ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 619 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12361 - 12380 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12361 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล และคณะ) | รง | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการจัดหางาน ๒. นายธวัช เบญจาทิกุล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ๓. นายอภิญญา สุจริตตานันท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ๔. นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12362 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นางศิริวรรณ สุคนธมาน และนายฉัตรชัย บางชวด) | นร08 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. นางศิริวรรณ สุคนธมาน ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๒. นายฉัตรชัย บางชวด ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12363 | การแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (นางสาวอัญชลิตา กองอรรถ) | นร09 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอัญชลิตา กองอรรถ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12364 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายณรงค์ วิทยไพศาล) | นร04 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายณรงค์ วิทยไพศาล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12365 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปเปิดเผยในเว็บไซต์ของสำนักงบประมาณ (www.bb.go.th) และจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12366 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดพิกัดอัตราภาษีสำหรับเครื่องดื่มที่เติมสารอาหารหรือสารอื่น | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดประเภทและอัตราภาษีที่จะใช้ในการจัดเก็บสำหรับเครื่องดื่มที่เติมสารอาหารหรือสารอื่นเพิ่มเติม โดยลดอัตราภาษีตามมูลค่าของเครื่องดื่มที่เติมสารอาหารและสารอื่น จากร้อยละ ๑๔ เป็นร้อยละ ๑๐ และเครื่องดื่มน้ำผลไม้และน้ำพืชผักที่เติมสารอาหารและสารอื่น จากร้อยละ ๑๐ เป็นร้อยละ ๓ เพื่อให้เครื่องดื่มน้ำผลไม้และน้ำพืชผักที่เติมสารอาหารและสารอื่นที่เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพสอดรับการปรับเพิ่มอัตราภาษีตามปริมาณน้ำตาล ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งประชาสัมพันธ์ถึงวัตถุประสงค์ในการดำเนินการดังกล่าว ตลอดจนสร้างการรับรู้และความเข้าใจและการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนถึงมูลเหตุจูงใจและประโยชน์ที่จะได้รับจากนวัตกรรมและการส่งเสริมการวิจัยภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการตรวจสอบกระบวนการผลิตเครื่องดื่มที่อยู่ในรายการที่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตให้มีการใช้สารประกอบทดแทนความหวานที่ได้มาตรฐานและมีปริมาณที่เหมาะสมอยูในเกณฑ์การใช้ในระดับที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12367 | ขอรับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (เงินเบี้ยหวัดฯ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล) | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับรายการงบกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลางที่มีการจ่ายเงินสูงกว่าวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔๕,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ จากงบประมาณรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๒๐๐.๐๐ ล้านบาท และจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๓๗,๘๐๐.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๔๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ รายการค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๕,๑๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12368 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากร ภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐ สำหรับเป็นค่าตอบแทนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่พิเศษ และค่าตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ | มท | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๕๙,๐๔๓,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐ สำหรับเป็นค่าตอบแทนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่ปฏิบัติงานในเขตพื้นที่พิเศษ จำนวน ๔๖,๐๖๐,๘๐๐ บาท และค่าตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ จำนวน ๓๙๒,๙๘๓,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำคำของบประมาณเพื่อใช้ในกรณีดังกล่าวบรรจุไว้ในคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีถัดไป โดยคำนึงถึงอัตราสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนที่เหมาะสมกับการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12369 | ขออนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษแก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ | พน | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการเพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งประกอบด้วยบัญชีรายชื่อราษฎรได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๔ กลุ่ม จำนวน ๕๒๓ ราย เนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๗,๗๖๓.๘๓ ไร่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๒๒๖,๒๗๖,๑๗๖ บาท โดยขอปรับเนื้อที่ผลการอ่านแปลการครอบครองและทำประโยชน์ของราษฎรที่มีเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ ให้ปรับเป็น ๑ ไร่ หากมีเนื้อที่เกิน ๑ ไร่ ให้คิดตามความเป็นจริง ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพลังงานใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง เพื่อจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นกรณีพิเศษในรูปค่าขนย้ายให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ กับราษฎรในกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ที่ได้ยื่นคำร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และเรียกร้องเฉพาะที่ดินที่ผ่านการอ่านแปลจากภาพถ่ายทางอากาศของผู้เชี่ยวชาญโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าชดเชยในส่วนที่เพิ่มขึ้น และแสดงเจตนาสละสิทธิ์การเรียกร้องดังกล่าวทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยไร่ละ ๓๒,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ๑.๓ อนุมัติในหลักการให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบทรัพย์สินราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ เพื่อให้การจ่ายเงินค่าชดเชยเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากราษฎร ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับเงินต้องยืนยันว่าเรื่องถึงที่สุดแล้วจะไม่เรียกร้องเพิ่มเติม และจะไม่มอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเรียกร้องเพิ่มเติมด้วย โดยให้มีผู้ที่ได้รับเงินในครั้งเดียวกันลงนามรับรองร่วมกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน และเห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงิน ๑.๔ รับทราบกรณีราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ที่ยังไม่ได้จัดทำบัญชีรายชื่อ กลุ่มที่ ๓ จำนวน ๑๑๙ ราย และกลุ่มที่ ๔ จำนวน ๑๐ ราย รวม ๑๒๙ ราย เนื้อที่รวม ๑,๖๗๐.๘๒ ไร่ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๔๘,๕๒๐,๘๕๖ บาท นั้น กระทรวงพลังงานจะได้ดำเนินการจัดทำบัญชีรายชื่อราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปะทาว จังหวัดชัยภูมิ ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่งปีหกเดือน นับจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติตามข้อ ๑.๑ ๒. สำหรับการเบิกจ่ายเงินชดเชย เห็นควรให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าชดเชยให้ถูกต้องครบถ้วนตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ และเป็นไปตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบฯ รวมทั้งเห็นควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินค่าชดเชย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12370 | รายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง ประจำไตรมาสที่ 1/2562 (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2562) | มท | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประจำไตรมาสที่ ๑/๒๕๖๒ (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงาน/โครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ กฟน. มีแผนดำเนินโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินในพื้นที่ที่ กฟน. ดูแลและรับผิดชอบระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ รวมระยะทาง ๒๑๕.๖ กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี ๒๕๒๗-๒๕๖๔ รวม ๕ แผนงาน ดำเนินการแล้วเสร็จ ๔๖.๖ กิโลเมตร ประกอบด้วย (๑) แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ฉบับที่ ๕ และฉบับที่ ๗ (โครงการถนนสีลม ปทุมวัน และจิตรลดา) ระยะทาง ๑๖.๒ กิโลเมตร (๒) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๔๗-๒๕๕๒ (โครงการพหลโยธิน พญาไท และสุขุมวิท) ระยะทาง ๒๔.๔ กิโลเมตร และ (๓) แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน ปี ๒๕๕๑-๒๕๕๖ (ฉบับปรับปรุง) ในส่วนของโครงการปทุมวัน จิตรลดา พญาไท (เพิ่มเติม) ระยะทาง ๖ กิโลเมตร ๒. การเบิกจ่ายงบประมาณ กฟน. ได้วางแผนการเบิกจ่ายเงินในปี ๒๕๖๒ จำนวน ๒,๕๑๙.๗๔๔ ล้านบาท โดย ณ เดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ได้มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๔๐.๖๑๕ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๑๓.๕๒ ของแผนการเบิกจ่ายฯ และคาดว่าจะเร่งรัดการเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๒ ๓. แผนการดำเนินงานในระยะต่อไป เป็นการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามแผนฯ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12371 | รัฐบาลสาธารณรัฐคอซอวอเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐคอซอวอประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด บราชโชริ) | กต | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด บราชโชริ (Mr. Muhamet Brajshori) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคอชอวอประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12372 | การกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ และบุคคลที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 | สพร. | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนของประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ และบุคคลที่คณะกรรมการแต่งตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒ และให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ขอตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนกับกระทรวงการคลัง ก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการข้อเสนอดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปดำเนินการก่อนเป็นลำดับแรก ส่วนภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12373 | การเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2563 ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี ๒๕๖๓ ขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย จำนวน ๔,๗๙๑,๗๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๔๖ ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๖ หรือ ๒๐๙,๔๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๖.๔ ล้านบาท) จากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติในปี ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และให้แจ้งความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบริหารการใช้จ่ายงบประมาณในทุกหมวดอย่างประหยัด และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงจากรายได้ที่ลดลงในปี ๒๕๖๓ ร้อยละ ๔.๐ ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๔.