ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 620 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12381 - 12400 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12381 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราภาษีสำหรับยาเส้น โดยปรับแก้ไขการได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา ๐ จากเดิมที่กำหนดให้ “ยาเส้นที่ผู้เพาะปลูกต้นยาสูบทำจากใบยาที่ปลูกและหั่นเองและได้ขายยาเส้นนั้นแก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบเสียภาษีในอัตรา ๐” เป็น “ยาเส้นที่ผลิตเพื่อขายเป็นวัตถุดิบให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบโดยตรงหรือโดยผ่านผู้ค้าคนกลาง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตลอดจนรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ นอกจากนี้ ในระยะยาวควรให้ความสำคัญกับการปรับขึ้นภาษียาเส้นที่สอดคล้องกับหลักสากล หลักความฟุ่มเฟือย และหลักสุขภาพ รวมถึงหลักความเท่าเทียมในการจัดเก็บภาษีบุหรี่และยาเส้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยควบคุมการบริโภคยาสูบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12382 | แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน ๘๙๔,๐๐๕.๖๕ ล้านบาท แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน ๘๓๑,๑๕๐.๓๒ ล้านบาท และแผนการชำระหนี้ วงเงิน ๓๙๘,๓๗๒.๕๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การเคหะแห่งชาติ การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการยางแห่งประเทศไทย ที่มีสัดส่วนความสามารถในการหารายได้เทียบกับภาระหนี้ของกิจการ (Debt Service Coverage Ratio : DSCR) ต่ำกว่า ๑ สามารถกู้เงินใหม่และบริหารหนี้เดิมภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยให้รัฐวิสาหกิจทั้ง ๕ แห่ง รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเกี่ยวกับระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๑๓ กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี โดยในแผนฯ ประจำปีงบประมาณอย่างน้อยต้องครอบคลุมในเรื่องการกู้เงินและการค้ำประกัน การชำระหนี้ การบริหารหนี้คงค้าง หรือการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับหนี้สาธารณะ ไปดำเนินการด้วย และให้หน่วยงานดังกล่าวเร่งรัดการดำเนินการตามแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการกู้เงินของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ภายใต้แผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ โดยเห็นว่า แม้ว่า บกท. ยังมี DSCR ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ (๑ เท่า) แต่พบว่า บกท. มีการก่อหนี้ใหม่เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า บกท. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องและมีเงินสดไม่เพียงพอในการดำเนินงาน อีกทั้งยังมีผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๒ ขาดทุน จึงเห็นควรให้กระทรวงคมนาคมในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดรับความเห็นดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาการขาดสภาพคล่องของหน่วยงาน ๑.๔ อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งอนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนา และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๕ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ทางการ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรกำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๕ แห่ง ที่มีสัดส่วน DSCR ต่ำกว่า ๑ ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการฯ อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งติดตามและเร่งรัดหน่วยงานเจ้าของโครงการใช้จ่ายเงินและเบิกจ่ายเงินกู้ให้สอดคล้องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนฯ ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12383 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ จำนวน ๖,๗๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ เนื่องจากจำนวนเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมกับเงินสดรับคงเหลือของกองทุนฯ ที่ประมาณการว่าจะมีอยู่ จำนวน ๗,๗๔๑ ล้านบาท ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ มีเงินสดคงเหลือเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่าย ค่าดำเนินการ และภาระชดเชยที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๑,๐๔๑ ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญ ให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12384 | การขยายระยะเวลาแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) | กษ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรตามโครงการปรับโครงสร้างและระบบการผลิตการเกษตร (คปร.) และโครงการแผนฟื้นฟูการเกษตร (ผกก.) ออกไปอีก ๕ ปี จากเดิม ที่สิ้นสุดโครงการ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เป็น วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ เนี่องจากยังมีเกษตรกรบางส่วนที่มีความสามารถในการชำระหนี้ตามศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องจะได้มีเวลาในการชำระหนี้เพิ่มขึ้น โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะงดคิดค่าบริหารสินเชื่อในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีของต้นเงินกู้คงเหลือทั้งหมดที่จะขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ยังคงเป็นหนี้ให้สามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมดภายในกำหนดระยะเวลา ๕ ปีดังกล่าว รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามผลการชำระคืนเงินให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด และควรเร่งสร้างโอกาสและสนับสนุนให้เกษตรกรเป้าหมาย รวมถึงทายาท พัฒนาอาชีพและรายได้ทางการเกษตรและอาชีพเสริมให้มีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจและติดตามให้เกษตรกรเร่งชำระหนี้ที่ค้างอยู่ให้ได้ทันตามกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมบัญชีกลาง และ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินตามมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อปลดเปลื้องหนี้สิน โดยการคัดจำหน่ายหนี้สูญสำหรับเกษตรกรลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการหนี้สินเกษตรกรเป็นไปอย่างถูกต้อง สะท้อนความเป็นจริง รวมทั้งเพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐบาล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12385 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์) | สธ | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ คน ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ร้อยเอก ภูรีวรรธน์ โชคเกิด ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ๒. นายสวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์ (นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12386 | รายงานประจำปี 2561 ของกองทุนการออมแห่งชาติ | กค | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ประกอบด้วยผลการดำเนินงานของ กอช. ประจำปี ๒๕๖๑ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ กอช. สิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า งบการเงินของ กอช. ดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12387 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 | กค | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12388 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี 2562 | นร11 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสองปี ๒๕๖๒ โดยความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสองปี ๒๕๖๒ การจ้างงานลดลงเล็กน้อย การว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยยังต้องเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่และโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นจากคดียาเสพติดที่เพิ่มขึ้น การเกิดอุบัติเหตุลดลง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตและมูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้น รวมทั้งการรับร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้นด้านโฆษณา ขณะที่การรับร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติลดลง สำหรับสถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ คนไทยอ่านและใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้น แต่เด็กวัยเรียนยังมีปัญหาอ่านไม่ออกและขาดทักษะด้านการอ่าน การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกับโอกาสทางการศึกษา จำนวนหญิงคลอดบุตรอายุ ๑๐-๑๙ ปี คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙ ของจำนวนหญิงในวัยเดียวกัน แม้จะมีแนวโน้มลดลง แต่ตัวเลขยังสูงและยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์เป็น “Tier 2” เป็นปีที่ ๒ ติดต่อกัน ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น พิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทางสังคม เช่น ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นกับโอกาสทางการศึกษา ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและการหย่าร้าง ปัญหาครอบครัวขาดผู้นำและขาดรายได้ เป็นต้น และเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12389 | พิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ 4 (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) | นร13 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ (Fourth Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement) ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามแล้ว โดยพิธีสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมของข้อบทการห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติ (Prohibition of Performance Requirements : PPR) เช่น การกำหนดให้ใช้วัตถุดิบในประเทศ การกำหนดสัดส่วนปริมาณหรือมูลค่าของการนำเข้าและส่งออก หรือการกำหนดปริมาณเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาลงทุน การห้ามรัฐกำหนดเงื่อนไขให้นักลงทุนปฏิบัติที่มีระดับเกินกว่าที่ผูกพันไว้ภายใต้ความตกลงว่าด้วยมาตรการการลงทุนที่เกี่ยวกับการค้า (Agreement on Trade-Related Investment Measures : TRIMs) ขององค์การการค้าโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับความตกลงฯ ให้มีมาตรฐานที่สูงและเป็นสากลมากขึ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันสารหรือสารของพิธีสารแก้ไขเพิ่มเติมความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ ให้แก่เลขาธิการอาเซียน เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบพิธีสารฯ แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12390 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ปง | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการรายงานเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงานในด้านต่าง ๆ ตลอดจนปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงาน ตามที่สำนัก ปปง. เสนอ และให้เสนอรายงานดังกล่าว พร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับรายงานในเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง โดยมีข้อจำกัดของโครงสร้างและอัตรากำลังซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินภารกิจและยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับอัตราเงินเพิ่มพิเศษของข้าราชการสำนักงาน ปปง. กับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น การแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว สำนักงาน ปปง. ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบวิธีการและกระบวนการทำงานให้เหมาะสมกับบทบาทและภารกิจของหน่วยงาน ควรมีการบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำ Digital Technology มาใช้ในการปฏิบัติงานให้มากขึ้น และควรมีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น ระบบสารสนเทศสำหรับการบริหารจัดการทรัพย์สิน ระบบสารสนเทศฐานข้อมูลกลาง เพื่อการรายงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งจะสามารถปรับลดกระบวนงานและค่าใช้จ่าย รวมถึงการใช้กำลังคนปฏิบัติงานลงได้ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12391 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... | นร05 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่ขณะนี้ได้มีการปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๒ แต่เนื่องจากมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐตามมาตรา ๑๒๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่คณะรัฐมนตรีจะต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หรือเรื่องอื่นที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาหรือรัฐสภา จึงเห็นควรให้มีการเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้ปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วจึงได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว โดยให้ระบุวันปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒” และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12392 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... | นร05 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองตามกำหนดระยะเวลาที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12393 | ร่างหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ และอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 | นร | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การได้รับเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม กรรมการบริหารกองทุน กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และอนุกรรมการ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า การกำหนดให้กรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มิได้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญให้ได้รับค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นที่จำเป็นตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเทียบตำแหน่งข้าราชการพลเรือนตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า จะเทียบตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง) หรือตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี) เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการตีความ รวมทั้งการกำหนดอัตราเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งของกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว ควรกำหนดจำนวนครั้งในการประชุมต่อเดือนตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อไม่เกิดภาระงบประมาณมากจนเกินไป โดยภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการกำหนดเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับเงินจัดสรรไว้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12394 | การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการเป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ | กต | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจ้างนายบรรสาน บุนนาค เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษภายหลังครบเกษียณอายุราชการในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ เป็นเวลา ๓๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยให้ได้รับค่าจ้างเท่ากับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับตามตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก่อนเกษียณอายุราชการ ส่วนค่าย้ายถิ่นที่อยู่และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทยให้เป็นไปตามสิทธิที่พึงได้รับจากการพ้นหน้าที่ราชการในต่างประเทศตามปกติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12395 | หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่นตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 | อว | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่นตามพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และเห็นชอบในหลักการการกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย และประโยชน์ตอบแทนอื่นของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการอื่น ควรพิจารณากำหนดให้มีความชัดเจน โดยอาจระบุว่าให้บุคคลดังกล่าวสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกินอัตราที่ราชการกำหนดสำหรับข้าราชการพลเรือนประเภทบริหารระดับสูงหรือประเภทบริหารระดับต้นแล้วแต่กรณี รวมทั้งการกำหนดค่าตอบแทน ค่าใช้จ่าย เบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของคณะกรรมการ คณะกรรมการพิเศษเฉพาะเรื่อง ควรกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งและไม่เกิน ๑๕ ครั้งต่อปี เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับค่าใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ เช่น ควรมีการกำหนดตัวชี้วัดในการประเมินสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการปฏิบัติหน้าที่ของสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ และคณะกรรมการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านการอุดมศึกษา วิทยาษศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12396 | การต่ออายุการบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล | กต | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่ออายุการบริจาคเงินอุดหนุนแก่ฝ่ายเลขานุการของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ปีละ ๑๐,๐๐๐ ฟรังก์สวิส (ประมาณ ๓๑๘,๒๔๐ บาท) เป็นระยะเวลา ๔ ปี นับแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ปีละจำนวน ๑๐,๐๐๐ ฟรังก์สวิส หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๓๑๘,๒๔๐ บาท (๑ ฟรังก์สวิส เท่ากับ ๓๑.๘๒๔๐) ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้รับการบรรจุไว้ในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าระยะปานกลางของสำนักงบประมาณแล้ว โดยเห็นสมควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12397 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 42 สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กก | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่ารถยนต์ รวมทั้งสิ้น ๙ รายการ วงเงินงบประมาณ ๑๐๑,๗๕๑,๘๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ สำหรับรายการค่าเช่าอาคารสำนักงาน จำนวน ๓๐,๙๒๒,๐๐๐ บาท และรายการค่าเช่ารถยนต์ จำนวน ๓,๑๑๔,๐๐๐ บาท รองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยสอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัด และให้ ททท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรพิจารณาการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า และมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานของสำนักงาน ททท. ในประเทศและต่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์และความคุ้มค่าในการลงทุนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญด้วย พร้อมกับรายงานผลการดำเนินการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามนโยบายการใช้พื้นที่ร่วมกัน (One Roof Policy) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ [เรื่อง การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามมาตรา ๒๓ วรรคสี่ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)] โดยให้พิจารณาความจำเป็น เหมาะสม และคุ้มค่าในการจัดซื้ออาคารที่ทำการแทนการเช่าด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12398 | ขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา | ยธ | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑๗๖,๗๘๘,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12399 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค (เพิ่มเติม) | มท | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๑ ของ กปภ. (เพิ่มเติม) จำนวน ๖ โครงการ [โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. (๑) สาขาบ้านฉาง (๒) สาขาพังงา-ภูเก็ต (๓) สาขาอุดรธานี-หนองคาย-หนองบัวลำภู (๔) สาขาแม่สาย-(ห้วยไคร้)-(แม่จัน)-(เชียงแสน) (๕) สาขานครศรีธรรมราช และ (๖) สาขากันตัง-(ลิเภา-ปากเมง)] วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๒๖.๙๕๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และในส่วนของเงินกู้ในประเทศให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น ควรกำกับและติดตามแผนการดำเนินโครงการลงทุนอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายและแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ เพื่อไม่ให้โครงการล่าช้าจนอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ควรกำหนดแนวทางและมาตรการในการบริหารจัดการน้ำสูญเสียให้มีประสิทธิภาพ โดยลดอัตราน้ำสูญเสียให้เหลือร้อยละ ๒๐ ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อลดต้นทุนการบริหารงานในระยะยาว ควรศึกษารูปแบบและแนวทางจัดหาแหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่เหมาะสม เนื่องจากในปัจจุบันมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการที่หลากหลาย ควรทำความเข้าใจกับภาคประชาชนในพื้นที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์การสูบน้ำร่วมกัน เพื่อป้องกันความขัดแย้งด้านน้ำ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำร่วมกัน และควรจัดหาแหล่งน้ำเก็บกักน้ำเพิ่มเติมในพื้นที่เพื่อรองรับการใช้น้ำในอนาคต ควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมในการบริหารจัดการการใช้น้ำประปาให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12400 | รัฐบาลรัฐคูเวตเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐคูเวตประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด ฮุซัยน์ เอ็ม เอ อัลฟัยลากาวี) | กต | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด ฮุซัยน์ เอ็ม เอ อัลฟัยลากาวี (Mr. Mohammad Husain M A Alfailakawi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐคูเวตประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอับดุลเลาะห์ ญุมอะห์ อับดุลเลาะห์ อัลซัรฮาน (Mr. Abdullah Jomaa Abdullah AlSharhan) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
.....