ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 520 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 10381 - 10400 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
10381 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน | สธ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๓ โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวัง
ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน วงเงินจำนวน ๓,๖๒๒,๓๑๙,๕๐๐
บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10382 | การจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัฐเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม 12 ประเทศ | คค. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการจัดทำร่างข้อตกลงว่าด้วยการรับรองประกาศนียบัตรคนประจำเรือระหว่างประเทศไทยกับเกาหลีใต้
ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ รัสเซีย เยอรมนี ยูเครน อังกฤษ
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ รวม ๑๒ ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงด้านการเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศหลังจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ทั่วโลกได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น
หน่วยงานที่มีอำนาจต้องรับรองว่าการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
และผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมและการประเมินความรู้ความสามารถของคนประจำเรือ
ดำเนินการโดยผู้ที่มีคุณวุฒิที่เหมาะสม และเป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม
การออกประกาศนียบัตร และการเข้าเวรยามของคนประจำเรือ ค.ศ. ๑๙๗๘ (International
Convention on Standards of Training, Certification and
Watchkeeping for Seafarers, 1978) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับคนประจำเรือที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยทางทะเลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ
(International Maritime Organization : IMO) มีอยู่จำกัด
กระทรวงคมนาคมควรหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงแรงงาน เป็นต้น รวมถึงภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในกิจการพาณิชยนาวี
โดยพิจารณาแนวโน้มความต้องการแรงงานในประเทศและต่างประเทศ
รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลแรงงาน
มาตรการผลิตและพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีคนประจำเรือที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดการจ้างงานไทยและสามารถขยายตลาดการจ้างงานในต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10383 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยกับกระทรวงอาหารและเกษตรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | กษ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอาหารและเกษตรแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีด้านการเกษตร
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ
(ผู้ลงนามของทั้งสองฝ่ายลงนามในประเทศของตน โดยจัดส่งเอกสารต้นฉบับที่จะให้อีกฝ่ายลงนามผ่านทางไปรษณีย์)
โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
เป็นเอกสารที่กำหนดข้อตกลงในการให้ความร่วมมือระหว่างกันในกรอบกว้าง ๆ
เพื่อเพิ่มความรู้ ความชำนาญด้านเทคนิคและวิชาการ
ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีการดำเนินโครงการร่วมกันเป็นระยะเวลา ๓ ปี
เพื่อพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่และพัฒนาเกษตรกรรายย่อยของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรของไทยให้มีกลไกการขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานในเดือนกันยายน ๒๕๖๓
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบร่วมกัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10384 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2563 | นร.11 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
ที่ได้มีการพิจารณาแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
(แผนงานหรือโครงการที่ ๓) ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชน
ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ทั้งนี้
กรณีแผนงานหรือโครงการที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณาในครั้งนี้และในครั้งต่อ
ๆ ไป ที่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
เห็นชอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหือจำเป็น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ นอกจากนี้ ในส่วนของแนวทางการจัดสรรงบประมาณ
(เงินกู้) ให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอโครงการองค์กรภาคประชาชน
รวมทั้งแนวทางการใช้จ่ายเงินกู้ให้มีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่า
และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10385 | การปรับปรุงกลไกการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาล | 13/08/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
เพื่อให้การดำเนินการรับรองผลิตภัณฑ์ฮาลาลเป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามและมาตรฐานสากล
เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคชาวมุสลิมทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้งตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลเพื่อการส่งออก
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม
และกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับปรุงกลไกและกฎระเบียบเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ฮาลาลให้ชัดเจน
เหมาะสม และมีเอกภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องกรณีที่กระทำการไม่ถูกต้องตามหลักการฮาลาลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10386 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2 | นร.12 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒
และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (ค.ต.ป.)
คณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ รวมทั้งเห็นชอบข้อเสนอแนะของ
ค.ต.ป. โดยให้รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และจังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไข
รับข้อเสนอแนะและพิจารณาดำเนินการ พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อ
ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ ต่อไป ตามมติ ค.ต.ป. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๓
ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ค.ต.ป. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) ควรพิจารณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันผลักดันและกำหนดตัวชี้วัดในลักษณะ
Joint KPIs หรือ Joint OKRs เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่มุ่งหวังของการขับเคลื่อนระบบวิจัยและนวัตกรรม
โดย ค.ต.ป. ควรมีการกำกับ ติดตาม
การดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง
เพื่อจะได้เห็นถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จตามที่มุ่งหวัง (๒)
ควรมีการเชื่อมโยงการรายงานผลการประเมิน ข้อเสนอแนะของ ค.ต.ป.
กับการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะตัวชี้วัดในลักษณะ Joint KPIs เพื่อให้เกิดการผลักดันการดำเนินงานเป็นไปอย่างบูรณาการและเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10387 | การกำหนดเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษากรรมการสรรหา กรรมการประเมินผล และอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2558 | พปส. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมหรือประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ
กรรมการ ที่ปรึกษา กรรมการสรรหา กรรมการประเมินผล
และอนุกรรมการตามพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๘
โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน
๒๕๔๗ และวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ มาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเบี้ยประชุมดังกล่าว
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม)
ประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เสนอ
และให้คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.
เกี่ยวกับการกำหนดประโยชน์ตอบแทนอื่น (ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง)
ของกรรมการในคณะกรรมการกองทุนกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งมิได้เป็นข้าราชการพลเรือน
เนื่องจากสิทธิในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงแตกต่างกัน
จึงควรพิจารณากำหนดให้ชัดเจนว่า
จะพิจารณาให้กรรมการดังกล่าวเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางในอัตราที่ทางราชการกำหนด
สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวง นอกจากนี้
ขอให้คำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัดตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
๒. ให้สำนักงาน
ก.พ.ร. เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง
การขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ เรื่อง
การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชน
และหลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ
ที่ปรึกษา และอนุกรรมการขององค์การมหาชน) ที่มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งดำเนินการรวบรวมหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับองค์การมหาชน
และแจ้งให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลองค์การมหาชนและองค์การมหาชนทุกแห่งทราบ
เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10388 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษและการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม สมัยพิเศษว่าด้วยโควิค - 19 | พณ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษและการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนบวกสาม
(จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) สมัยพิเศษว่าด้วยโควิด-๑๙ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video
Conference) เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมฯ
ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการลดผลกระทบทางเศรษฐกิจของโควิด-๑๙ โดยประเทศสมาชิกได้เน้นย้ำความสำคัญของการรักษาตลาดที่เปิดและไม่ใช้มาตรการจำกัดการค้าและการลงทุนโดยไม่จำเป็น
เพื่อเป็นการรักษาห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งยืนยันที่จะลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(RCEP) ภายในปี ๒๕๖๓ และที่ประชุมฯ
ได้รับรองแผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-๑๙
เพื่อสร้างความเข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-๑๙
โดยกำหนดแนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในการเคลื่อนย้ายสินค้าที่จำเป็น
โดยเฉพาะสินค้าทางการแพทย์และอาหารซึ่งต้องมีการอำนวยความสะดวกทางการค้า
รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อบรรเทาผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙ เป็นต้น
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฮานอยฯ
เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10389 | รายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิภัย ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 วันที่ 7 ตุลาคม 2562 วันที่ 3 ธันวาคม 2562 และวันที่ 31 มีนาคม 2563 | มท. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติ
ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ วันที่ ๗
ตุลาคม ๒๕๖๒ วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๒ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓
ที่อนุมัติหลักการงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒,๐๙๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท
เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย
หรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐
บาท โดยมีกำหนดสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการช่วยหลือเยียวยาฯ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๓ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ได้ส่งข้อมูลครัวเรือนให้ธนาคารออมสินดำเนินการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์เข้าบัญชีผู้ประสบอุทกภัย