๖ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๖๒ ให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียทราบด้วย ๒. ในการเสนองบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปีขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียสำหรับปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ. ๒๕๓๓ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12374 | ขออนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | ศธ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Special Fund] โดยบันทึกความเข้าใจฯ จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุนฯ และเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ระบุว่า จีนได้อนุมัติโครงการและสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขง จำนวน 60,000 RMB (ประมาณ ๒๕๘,๖๐๐ บาท) และ (๒) โครงการฝึกอบรมการพัฒนาหลักสูตรการขนส่งทางราง จำนวน 160,000 RMB (ประมาณ ๖๘๙,๖๐๐ บาท) โดยจีนจะจัดสรรงบประมาณให้ไทยภายใน ๒๐ วันทำการ หลังจากที่ได้มีการลงนาม ทั้งนี้ ปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการจะถูกแก้ปัญหาผ่านการหารืออย่างเป็นมิตร ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ในปลายเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บริหารจัดการโครงการประชุมสัมมนาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาอาชีวศึกษาไทย-ลาว-จีน ในเขตชายแดนลุ่มน้ำโขงให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12375 | บทบาทของประเทศไทยกับการเปลี่ยนสถานะของมูลนิธิศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center - ADPC) เป็นองค์การระหว่างประเทศ | กต | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงประเทศเจ้าบ้าน (Host Country Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทยกับศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center : ADPC) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อร่วมกัน (ระหว่างไทยกับ ADPC) ที่จะทำให้ชุมชนมีความปลอดภัยและบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการดำเนินงานตามอาณัติของ ADPC อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับรายละเอียดการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ ADPC เช่น การยกเว้นภาษีอากรการอนุญาตให้รับ ถือครอง และโอนเงินทุนและเงินตราต่างประเทศ การอำนวยความสะดวกการตรวจลงตราและยกเว้นจากการขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวของเจ้าหน้าที่ของ ADPC เป็นต้น โดยจะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในการประชุมคณะกรรมการผู้ดูแล (Board of Trustees : BOT) ของศูนย์ ADPC ในราวเดือนกันยายน ๒๕๖๒ ๑.๒ ให้รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๓ แต่งตั้งรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในคณะกรรมการ BOT ของศูนย์ ADPC ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12376 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม 2562 | นร11 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ การสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานในระยะต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12377 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสุพล บริสุทธิ์) | พม | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสุพล บริสุทธิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12378 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๑ และทิศทางและนโยบายการดำเนินงานของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12379 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2561 | กค | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานในภาพรวมของทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการรายงานสถานะทางการเงินของทุนหมุนเวียนในภาพรวม ผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน บทบาทของทุนหมุนเวียนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน และข้อสังเกตการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของคณะทำงานจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12380 | แนวทางการปฏิบัติในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 ต่อคณะรัฐมนตรี | นร05 | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการปฏิบัติในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. ขั้นตอนการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนของหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องเสนอเรื่องให้สำนักงบประมาณพิจารณาการจัดสรรเงินค่าทดแทนที่จะต้องจ่ายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ และเมื่อสำนักงบประมาณพิจารณาเสร็จแล้วให้แจ้งผลการพิจารณากลับไปยังหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้ระบุไว้ในหนังสือที่เสนอเรื่องในหัวข้อ “ความเห็นหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง” พร้อมแนบสำเนาหนังสือความเห็นของสำนักงบประมาณมาพร้อมด้วย ๒. ขั้นตอนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องจัดทำเอกสารเสนอไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของร่างพระราชกฤษฎีกาและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ ๒.๑ วัตถุประสงค์ของการเวนคืน ซึ่งอาจกำหนดหลายวัตถุประสงค์ตามความจำเป็นก็ได้ ๒.๒ ระยะเวลาการใช้บังคับของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งให้กำหนดระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อการสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และการรังวัดที่ดิน แต่จะกำหนดเกินห้าปีไม่ได้ ๒.๓ แนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนเท่าที่จำเป็น ๒.๔ ระยะเวลาเริ่มต้นเข้าสำรวจ ให้กำหนดเท่าที่จำเป็น ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ๒.๕ เจ้าหน้าที่เวนคืน ๒.๖ แผนที่หรือแผนผังแสดงแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ๒.๗ ความเห็นของสำนักงบประมาณ ซึ่งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการแล้วตามขั้นตอนในข้อ ๑ ทั้งนี้ หากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่าความเห็นดังกล่าวไม่เป็นปัจจุบัน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาถามความเห็นไปยังสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ๒.๘ การรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบ การดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะตรวจสอบความครบถ้วนของเรื่องที่หน่วยงานของรัฐเสนอตามแนวทางการปฏิบัติข้างต้น และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ หากหน่วยงานของรัฐที่เสนอเรื่องดำเนินการไม่ครบถ้วน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการส่งเรื่องคืนเพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง ก่อนเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
|
.....