ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 10 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 196 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2565 - 2567 และร่างแผนปฏิบัติการด้านการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2566 - 2570 รวม 2 ฉบับ | นร.08 | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗
และตารางประสานสอดคล้องแสดงแนวทางดำเนินงานและความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์/แผนหลักที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
และเสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป ๒.
เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
รวมทั้งเป็นกรอบในการจัดทำโครงการ กิจกรรม และงบประมาณรองรับในการขับเคลื่อนงานตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๕๓ ๔.
กรณีที่นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗
สิ้นสุดห้วงเวลาบังคับใช้ และแนวทางนโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่งและวรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๓
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๕.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่เห็นควรปรับวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้สอดคล้องกับร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และชื่อแผนของกระทรวงยุติธรรมให้เป็นปัจจุบัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๖.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน
ก.พ. เช่น ควรให้ความสำคัญกับการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชามาใช้เป็นกรอบในการแก้ไขปัญหา
ควรดำเนินการตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติความเชื่อของประชาชนในพื้นที่
ควรยึดหลักความเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา
ลดความหวาดกลัวในชุมชนเดียวกัน เพื่อสร้างแรงกดดันให้กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน
และเมื่อร่างนโยบายการบริหารฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้ประกาศใช้แล้ว
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้ทันต่อสภาวการณ์
รวมทั้งควรพัฒนาขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความรู้ ความเข้าใจ
และทักษะที่จำเป็น เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้เป็นต้นแบบต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พ.ศ. .... | คค. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี
อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลป่างิ้ว ตำบลศาลาแดง
ตำบลย่านซื่อ ตำบลตลาดกรวด ตำบลบ้านรี อำเภอเมืองอ่างทอง และตำบลชัยฤทธิ์
อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๗๗
ทางสายทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง ตอนทางเลี่ยงเมืองอ่างทอง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทุกเส้นทาง
ขอให้กระทรวงคนนาคม (กรมทางหลวง)
ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทัน
และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรืออุทกภัยต่อไปในอนาคต กระทรวงคมนาคมควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไป
และให้กรมทางหลวงเร่งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการรวมถึงร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอในครั้งนี้
เพื่อให้กรมทางหลวงสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลการสำรวจและทราบข้อเท็จจริงของสภาพพื้นที่ที่ดำเนินโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | แผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 - 2570 | ทส. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนจัดการระดับชาติเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนให้เป็นไปตามพันธกรณีของอนุสัญญาที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกต่อไป
โดยร่างแผนจัดการระดับชาติฯ ฉบับที่ ๒
มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแผนหลักของประเทศในการจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นในการจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานให้ครอบคลุมสาร
POPs (ชนิดเดิม ๑๒ รายการ
และชนิดใหม่ ๑๙ รายการ รวม ๓๑ รายการ) ประเภทสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (POPs
Pesticides) ประเภทสารเคมีอุตสาหกรรม (POPs Industrial
Chemicals) และประเภทสารเคมีที่ปลดปล่อยโดยไม่จงใจ (Unintentional
Production POPs) (เช่น สารเคมีที่เกิดจากการเผาขยะ การเผาในที่โล่ง
กระบวนการผลิตโลหะ เป็นต้น)
ให้มีความสอดคล้องกับการดำเนินงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ และมีเป้าหมายที่จะลด
และ/หรือ เลิกการผลิต การใช้ และการปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
เพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนปฏิบัติการ (Action
Plans) ประกอบด้วย ๑๖ แผนกิจกรรม ที่จะดำเนินการในช่วงปี พ.ศ.