๓๐ จังหวัด จำนวน ๖๘,๙๐๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓๔๔,๕๔๕,๐๐๐ บาท
และการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวได้เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
คงเหลืองบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงาน ณ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จำนวน
๑,๗๔๗,๘๕๕,๐๐๐ บาท ซึ่งได้ส่งคืนสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10390 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน - จีน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด - 19 | คค. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน
สมัยพิเศษ ว่าด้วยโควิด-๑๙ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ด้วยระบบการประชุมทางไกล
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของประชุมฯ
ได้มีการกล่าวถ้อยแถลงของรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน และเลขาธิการอาเซียนเกี่ยวกับมาตรการด้านการขนส่งเพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) เช่น มาตรการผ่อนคลาย
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ทั้งนี้ เลขาธิการอาเซียนได้กล่าวย้ำถึงผลลัพธ์การประชุมสุดยอดอาเซียน
ครั้งที่ ๓๖ และการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสามว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙
ในการร่วมมือกันเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและแสวงหาความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาเพื่อบรรเทา
ควบคุม และตอบสนองต่อผลกระทบของโควิด-๑๙
โดยเฉพาะในภาคการขนส่งที่เป็นแนวหน้าของการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
และแสดงบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของภูมิภาคต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ
ได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน
ว่าด้วยการเสริมสร้างการขนส่งและโลจิสติกส์ที่ราบรื่นเพื่อต่อสู้กับโควิด-๑๙
และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10391 | แผนผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ | ทส. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ แผนผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์บริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน
บริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก บริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์
ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงบริเวณฝั่งธนบุรี และบริเวณที่ ๔
บริเวณพื้นที่ต่อเนื่องกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๒ การขยายพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ จากเดิม
๓ บริเวณ (กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
และบริเวณฝั่งธนบุรีตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์) เป็น ๔ บริเวณ
โดยเพิ่มพื้นที่ส่วนขยาย บริเวณที่ ๔ พื้นที่ต่อเนื่องบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก
ตั้งแต่แนวกึ่งกลางคลองรอบกรุง (คลองบางลำพูและคลองโอ่งอ่าง) แนวกึ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยาด้านทิศเหนือและทิศใต้
และแนวคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตะวันออก เพื่อจะได้ปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น (๑)
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมในทุกมิติและจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย
รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
(๒) ไม่ควรพัฒนาระบบการสัญจรริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่จะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์และการรักษาความปลอดภัยของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
สถานที่สำคัญ และหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระ และ (๓) แผนผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ได้กำหนดให้รื้อถอนอาคารของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและส่วนราชการบางแห่ง
และก่อสร้างอาคารใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมนั้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรพิจารณาจัดหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาใหม่ทดแทนตำแหน่งเดิมที่ต้องรื้อถอน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10392 | คำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่อง การบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจ | นร.11 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖/๒๕๖๓ ลงวันที่
๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง
การบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
เพื่อจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) และแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพื่อทำหน้าที่จัดทำข้อเสนอและกรอบแนวทางการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจ
สั่งการส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งกำกับดูแล ควบคุม และติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ๑.๒ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๗/๒๕๖๓ ลงวันที่
๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนและเร่งรัดให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับนโยบาย แนวทาง
และมาตรการรัฐบาลไปปฏิบัติเพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลบรรลุผลสำเร็จ
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
๒.
เห็นชอบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมว่า
เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10393 | รัฐบาลสหราชอาณาจักรเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย (นายมาร์ก กุดดิง) | กต. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมาร์ก กุดดิง (Mr. Mark Gooding) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน (Mr.
Brian John Davidson) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10394 | การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นายดนุชา สินธวานนท์) | กปร. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ
นายดนุชา สินธวานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
(สำนักงาน กปร.) ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ ๔ ปี ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ต่อไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงาน กปร. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10395 | การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร.04 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ตามลำดับ ดังนี้ ๑. พลเอก ประวิตร
วงษ์สุวรรณ ๒. นายวิษณุ
เครืองาม ๓. นายอนุทิน
ชาญวีรกูล ๔. นายจุรินทร์
ลักษณวิศิษฏ์ ๕. นายดอน
ปรมัตถ์วินัย ๖. นายสุพัฒนพงษ์
พันธ์มีเชาว์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10396 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติไม่ให้ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรพิจารณาเสริมประเด็นที่อาจเกี่ยวข้อง
เช่น การสานต่อนโยบายประเทศไทย ๔.๐
โดยให้ความสำคัญเรื่องการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่จะส่งเสริมความมั่นคงทางสุขภาพของไทย
การส่งเสริมความพร้อมของผู้ประกอบการต่อการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลและโลจิสติกส์ในอนาคต
การส่งเสริมทักษะแรงงานเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลโดยการศึกษาออนไลน์และธุรกิจสร้างสรรค์
และการขยายฐานทางอุตสาหกรรม (diversification) ให้ลดการพึ่งพาสาขาหรือตลาดต่างประเทศรายใดรายหนึ่งเกินควร
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10397 | ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว | มท. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเจรจาและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นชอบผลการเจรจา และได้ผ่านการตรวจร่างสัญญาฯ
จากสำนักงานอัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
และให้กระทรวงการคลังพิจารณาเสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งความเห็นต่อรายงาน เรื่อง การพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า
(บีทีเอส)
ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า
(บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนี่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10398 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมชัย อัศวสุดสาคร) | สธ. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมชัย
อัศวสุดสาคร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งสาธารณสุขนิเทศก์
(นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10399 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 และวันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563) | นร.04 | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันศุกร์ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่
๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๐ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๓
สิงหาคม ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๒๑ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่
๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ และสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10400 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | ปช. | 13/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ บริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)
เป็นผู้ร่วมดำเนินการในการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน
ทั้งในส่วนของการกำหนดแผนยุทธศาสตร์การก่อสร้าง และการบริหารจัดการท่อร้อยสายสื่อสารให้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ
เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการโทรคมนาคมทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ เสถียรภาพของโครงข่ายสื่อสาร
ความมั่นคงของประเทศ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินการ ๑.๒ ให้บริษัท
กรุงเทพธนาคม จำกัด
เป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สามารถตรวจสอบการดำเนินงานได้ กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงบริษัทหรือนิติบุคคลที่จัดตั้งโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือหุ้นเกินร้อยละ
๕๐ ๑.๓
พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องของขั้นตอนการขออนุญาตดำเนินการก่อสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน
ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
กับหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ควรพิจารณาร่วมกันเพื่อให้อนุญาตการใช้สิทธิแห่งทาง
และอนุญาตให้ใช้พื้นที่ในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาและความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐ
อันเกิดจากการที่ผู้ประกอบการได้รับอนุญาตใช้สิทธิแห่งทาง
แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่ก่อสร้าง
จึงไม่สามารถดำเนินการได้แม้ว่ามีการลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างแล้วก็ตาม ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
(กรุงเทพมหานคร) สำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเช่น (๑)
ในระดับจังหวัดและท้องถิ่น
เห็นควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อบูรณาการการดำเนินการนำสายสื่อสารลงใต้ดินโดยหน่วยงานเจ้าของพื้นที่เป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการไฟฟ้านครหลวง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๒)
เห็นควรนำแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียนของการไฟฟ้านครหลวงไปประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อไปด้วย
และ (๓) เห็นควรจัดทำแผนเพื่อให้เป็นแนวปฏิบัติเดียวกันทั่วประเทศ การจัดทำแผนใด ๆ
ต้องรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
หน่วยงานที่มีแผนจะนำสายสื่อสารลงใต้ดินขอให้นำส่งแผนมาที่สำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาความพร้อมและบรรจุเป็นแผนนำสายสื่อสารลงใต้ดินของสำนักงานกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |