ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 613 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12241 - 12260 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12241 | การขอยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และ 2560 | นร10 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการยกเว้นเงื่อนไขการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กรณีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียน ๑๒๑-๒๔๙ คน โดยให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอขอรับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๓๐๑ แห่ง จำนวน ๓๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๑,๕๗๘ แห่ง จำนวน ๑,๙๒๑ อัตรา ๑.๒ เห็นชอบให้ สพฐ. พิจารณาดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีระยะทางห่างจากโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ในตำบลเดียวกันน้อยกว่า ๖ กิโลเมตร ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน และลดภาระค่าใช้จ่ายงบประมาณด้านบุคลากรและการบริหารจัดการเอง ๑.๓ กำหนดเงื่อนไขโดยไม่ให้นำอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูไปปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้เป็นสายงานอื่น ๒. อนุมัติในหลักการการจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่มีผลรวมของอัตราข้าราชการครูและอัตราพนักงานราชการครูไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. และจัดสรรให้ไม่เกินกว่าอัตรากำลังครูที่ สพฐ. เสนอขอรับการจัดสรร ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ รวม ๕๗ แห่ง จำนวน ๖๒ อัตรา และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รวม ๔๔๓ แห่ง จำนวน ๔๖๓ อัตรา รวมทั้งสิ้น ๕๒๕ อัตรา ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำรายละเอียด ข้อมูล เหตุผลความจำเป็นในการขอรับการจัดสรรอัตรากำลังดังกล่าวให้ชัดเจนและให้ครอบคลุมถึงความจำเป็นของโรงเรียนขนาดเล็กที่คาดว่าจะไม่สามารถควบรวมได้ประมาณ ๑,๙๔๐ โรงเรียนด้วย แล้วเสนอ คปร. พิจารณาทบทวนตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในส่วนของภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการบริหารจัดการภายในวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐ ส่วนภาระงบประมาณรายจ่ายด้านบุคลากรที่จะเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรเร่งรัดการจัดทำแผนการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และควรวางแผนการใช้อัตรากำลังครูทั้งระบบให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงโครงสร้างประชากรวัยเรียนที่มีแนวโน้มลดลง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12242 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 3/2562 | นร10 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งมีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการรวม ๓ ประเด็น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการเพิ่มรูปแบบการสื่อสารกับประชาชนด้วยเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูล การรับรู้ และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการทำงานของราชการ ผลลัพธ์และประโยชน์ที่ประชาชนได้รับเป็นไปด้วยความถูกต้อง สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒. ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ รวมถึงให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๓. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเตรียมการ ติดตาม และเตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑) พระราชพิธีในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ (๒) การติดตามคดีความที่รัฐบาลเป็นคู่กรณีกับเอกชน (๓) การชี้แจงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และ (๔) การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ซึ่งจะมีผู้นำจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมทั้งหมด ๑๘ ประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12243 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อบ. 165/2558 คดีหมายเลขแดงที่ อบ. 89/2562 ระหว่าง นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร05 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดำที่ อบ. ๑๖๕/๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดงที่ อบ. ๘๙/๒๕๖๒ ระหว่าง นายจิตเกษม แสงสิงแก้ว ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองขั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12244 | รายงานผลการกู้เงินสำหรับรองรับการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB198A ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2562 และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-Bill) ที่ครบกำหนด เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 | กค | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB198A ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ วงเงินที่เหลืออีกจำนวน ๒๑,๙๐๐ ล้านบาท (ดำเนินการ Pre-funding ไปแล้วจำนวน ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท) และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ R-Bill ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF 3) รวมทั้งการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12245 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซียประจำปี 2561 | พน | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซียประจำปี ๒๕๖๑ เป็นการรายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ในการประชุมครั้งที่ ๑๒๖ และการประชุมสามัญประจำปี (Annual General Meeting of MTJA, AGM) ครั้งที่ ๒๗ เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ แล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12246 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 8 | กต | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๘ (Agreed Minutes