๒๕๖๖-๒๕๗๐ รวมทั้งได้กำหนดเป้าหมาย กิจกรรม ตัวชี้วัด หน่วยงานดำเนินการ
ระยะเวลาดำเนินการ งบประมาณและแหล่งเงิน ซึ่งมีหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน
จำนวน ๓๗ หน่วยงานร่วมดำเนินการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และเมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเข้าสาระของแผนจัดการระดับชาติฯ ฉบับที่
๒ ในระบบ eMENSCR ต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา (1. นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ ฯลฯ จำนวน 7 คน) | กษ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา
รวม ๗ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ ประธานกรรมการ ๒. นายสมิทธิ ดารากร ณ
อยุธยา กรรมการ ๓. นายมนต์ชัย รุ้งทองผ่องอำไพ กรรมการ ๔. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ กรรมการ ๕. นายพิงค์พันธุ์ ฟุ้งพิพัฒน์ กรรมการ ๖. นายสุรเดช สมิเปรม กรรมการ
(ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ๗. นางบุษกร ปราบณศักดิ์ กรรมการ
(ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | การตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้บุคคลใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามมาตรา 9 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 | สธ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ
ค่ารักษาพยาบาล
ของกรุงเทพมหานครใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๓
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้พนักงานเมืองพัทยาใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... ๑.๔
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผู้ประกันตนใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ
การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สิทธิบุคลากรภาครัฐและผู้อาศัยสิทธิตามมาตรา ๙
และผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๕ สามารถใช้สิทธิเข้ารับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น
จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตได้ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๕ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขวันใช้บังคับของร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังในฐานะกำกับดูแลกรมบัญชีกลาง
ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานสวัสดิการของบุคลากรภาครัฐเป็นผู้ลงนามในข้อตกลงเพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
พ.ศ. ๒๕๕๓ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การฟื้นฟูสมรรถภาพ และบริการสาธารณสุขอื่น ที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต
ตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ แทนรัฐบาล
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ควรเร่งประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์ที่จะได้รับ
สาระสำคัญ และรายละเอียดของการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสมรรถภาพ
และบริการสาธารณสุขอื่น จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตแก่ประชาชนทั่วไปโดยเร่งด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | การเยียวยาค่าตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม | สธ. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม
ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่ภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก
ตามผลการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของมกุฎราชกุมาร
และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑) การเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี (๒) ผลการหารือทวิภาคี เช่น
การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต การจัดทำแผนการขับเคลื่อน
และส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ซาอุดีอาระเบีย (๓) ถ้อยแถลงการ์ร่วมฯ เช่น
ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน สังคมและการศึกษา
และความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย และ (๔) กิจกรรมอื่น ๆ
ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เช่น พิธีแลกเปลี่ยนความตกลงและบันทึกความเข้าใจ
จำนวน ๕ ฉบับ พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่าง ๆ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เช่น
ประธานวุฒิสภา จุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 พ.ศ. 2566 | สผ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร่วมกันเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๗๓ ว่า
พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้บัญญัติไว้นรัฐธรรมนูญ มาตรา
๑๗๒ วรรคหนึ่ง และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ)
สำนักงานตำรวจแห่งชาติกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจัดทำคำชี้แจงและเอกสารประกอบในเรื่องดังกล่าวเป็นการด่วน
แล้วจัดส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเตรียมการไว้เป็นการล่วงหน้าสำหรับประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ตามแนวทางปฏิบัติ อ้างถึง ๒ (หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร ๐๕๐๓/ว ๓๘๐
ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒) ตามที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | คค. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสำนักท้อน และตำบลพลา
อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษ หมายเลข ๗
กรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว)
ทางแยกเข้าชลบุรีทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง
ทางแยกเข้าพัทยาและทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓ (บ้านอำเภอ)
และทางเข้าท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยเกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าก่อนการก่อสร้างทางหลวงพิเศษทุกเส้นทางขอให้กระทรวงคมนาคม
(กรมทางหลวง)
ให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางพิเศษกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการระบายน้ำไม่ทันและอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมหรือเกิดอุทกภัยต่อไปในอนาคต
ควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎหมายในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาในครั้งต่อไปด้วย
เร่งพิจารณาหารือรูปแบบการก่อสร้างที่เหมาะสมให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว
เพื่อให้โครงการฯ สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนการดำเนินงาน
และสอดคล้องกับการเปิดให้บริการของสนามบินอู่ตะเภา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดภูเก็ต และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดภูเก็ต (นายณัฐพงศ์ พันธเกียรติไพศาล) | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑.
การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดภูเก็ต
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา ๒. แต่งตั้ง นายณัฐพงศ์
พันธเกียรติไพศาล ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดภูเก็ต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2564/2565 | อก. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๔/๒๕๖๕ เป็นรายเขต ๙ เขต โดยมีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี
๒๕๖๔/๒๕๖๕ เฉลี่ยทั่วประเทศในอัตราตันอ้อยละ ๑,๑๐๖.๔๐ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส.
อัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อย เฉลี่ยทั่วประเทศ เท่ากับ ๖๖.๓๘ บาท ต่อ ๑ หน่วย
ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี
๒๕๖๔/๒๕๖๕ เฉลี่ยทั่วประเทศ เท่ากับ ๔๗๔.๑๗ บาทต่อตันอ้อย
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ให้กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
ดำเนินการให้โรงงานน้ำตาลนำส่งเงินเข้ากองทุนตามส่วนต่างระหว่างรายได้สุทธิและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๔/๒๕๖๕ ให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย
เพื่อรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อประโยชน์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในภาพรวม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | ขออนุมัติจ่ายเงินชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการฝายราษีไศลในเขตท้องที่จังหวัดสุรินทร์ | กษ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การเยียวยาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการอย่างเป็นธรรมตามประเภทที่ดินในการถือครอง
โดยไม่เลือกปฏิบัติเป็นการเฉพาะกลุ่มสำหรับราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว
เพื่อมิให้มีค่าใช้จ่ายที่เกินกว่าที่รัฐได้เคยจ่ายชดเชย อันจะนำไปสู่กรณีที่ราษฎรที่ได้รับค่าชดเชยจากโครงการอื่น
ๆ ไปแล้ว
มาเรียกร้องให้มีการจ่ายชดเชยเพิ่มในลักษณะเดียวกันตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ เมษายน ๒๕๔๑
ที่เห็นชอบหลักการการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนแล้ว
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาอัตราเงินชดเชยให้เท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสมและให้ครอบคลุมในทุกมิติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ เช่น กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ
รวมทั้งกำหนดประเภทและวิธีการคำนวณอัตราค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง เช่น
ค่าเยียวยา ค่าขนย้าย ให้ชัดเจน เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานต่าง
ๆ ของรัฐมีบรรทัดฐานเดียวกัน และเกิดความเหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ควรพิจารณาจัดหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้เพียงพอต่อการประกอบอาชีพ
รวมทั้งพัฒนาอาชีพและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้สามารถดำรงชีพได้อย่างปกติสุข หรือพิจารณาการจัดที่ดินทำกินตามโครงการจัดที่ดินทำกินตามนโยบายรัฐบาลภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ควรประสานคณะกรรมการเพื่อการขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกัน
แก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบโครงการฝายราศีไศลในเขตท้องที่จังหวัดสุรินทร์ ร้อยเอ็ด
และศรีสะเกษ เช่นเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ขออนุมัติใช้เงินบำรุงเพื่อก่อสร้างอาคารจอดรถ 9 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 20,841 ตารางเมตร โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 1 หลัง | สธ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อสร้างอาคารจอดรถ ๙ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๒๐,๘๔๑ ตารางเมตร โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน ๑ หลัง ในวงเงิน ๑๓๙,๔๒๙,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนัยมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | ร่างระเบียบสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ว่าด้วยการร่วมลงทุนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... | อว. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
ว่าด้วยการร่วมลงทุนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการร่วมลงทุนในโครงการที่นำผลงานและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
เพื่อให้สถาบันการอุดมศึกษาของรัฐ
และหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจและวัตถุประสงค์ด้านการวิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่สำนักงานนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติประกาศกำหนด สามารถร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์
ตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
โดยให้ตัดความว่า “หรือผ่านการตรวจพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย” ในร่างข้อ ๒๒
ออก ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรพิจารณาเนื้อหาให้สอดคล้องกับระเบียบว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรับและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการนำวิจัยผลงานและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดด้วย
และควรแก้ไขความว่า “จึงออกระเบียบไว้โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี
ดังต่อไปนี้” เป็น “ออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้” เนื่องจากมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรมฯ มิได้บัญญัติให้ออกระเบียบต้องกระทำโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนในการนำไปบังคับใช้
โดยอาจออกแนวปฏิบัติสำหรับการบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวและชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ควรออกมาตรการในการส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐสถาบันอุดมศึกษาหรือสถาบันวิจัยต่าง ๆ
ในประเทศ
มุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมที่สอดคล้องตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการ
รวมถึงแก้ไขปัญหาหรือการพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการสร้างและกระจายประโยชน์ในภาพรวมให้แก่ประเทศมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ขอขยายเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี 2565 และโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ออนทัวร์ ทั่วไทย | พณ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพาณิชย์...ลดราคา! ช่วยประชาชน ปี ๒๕๖๕
สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวไปจนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๖
เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี
ตามที่กระทรวงการคลังกำพหนด โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งรวบรวม ประมวลผล และประเมินความสำเร็จของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค
ตลอดจนข้อเสนอแนะต่อการดำเนินโครงการลักษณะดังกล่าวข้างต้น
