ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 616 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 12301 - 12320 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12301 | การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี | นร04 | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๗/๒๕๖๒ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามร่างกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12302 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาภาษาเกาหลีระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | ศธ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาภาษาเกาหลีระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาภาษาเกาหลีสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของไทย โดยมีรูปแบบความร่วมมือที่หลากหลาย เช่น การสนับสนุนโรงเรียนที่เปิดสอนภาษาเกาหลีของไทย การอบรมครูสอนภาษาเกาหลีชาวไทย การพัฒนาหลักสูตรการเรียนและตำราเรียนภาษาเกาหลี การจัดส่งครูชาวเกาหลีมาสอนในโรงเรียนของไทย รวมถึงการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนไทยไปศึกษาต่อ ณ สาธารณรัฐเกาหลี เป็นต้น โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือกับสาธารณรัฐเกาหลีเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทำความร่วมมือด้านการศึกษาภาษาไทยให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนของสาธารณรัฐเกาหลีในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12303 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | นร | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติระหว่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding on the Cooperation in the Field of Water Resources Management between the Office of the National Water Resources of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Environment of the Republic of Korea) และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือกันในสาขาการพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยคำนึงถึงการมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในด้านต่าง ๆ โดยจะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ณ ทำเนียบรัฐบาล ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีที่เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาที่หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้เร่งรัดการดำเนินความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำกับสาธารณรัฐเกาหลีและราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12304 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี | คค | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระบบราง ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่งแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Agreement to Extend the Memorandum of Understanding on Cooperation in the Railways Sector between the Ministry of Transport of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Land, Infrastructure and Transport of the Republic of Korea) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว ซึ่งร่างความตกลงต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับลงนามวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ ข้อ ๙ (๒) กำหนดให้ “บันทึกความเข้าใจฯ มีอายุ ๓ ปี และอาจมีการต่ออายุได้คราวละ ๒ ปี อย่างต่อเนื่องกัน” จึงได้ระบุให้ความตกลงว่าด้วยการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพฯ วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ และระบุให้ร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12305 | กรอบการเจรจาของประเทศไทยและองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ 14 | กษ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีการเจรจาของประเทศไทยสำหรับเป็นกรอบในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย สมัยที่ ๑๔ ระหว่างวันที่ ๒-๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ณ the Indie Expo Center and Mart กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ ประกอบด้วย หลักการการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญาฯ การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของอนุสัญญาฯ แนวทางการดำเนินงานของอนุสัญญาฯ ในปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ และประเด็นอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบในการเจรจาในระหว่างการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ๑.๒ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ประกอบด้วย อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ผู้แทนกรมพัฒนาที่ดิน ๕ คน ผู้แทนกรมชลประทาน ๑ คน ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ๓ คน ผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ๑ คน ผู้แทนกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ๑ คน ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ๒ คน ผู้แทนกรมป่าไม้ ๑ คน และผู้แทนสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย ๑ คน ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรอบเจรจาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และการจัดให้ภาคประชาชนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสในการรับทราบข้อมูล และการกำหนดท่าทีของไทยในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการในขั้นการปฏิบัติได้รับความร่วมมือและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12306 | ขออนุมัติดำเนินการตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2562 - 2563 | พณ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๑๓,๓๗๘.๙๙ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้มีการพิจารณาแนวทางกำหนดราคาประกันรายได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อมิให้มีส่วนต่างของต้นทุนการผลิตที่สูงเกินความเป็นจริง และควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน เช่น การลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการและวางแผนการดำเนินให้รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ เช่น การกำหนดมาตรการควบคุมราคารับซื้อปาล์มน้ำมันของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยไม่ให้เกิดกรณีการรวมกลุ่มของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อกดราคารับซื้อ จนนำไปสู่การผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคารับซื้อให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐในอนาคต การกำหนดมาตรการการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิหรือแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่เพาะปลูก ผลผลิตที่ได้ รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการในด้านการสนับสนุนปัจจัยการผลิตและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12307 | โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 | กค | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ ภายในกรอบวงเงิน ๒๕,๔๘๒.๐๖ ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินโครงการ (ราคาต่อไร่ จำนวนไร่) และค่าชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการช่วยเหลือในมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจหรือมาตรการทางสังคม ให้ถือว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือด้วย โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายมาตรการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และควรพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งในเรื่องของการจัดหาเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิต เครื่องมือเครื่องจักร และค่าเช่า เพื่อลดภาระงบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกรในระยะต่อไป พร้อมทั้งประมวลภาพรวมการใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เพื่อใช้ในการวางแผนการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าในปีงบประมาณถัดไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12308 | (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2563 - 2570 และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2563 - 2565 กรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ | อว | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศให้สอดคล้องและบูรณาการกัน เพื่อให้เกิดเป็นพลังในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ การจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมในลักษณะต่อเนื่องหลายปี (multi-year) รวมทั้งกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด ความสำเร็จ โดยจะมีการบริหารจัดการโปรแกรมในลักษณะของแพตฟอร์มที่มีการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ โดยให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติส่ง (ร่าง) นโยบายและยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ต่อไป ๒. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมทั้งสิ้น ๓๗,๐๐๐ ล้านบาท และระบบการจัดสรรและบริหารงบประมาณแบบบูรณาการที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12309 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย | ศปมผ. | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ภายในกรอบวงเงิน ๓๒๖,๖๕๐,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายเสนอ ๒. ให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12310 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว [Bio-Circular-Green (BCG) Economy] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น จากอ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง มาสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการของเสียและขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำวัสดุเหลือใช้ เช่น พลาสติก ยางพารา เศษวัสดุจากสิ่งก่อสร้าง ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมในการสร้างถนน เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าของวัสดุเหลือใช้และเป็นการลดขยะและของเสียที่เสื่อมสลายได้ยาก ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในการเดินทางเข้าออกประเทศผ่านท่าอากาศยาน โดยพิจารณานำระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองด้วย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างของเอกชนที่มีข้อพิพาท การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ การแก้ไขปัญหาการแออัดของนักท่องเที่ยวและรองรับการขยายตัวในอนาคต ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการรองรับกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการร่วมกับประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ความต้องการใช้น้ำประปา รถโดยสารสาธารณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12311 | รัฐบาลสาธารณรัฐไซปรัสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย (นายอะยิส ลุยซู) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอะยิส ลุยซู (Mr. Agis Loizou) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย โดยให้มีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นายดีมีทรีออส เอ. ทีโอฟีลักตู (Mr. Demetrios A. Theophylactou) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12312 | รัฐบาลจาเมกาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งจาเมกาประจำประเทศไทย (นายแอนโทเนีย ฮิว) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายแอนโทเนีย ฮิว (Mr. Antonia Hugh) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งจาเมกาประจำประเทศไทย โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สืบแทน นายเอิร์ล คอร์ตนีย์ แรตทีรย์ (Mr. Earle Courtenay Rattray) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12313 | รายงานประจำปี 2560 ศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ ศาลรัฐธรรมนูญ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแบ่งเป็น ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านคดี ด้านการวิจัย ด้านเอกสารสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และด้านความร่วมมือและประชาสัมพันธ์กับเครือข่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ (๒) การเข้าร่วมพระราชพิธี รัฐพิธี และกิจกรรมสำคัญของประเทศของศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และ (๓) รายงานของผู้สอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12314 | รัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย (นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (Mrs. Helene Budliger Artieda) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอีโว ซีเบอร์ (Mr. Ivo Sieber) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12315 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายชอน เค. โอนีลล์) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชอน เค โอนีลล์ (Mr. Sean K.O’Neill) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก แพร่ สุโขทัย ตาก และอุตรดิตถ์ สืบแทน นางเจนนิเฟอร์ เอ. ฮาร์ไฮ (Ms. Jennifer A. Harhigh) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12316 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางพจนีย์ ขจรปรีดานนท์) | มท | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางพจนีย์ ขจรปรีดานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการเมือง (นักผังเมืองทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12317 | รัฐบาลสาธารณรัฐมาลีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐมาลีประจำประเทศไทย (นายเซกู กัสเซ) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเซกู กัสเซ (Mr. Sekou Kasse) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐมาลีประจำประเทศไทย โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นางกีเซ มาอีมูนา ดีอาล (Mrs. Guisse Maimouna Dial) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12318 | รัฐบาลสาธารณรัฐนิการากัวเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย (นายโรดริโก โกโรเนล คินลอก) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโรดริโก โกโรเนล คินลอก (Mr. Rodrigo Coronel Kinloch) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สืบแทน นายซาอูล อารานา กัสเตยอน (Mr. Saul Arana Castellon) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12319 | ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562 | นร05 | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12320 | ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ ๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ประกอบด้วย (๑) การประชุมระดับสูงของ BRF ครั้งที่ ๒ โดยประธานาธิบดีของจีนเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมฯ และได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ว่า ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางจะสร้างโอกาสความร่วมมือที่เปิดกว้างและนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน (๒) การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของ RBF ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม RBF ครั้งที่ ๒ (๓) การประชุมเวทีกลุ่มย่อย เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านนโยบายการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล เศรษฐกิจ เป็นต้น (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของจีนเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-จีน อย่างรอบด้าน และ (๕) การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศอื่น ๆ เช่น การหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลีย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจัดทำแผนงานระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับผลการประชุมฯ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กรอบ BRF ใน ๕ มิติ ได้แก่ การเสริมสร้างการสอดประสานของนโยบายการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการพัฒนายั่งยืน การสร้างเสริมความเข้มแข็งของความร่วมมือที่ได้ผลในทางปฏิบัติ และความก้าวหน้าด้านการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรให้มีการบรรจุเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง รักษา และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนทางวิชาการหรือการถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกัน และควรมีการหยิบยกประเด็นการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับผู้บริหารระดับสูงของมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า ในการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับจีนในโอกาสต่อไป เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีนให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....