of the Eighth Meeting of the India-Thailand Joint Commission for Bilateral Cooperation) ที่จะมีการลงนามภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-อินเดีย ครั้งที่ ๘ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยสาระสำคัญของร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ครอบคลุมประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะแก้ไข พัฒนาและ/หรือผลักดันให้เกิดความคืบหน้าร่วมกัน ได้แก่ ความสัมพันธ์ด้านการเมือง ความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ความเชื่อมโยงในเรื่องต่าง ๆ ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และระหว่างประชาชน ความร่วมมือด้านกงสุล ประเด็นภูมิภาคและพหุภาคี และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเกี่ยวกับการเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายให้มีการเร่งสรุปผลการเจรจาความตกลง/บันทึกความเข้าใจที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เช่น ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ความตกลงว่าด้วยการประกันสังคม เป็นต้น ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มเติมข้อความในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ หมวด Science and Technology Cooperation ข้อ ๑๙ ดังนี้ “Thailand also looked forward to cooperating with India on higher education to enhance human capacity building in the area of space science, especially space exploration” เพื่อให้ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์มีความครอบคลุมต่อการพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง และให้เพิ่มความร่วมมือด้าน FinTech เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะมีความร่วมมือระหว่างกัน เนื่องจากเป็นสาขาที่อินเดียมีความเชี่ยวชาญและน่าจะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างประสิทธิภาพในระบบการเงินและการสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12247 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 37 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง (37th ASEAN Ministers on Energy Meeting (37th AMEM) and its Associated Meetings] ณ กรุงเทพฯ ราชอาณาจักรไทย | พน | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีแนวคิดหลักของการประชุม คือ “Advancing Energy Transition through Partnership and Innovation” โดยการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๗ (37th AMEM) ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียนของ สปป.ลาว ไทย และมาเลเซีย เป็นต้น สำหรับการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (๑) การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๖ (16th AMEM+3) ที่ประชุมได้สนับสนุนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานถ่านหิน น้ำมัน และนิวเคลียร์เพื่อประชาชน รวมทั้งการริเริ่มความร่วมมือและแสวงหาศักยภาพความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงานผ่านโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (๒) การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๒ (12th EAS EMM) ที่ประชุมได้มีการติดตามความคืบหน้าความร่วมมือในด้านประสิทธิภาพและอนุรักษ์พลังงาน การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง พลังงานหมุนเวียน และพลังงานทางเลือก (๓) ผลการหารือทวิภาคีและพหุภาคีอื่น ๆ เช่น การประชุมหารือทวิภาคีกับ IEA เกี่ยวกับโครงการจัดทำข้อเสนอแนะด้านการส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในโครงข่ายอาเซียนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์จากภาคเกษตรกรรมเข้ากับการพัฒนาด้านพลังงานทดแทนของไทย เป็นต้น และ (๔) ผลการจัดการประชุม ASEAN Energy Business Forum 2019 ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาครัฐและภาคธุรกิจได้จับคู่เชิงธุรกิจเพื่อสร้างเครือข่ายควบคู่ไปกับการจัดนิทรรศการด้านพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12248 | ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... | รง | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดเวลากรณีนายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบ โดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก ๗ วันทำการ นับแต่วันที่พ้นกำหนดวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ โดยมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๒๔ เดือน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาศึกษาการกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินมาตรการส่งเสริม สนับสนุน และรองรับความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ให้ศึกษาว่า เหตุใดนายจ้างจึงไม่นิยมส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงให้นายจ้างทุกรายส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12249 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) | นร11 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12250 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (นายวิริยะ รามสมภพ) | นร | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิริยะ รามสมภพ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านข้อมูลข่าวสารของราชการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12251 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด พ.ศ. 2562 | ดศ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปราม และบำบัดรักษายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้สัมภาษณ์ประชาชนที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป จำนวน ๔๖,๐๐๐ รายทั่วประเทศ โดยสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้าน ประชาชนร้อยละ ๕.๘ พบเห็นปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้านด้วยตนเอง ร้อยละ ๔๐.๙ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ขณะที่ร้อยละ ๕๓.๓ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ด้านการซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๒.๒ พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ง่าย ร้อยละ ๒๙.๙ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๖๗.๖ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด ด้านพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๕.๒ พบเห็น ร้อยละ ๔๐.๔ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๕๔.๔ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และด้านความพึงพอใจและความเชื่อมั่นต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า จากคะแนนเต็ม ๑๐ ประชาชนมีความพึงพอใจ ๖.๗๖ คะแนน และมีความเชื่อมั่น ๖.๖๗ คะแนน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับปรุงมาตรการในการป้องกัน แก้ไข และปราบปรามปัญหายาเสพติดให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อปลูกฝังให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาและโทษภัยของยาเสพติดอย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12252 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนสิงหาคม 2562 | นร02 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ ใน ๓ ประเด็น ได้แก่ สถานการณ์ภัยแล้ง เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และการตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดยะลาของนายกรัฐมนตรีและคณะ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12253 | รายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2561 | กค | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี ๒๕๖๑ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำนวน ๑๙ ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘,๗๕๙.๗๕ ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้นำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเรียบร้อยแล้ว ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12254 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์และวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดี) | ศย | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ที่มีกรณีพิพาทใช้เป็นช่องทางในการยุติข้อพิพาทก่อนที่จะมีการฟ้องคดี ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12255 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2562 | นร | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๒ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมฯ รับทราบการกำหนดนโยบายการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการขยายการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตภายใต้กรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน (Thailand Plus Package) ๗ ด้าน และรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Projects) ของกระทรวงคมนาคม ๑.๒ ที่ประชุมฯ พิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในประเด็นรูปแบบการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการก่อสร้างงานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และการให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งส่วนตะวันออกและตะวันตก ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย รวมถึงสำนักงบประมาณขอแก้ไขสาระสำคัญที่ได้เสนอความเห็นที่ประชุมฯ ให้ตรงตามข้อเท็จจริงว่า “การให้เอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และรัฐทยอยชำระคืนให้เอกชนเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี พร้อมดอกเบี้ยตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเสนอ นั้น เมื่อพิจารณารายละเอียดของวงเงินค่างานโยธา จำนวน ๘๘,๕๖๘ ล้านบาทดังกล่าว ซึ่งได้คำนวณรวมอัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ไว้แล้ว ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายที่เป็นงบสำรองที่จัดเตรียมไว้ (Provisional Sum งานโยธา) จำนวน ๔,๐๒๙ ล้านบาท และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา จำนวน ๓,๒๒๓ ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่รัฐจะชำระคืนเงินร่วมทุนแก่เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน ๙๖,๐๑๒ ล้านบาท เท่านั้น โดยไม่นับรวมอัตราคิดลด” ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป และให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนที่จะทำงานในอุตสาหกรรม ควรพิจารณาการกำหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาคนในสายงานด้านการบริการที่มีมูลค่าสูง (High value service) เช่น การท่องเที่ยวคุณภาพสูง รวมทั้งควรพิจารณาความต้องการสาขาวิชาชีพในอนาคตประกอบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12256 | การขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) เรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ | ยธ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ (Deed of Grant) เรือลาดตระเวนจากสาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่างหน่วยงานตำรวจตระเวนชายฝั่งสิงคโปร์ (The Singapore Police Coast Guard of the Singapore Police Force : SPF) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (๒) ร่างหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด (Central Committee for Drug Abuse Control : CCDAC) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และ (๓) ร่างหนังสือตราสารการโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสำนักงานคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อตรวจตราและควบคุมยาเสพติด (Lao Notional Commission for Drug Control and Supervision : LCDC) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเงื่อนไขในการโอนและการส่งมอบกรรมสิทธิ์ในเรือลาดตระเวนระหว่างผู้โอนและผู้รับโอน โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในฐานะผู้รับโอนเรือลาดตระเวน จำนวน ๓ ลำ จาก SPR จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก SPF และจะรบผิดชอบภาษีและค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์และการจดทะเบียนทั้งหมดตามกฎเกณฑ์ของประเทศไทย ในขณะเดียวกันสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในฐานะผู้โอน จะส่งมอบกรรมสิทธิ์ในเรือลาดตระเวน จำนวน ๒ ลำ ที่ได้รับจาก SPF ให้แก่ CCDAC และ LCDC ผู้รับโอน ตามลำดับ โดย CCDAC และ LCDC จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และจะรับผิดชอบภาษีและค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์และการจดทะเบียนทั้งหมดตามกฎหมายของประเทศดังกล่าว ๑.๒ มอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในหนังสือตราสารฯ ทั้งสามฉบับ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สามารถดำเนินการแก้ไขร่างหนังสือตราสารฯ ทั้งสามฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักรไทยได้ก่อนการลงนาม (หากมีความจำเป็น ให้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด และ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาด้วยว่า ในกรณีเช่นนี้ โดยที่เป็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน ไทยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รับช่วงต่อจากสิงคโปร์ โดยสิงคโปร์สามารถเป็นผู้มอบเรือลาดตระเวนให้แก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาโดยตรงได้ เนื่องจากต่างก็เป็นมิตรที่ใกล้ชิดกันในประชาคมอาเซียน ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงาน เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่าที่จำเป็นอย่างประหยัด ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี แล้วแต่กรณี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12257 | ร่างสุดท้าย (Final Draft) ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ในกรอบอาเซียน สำหรับปี 2019 - 2024 | กษ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการส่งเสริมสินค้าเกษตรและป่าไม้ในกรอบอาเซียน (MOU on ASEAN Cooperation in Agriculture and Forest Products Promotion Scheme) สำหรับปี ๒๐๑๙-๒๐๒๔ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มอำนาจการต่อรองในเรื่องการค้าผลิตภัณฑ์เกษตรและป่าไม้ของอาเซียนในตลาดโลก รวมถึงการเสริมความพยายามเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่จะนำไปสู่การขยายตลาด การพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยสินค้าและอาหาร เป็นฐานสำหรับการประสานงานระหว่างรัฐสมาชิกอย่างใกล้ชิด และสร้างความมั่นใจว่าจะมีวัตถุดิบในการผลิตที่ยั่งยืน โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ ๔๑ (ASEAN Ministers on Agriculture and Forestry : AMAF) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ บรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรอาศัยความร่วมมือดังกล่าวในการสร้างความเข้มแข็งและรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตรที่มีปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำในประเทศ เช่น ปาล์มน้ำมัน และมะพร้าว เป็นต้น รวมทั้งควรมีการติดตามและประเมินผลเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสต่อไป สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการภายหลังจากการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้วแต่กรณี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12258 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | พณ | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๓ มีสาระสำคัญเป็นการหารือเกี่ยวกับกลไกของคณะทำงานฯ เพื่อที่จะเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการปรับปรุงแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และแผนสำหรับความร่วมมือในอนาคตระหว่างประเทศสมาชิกของคณะทำงานฯ ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation JWG-CBEC under MLC) ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาถึงประเด็นที่เป็นจุดเน้นหลักของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนที่สอดคล้องกับกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้หน่วยงานปฏิบัติสามารถผลักดันขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และส่งผลให้ไทยใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างได้อย่างเต็มที่ และควรผลักดันให้จีนในฐานะประเทศผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ได้มีบทบาทนำในการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ในสาขาที่จีนมีความเชี่ยวชาญร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ อาทิ การนำใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกิจกรรมโลจิสติกส์ และการผลิตในอุตสาหกรรมเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12259 | การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร07 | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดจำนวนกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๖๓ คน ประกอบด้วยกรรมาธิการที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อ จำนวน ๑๕ คน และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลือก จำนวน ๔๘ คน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้ผู้แทนพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลประสานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อแจ้งรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีให้สำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12260 | การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 | มท | 07/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการ “ในพื้นที่ ๒๙ จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้ธนาคารออมสินเป็นหน่วยรับงบประมาณ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยดำเนินการ” เป็น “ในพื้นที่ ๓๒ จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน” ๑.๒ เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายและผลการปฏิบัติงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะตามความเหมาะสม ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
.....