดยการเข้าร่วมเจรจาอนุสัญญาฯ
เป็นการเข้าร่วมเจรจาจัดทำสนธิสัญญาจัดตั้งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ
(International Organization for Mediation : IOMed) ซึ่งจะเป็นองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาลแห่งแรกในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือกโดยใช้วิธีการไกล่เกลี่ย
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาความพร้อมของไทยทั้งในด้านภาระทางงบประมาณ
ความคุ้มค่าของงบประมาณที่จำเป็นต้องใช้ และภาระหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าว
เพื่อให้การเจรจาอนุสัญญาฯ เป็นไปอย่างรอบคอบและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
นอกจากนี้ภายหลังจากกระบวนการเจรจาสิ้นสุดลง
กระทรวงการต่างประเทศควรพิจารณาประเมินผลประโยชน์และผลกระทบเชิงลบจากการเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาฯ
ซึ่งหากพิจารณาแล้วพบว่า การเข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาฯ
ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม
กระทรวงการต่างประเทศอาจพิจารณาไม่เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวตามความเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
198 | การมอบโบราณวัตถุ 20 รายการ คืนให้ราชอาณาจักรกัมพูชา | วธ. | 21/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม
โดยกรมศิลปากรมอบโบราณวัตถุ ๒๐ รายการ คืนให้ราชอาณาจักรกัมพูซา
เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของความตกลงทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
รวมทั้งเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นภาคีที่ยึดมั่นและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในความตกลงทวิภาคีอย่างเคร่งครัด
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการยกเว้นเงื่อนไขภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาในการต่อต้านการเคลื่อนย้ายโดยผิดกฎหมายและการลักลอบขนข้ามแดนซึ่งสังหาริมทรัพย์ทางวัฒนธรรมและส่งคืนให้แก่ประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด
ข้อ ๔ วรรคสอง ที่กำหนดให้ค่าใช้จ่ายทั้งปวงอันเนื่องมาจากการส่งคืนและการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ทางวัฒนธรรมให้เป็นภาระของภาคีที่ร้องขอ
นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร)
ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ การโอนเงินจัดสรร
และหรือการเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินรายได้อื่นในโอกาสแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าผู้ส่งออกโบราณวัตถุดังกล่าว
จะต้องปฏิบัติพิธีการศุลกากร ณ ท่าหรือที่ที่ส่งออก ตลอดจนปฏิบัติตามข้อห้ามหรือข้อจำกัดสำหรับการส่งออกตามกฎหมายอื่นให้ครบถ้วน
ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
199 | การจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย | กต. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย
(ไทเป) กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย [Agreement between the Thailand Trade and Economic Office
in Taipei (TTEO) and the Taipei Economic and Cultural Office in Thailand (TECO)
for the Promotion and Protection of Investments] และอนุมัติให้ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย
(ไทเป) ลงนามร่างความตกลงฯ สำหรับฝ่ายไทย
กับผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผู้ลงนามฝ่ายไต้หวัน
รวมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งฝ่ายไต้หวัน เพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับภายหลังการลงนาม โดยร่างความตกลงฯ
จัดทำขึ้นเพื่อปรับปรุงและแทนที่ความตกลงฯ ฉบับเดิม
ให้สอดคล้องกับบริบทของการลงทุนในปัจจุบันที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน
ซึ่งมีการปรับปรุงข้อบทให้มีความชัดเจน รัดกุม
และเป็นไปตามกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศ
โดยมีข้อบทที่สำคัญ เช่น (๑)
การกำหนดขอบเขตความคุ้มครองการลงทุนของนักลงทุนอีกฝ่ายเฉพาะการลงทุนทางตรงที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
(๒)
การกำหนดให้มีกระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานผู้มีอำนาจของทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการตีความและบังคับใช้ความตกลงฯ
และ (๓)
การกำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการลงทุนเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลและทบทวนการปฏิบัติตามความตกลงฯ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคธุรกิจรับทราบและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
200 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4-บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท | คค. | 14/05/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ
จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.๑๐๑๐ แยก ทล.๔ - บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
๑ แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท จากเดิมจำนวน ๑๓๘,๖๐๐,๐๐๐ บาท เป็น จำนวน ๑๕๒,๖๗๔,๖๕๒.๘๓ บาท (เพิ่มขึ้น ๑๔,๐๗๔,๖๕๒.๘๓
บาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๙
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวงชนบทและการรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
|