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเมื่อสิ้นสุดโครงการด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในการขอกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีตามที่กระทรวงการคลังกำหนด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | การขอจัดตั้งหมู่บ้านใหม่ บ้านห้วยขาบใหม่ หมู่ที่ 8 ตำบลดงพญา อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน โดยขอยกเว้นหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2539 | มท. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๙ เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดตั้งหมู่บ้าน ตำบล กิ่งอำเภอและอำเภอ
เพื่อดำเนินการจัดตั้งหมู่บ้านใหม่ บ้านห้วยขาบใหม่ หมู่ที่ ๘ ตำบลดงพญา
อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรปฏิบัติตามเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตอย่างเคร่งครัด
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในการจัดตั้งหมู่บ้านใหม่ดังกล่าว
เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 22 | กต. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กรุงธากา บังกลาเทศ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ได้มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยผลการประชุมฯ มีสาระสำคัญ ได้แก่
การรับรองแถลงการณ์ธากา การกล่าวถ้อยแถลงของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ
(นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี)
และประเด็นที่ประเทศสมาชิกและประเทศหุ้นส่วนคู่เจรจาให้ความสำคัญ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นว่า
ฝ่ายไทยควรพิจารณาขยายความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมร่วมกับสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
เพื่อสร้างประโยชน์จากเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญและสนับสนุนจากสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
โดยเฉพาะด้าน Blue Economy , Marine Science และ BCG
Model และประเทศสมาชิกและเลขาธิการสมาคมแห่งภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย
ควรมีการหารือถึงขอบเขตการดำเนินงานที่ชัดเจน
และแหล่งงบประมาณในการสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้เกิดผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566 - 2569) | ยธ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง)
แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๖๙) จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความร่วมมือในการบริหารงานเพื่อการอำนวยความยุติธรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
โดยยึดหลักนิติธรรม
โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
ซึ่งมีกรอบการบริหารงานใน ๓ มิติหลัก ได้แก่ (๑) การสร้างความเป็นธรรมตามกฎหมาย (๒)
การพัฒนากระบวนการยุติธรรมตามมาตรฐานสากล และ (๓)
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการบริหารงานยุติธรรม ๑.๒
ให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางดำเนินงาน
รวมทั้งใช้เป็นกรอบแนวทางจัดทำและเสนอคำของบประมาณของหน่วยงานตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน ๑.๓
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณสนับสนุนโครงการ/กิจกรรมที่สอดคล้องและสนับสนุนมิติการบริหารงานและเป้าหมายของร่างแผนแม่บทฯ
และใช้เป็นแนวทางการจัดสรรงบประมาณแก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามห้วงระยะเวลาการบังคับใช้ของแผน ๑.๔ ให้กระทรวงยุติธรรม
(สำนักงานกิจการยุติธรรม)
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการประสาน
สนับสนุน และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติ
และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เช่น การกำหนดตัวชี้วัดควรสะท้อนถึงการแก้ปัญหาที่ยังเป็นประเด็นจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรม
และการกำหนดค่าเป้าหมายที่มีความชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | แนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ (พื้นที่เพิ่มเติม) | ยธ. | 28/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เพื่อสร้างงาน
สร้างอาชีพให้แก่ผู้พ้นโทษและผู้ต้องขังที่ได้รับการอนุมัติให้พักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ
โดยมีสาระสำคัญ เช่น รูปแบบของนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ หลักเกณฑ์และองค์ประกอบของนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์
และมาตรการและสิทธิประโยชน์เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาดำเนินการประสานความร่วมมือกันตามหน้าที่และอำนาจ
เพื่อขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
(การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น เช่น
ควรมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบายและควรมีการรวบรวมและรายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานในแต่ละพื้นที่นำร่อง
ตลอดจนปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินงานไม่ประสบความสำเร็จหรือเกิดความล่าช้า
ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ขออนุมัติหลักการการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" โดยการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนให้กับมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ | นร.52 | 28/02/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้"
และเห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาท ต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
เห็นควรให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ได้รับมอบภารกิจให้ร่วมจัดโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้น
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนที่ผ่านการเข้าร่วมโครงการในแต่ละปีได้แลกเปลี่ยน
เรียนรู้ ถอดบทเรียน สะท้อนความคิดเห็น และถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจไปยังกลุ่มเยาวชนอื่น
ๆ ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการสร้างแรงกระตุ้น
แรงบันดาลใจในการเรียนและการปฏิบัติตนให้กับเด็กและเยาวชน
พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป พิจารณาจัดทำฐานข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการรายบุคคลในมิติต่าง ๆ
อย่างเป็นระบบ เพื่อติดตามผลของการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เร่งรัดการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ (เรื่อง
ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการสร้างคนดีตามหลักการทางศาสนาที่ถูกต้องเพื่อสืบสานและรักษาสังคมพหุวัฒนธรรมที่ดีงามของจังหวัดชายแดนภาคใต้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป |