ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 516 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 10301 - 10320 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
10301 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายธนากร บัวรัษฏ์) | นร.06 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายธนากร บัวรัษฏ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10302 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวกุลยา ตันติเตมิท) | กค. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ
ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง
ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นต้นไป เนื่องจากครบกำหนดเวลา ๒ ปี
ที่ออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๓) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10303 | ขอให้คณะรัฐมนตรีส่งรายชื่อผู้แทนคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานในการเลือกสรรผู้สมควรดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | สว. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายอนุชา นาคาศัย) เป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรี เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งรายชื่อดังกล่าวให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายอนุชา นาคาศัย) เป็นที่ปรึกษาและกรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10304 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการออกระเบียบของ ก.บ.ศป.) [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2563)] | นร.04 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓
ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10305 | ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องวิกฤตทางเศรษฐกิจและวิกฤตทางการเมือง โดยไม่มีการลงมติ | สผ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย
กับคณะ รวม ๗๙ คน
ได้เข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ
ตามมาตรา ๑๕๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วมีความพร้อมจะไปชี้แจงตามญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ในวันพุธที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓ จึงได้ลงมติ ๑.
มอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมรับฟังการแถลงและชี้แจงข้อเท็จจริงตามญัตติขออภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี
ในวันพุธที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓ ๒.
มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปประสานประธานสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับกำหนดวันที่คณะรัฐมนตรีจะไปชี้แจงตามญัตติดังกล่าวต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ๓.
มอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลและจัดทำประเด็นประกอบการชี้แจงของรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10306 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ
ในท้องที่จังหวัดบุรีรัมย์ ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา
ในท้องที่จังหวัดนครนายก ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย
ในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา
ในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10307 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 4 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานทึ่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ) | กษ. | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ
ในท้องที่จังหวัดบุรีรัมย์ ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำฝั่งขวา
ในท้องที่จังหวัดนครนายก ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย
ในท้องที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา
ในท้องที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10308 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ [ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยทรง (ตอนล่าง) เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....] | กษ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
จากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง
(ตอนล่าง) เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง (ตอนล่าง)
ในท้องที่ตำบลน้ำโสม อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน จากกิโลเมตรที่ ๒.๐๐๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุดรดิตถ์ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘.๑๔๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
๓.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว ในท้องที่ตำบลไฮหย่อง
อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10309 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
จากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง
(ตอนล่าง) เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง (ตอนล่าง)
ในท้องที่ตำบลน้ำโสม อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน จากกิโลเมตรที่ ๒.๐๐๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุดรดิตถ์ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘.๑๔๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว ในท้องที่ตำบลไฮหย่อง
อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10310 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
จากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง
(ตอนล่าง) เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำทรง (ตอนล่าง)
ในท้องที่ตำบลน้ำโสม อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองตรอน จากกิโลเมตรที่ ๒.๐๐๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุดรดิตถ์ ถึงกิโลเมตรที่ ๑๘.๑๔๐
ในท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓.
ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำหนองบัว ในท้องที่ตำบลไฮหย่อง
อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10311 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน
ไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น ๒. ให้ทุกส่วนราชการให้ความสำคัญกับการแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม ๓.
การดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์
ควรใช้กลไกของคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน
และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนระดับกระทรวง
การกำกับดูแลและเร่งรัดติดตามผลการแก้ไขปัญหาของผู้นำการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องราวร้องทุกข์ประจำหน่วยงาน
(Chief Complaint Executive Officer : CCEO) รวมถึงการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการประจำกระทรวง
การประสานงานผ่านเครือข่ายในพื้นที่ ๔.
ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ด้วย
ซึ่งหากระบบมีประสิทธิภาพจะสามารถตอบสนองหน่วยงานในการวางแผนการปฏิบัติงานบูรณาการข้อมูล
และกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
ในภาวะที่เกิดเหตุวิกฤตหรือภัยพิบัติได้
๕.
ให้มีการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ถึงภารกิจของหน่วยงาน การให้บริการ
และการให้ความช่วยเหลือของแต่ละหน่วยงานให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง
รวมทั้งหน่วยงานในพื้นที่ควรมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนก่อนที่ปัญหาจะขยายวงกว้าง
และประชาชนเดินทางมาที่ส่วนกลางเพื่อขอความช่วยเหลือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10312 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ไตรมาสที่ 3) | นร.07 | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ (ไตรมาสที่ ๓) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓
วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๒๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย จำนวน
๒,๒๔๙,๕๙๖.๖๗ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒,๔๘๐,๙๒๙.๙๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๗๐.๓๐ และ ๗๗.๕๓ ตามลำดับ
รายการโอนงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณตามพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนทั้งสิ้น ๘๘,๔๕๒.๖๐ ล้านบาท จำแนกเป็น รายจ่ายประจำ จำนวน
๔๘,๕๖๖.๓๘ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๓๙,๘๘๖.๒๒ ล้านบาท ดังนั้น
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ กรณีไม่รวมงบกลาง
และวงเงินตามพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๖๓ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
จำนวน ๒,๕๓๐,๐๖๗.๐๒ ล้านบาท เป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ ไตรมาสที่ ๓ จำนวน ๑,๙๔๘,๑๕๑.๖๑
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๗.๐๐ มีผลการเบิกจ่าย จำนวน ๑,๗๙๖,๙๕๓.๒๐ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๐๒ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๒,๐๒๔,๐๘๑.๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๘๐.๐๐ ผลการก่อหนี้สูงกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๓.๐๐ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๗๗)
จำแนกเป็น รายจ่ายประจำมีผลการเบิกจ่าย จำนวน ๑,๖๐๓,๙๙๕.๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
๘๐.๔๐ มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑,๖๒๘,๙๕๕.๓๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๖๕
ผลการก่อหนี้สูงกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๑.๖๕ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๘๐)
รายจ่ายลงทุนมีผลการเบิกจ่าย จำนวน ๑๙๒,๙๕๘.๐๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๓๖.๐๗
มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๓๙๕,๑๒๖.๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๓.๘๖
ผลการก่อหนี้สูงกว่าเป้าหมาย ร้อยละ ๘.๘๖ (เป้าหมายกำหนดไว้ ร้อยละ ๖๕) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10313 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ และ นายภาคิน สมมิตรธนกุล) | รง. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๓ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑. นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ๒. นายสุเทพ ชิตยวงษ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ๓. นายภาคิน สมมิตรธนกุล ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10314 | ร่างแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2563 - 2565) | วธ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนพัฒนาด้านการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขับเคลื่อนร่างแผนพัฒนาฯ
โดยร่างแผนพัฒนาฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ผลิตสื่อมีจริยธรรม มีผลผลิตสื่อที่มีความปลอดภัยและสร้างสรรค์
ประชาชนทุกกลุ่มมีความรู้เท่าทันสื่อ มีจริยธรรมและความรับผิดชอบในการสื่อสาร
มีกลไกการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีความเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ
และมีกฎหมายที่มีความทันสมัยและมีกลไกในการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะมีการขับเคลื่อนผ่าน ๔ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ (๑)
การสนับสนุนการผลิตและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (๒)
การส่งเสริมความรู้เท่าทันสื่อ พฤติกรรมการใช้สื่อเชิงสร้างสรรค์
เฝ้าระวังและตรวจสอบสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ (๓) การบูรณาการกลไกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนผ่านการสื่อสารสาธารณะ
และ (๔)
การพัฒนาและบูรณาการการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงมหาดไทย
ข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรมุ่งเน้นการส่งเสริมและการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ด้านดิจิทัล
โดยเน้นการรู้เท่าทันสื่อ การใช้สื่ออย่างสร้างสรรค์
และเกิดความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างบูรณาการในกลุ่มประชาชน โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน
ผู้สูงอายุ และคนพิการ รวมทั้งควรใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการผลิต เผยแพร่สื่อที่สร้างสรรค์
มีคุณภาพ และควรมีการติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้สื่อเพื่อนำมาวิเคราะห์
วางแผนผลิตสื่อที่เป็นประโยชน์ตรงกับความต้องการที่หลากหลายของประชาชน และ (๒)
ควรดำเนินการตรวจสอบโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจนอย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง
เพื่อให้ตรงกับภารกิจที่จะดำเนินการจริงอย่างเคร่งครัด
และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการ
เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของงบประมาณ
โดยตรวจสอบกรอบวงเงินและแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินการให้ครบถ้วนสมบูรณ์
รวมทั้งการใช้จ่ายต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด พิจารณาเป้าหมาย
ประโยชน์ที่จะได้รับ ผลสัมฤทธิ์ และประสิทธิภาพของหน่วยงานเจ้าของโครงการเป็นสำคัญ
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามแผนพัฒนาดังกล่าวเห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นลำดับแรก
ส่วนกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่าย
ก็เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10315 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ | สงป. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล
และหน่วยงานขององค์กรอิสระและองค์กรอัยการ ตามแนวทางและขั้นตอนการเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๕
หน่วยรับงบประมาณ วงเงิน ๗๓๙.๔๓๙๘ ล้านบาท
๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรอิสระ
และองค์กรอัยการ เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10316 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและเสนอมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม | กค. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio
Guarantee Scheme ระยะพิเศษ Soft Loan พลัส
ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือ SMEs เพิ่มเติม เพื่อให้ SMEs
สามารถเข้าถึงสินเชื่อตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อความต้องการ
โดยภาระงบประมาณสำหรับการชดเชยความเสียหายในอัตราไม่เกินร้อยละ ๑๖
ของวงเงินอนุมัติค้ำประกัน กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙,๑๒๐ ล้านบาท นั้น
เห็นควรให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ ขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน
หากไม่เพียงพอจึงขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะต่อไป ๑.๒
เห็นชอบการปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท การปรับปรุงแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ
SMEs อย่างทั่วถึง
การขยายกลุ่มเป้าหมายโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
(COVID-19) วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการปรับปรุงและขยายเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ
Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๓ ทั้งนี้
กระทรวงการคลังจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง
รวมทั้งการปรับปรุงการดำเนินการดังกล่าวจะต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้เดิมเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน
อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต ประกอบกับในการดำเนินการดังกล่าว
เห็นควรที่กระทรวงการคลังจะได้กำหนดเพดานอัตราการให้สินเชื่อตามกลุ่ม/ประเภท
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านกระบวนการสินเชื่อ
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างครอบคลุม เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยง
ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก NPLs ซึ่งรัฐบาลจะต้องรับภาระชดเชย
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคต
อีกทั้งเพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และเห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
โดยจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย
เช่น (๑) ควรทบทวนตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นกรณีเร่งด่วน
และเน้นการพิจารณาผลการดำเนินงานจากการผลักดันนโยบายของภาครัฐแทนการพิจารณาผลกำไรจากการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและพันธกิจที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับมอบหมายในช่วงเวลานี้
(๒) ควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจเร่งเตรียมบุคลากร กระบวนการ
และระบบการคัดกรองเพื่อออกผลิตภัณฑ์ตามโครงการดังกล่าว
รวมทั้งพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องด้วย (๓) โครงการต่าง ๆ
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจที่เปราะบางและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เช่น กลุ่มท่องเที่ยว และ SMEs ที่เข้าไม่ถึงระบบสถาบันการเงินก่อนเป็นอันดับแรก
และ (๔)
ภาครัฐควรดำเนินการควบคู่ไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs
มีรายได้หมุนเวียนที่จะนำมาชำระหนี้ในอนาคตได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10317 | การประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 3 | กต. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ของการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
ครั้งที่ ๓
และร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการทำงานร่วมกันและสอดคล้องกันระหว่างกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างกับระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศแห่งใหม่
ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับประเด็นที่อาจจะกระทบต่อความมั่นคง
ตลอดจนสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชาชนในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง
ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว อาทิ การจัดการทรัพยากรน้ำ
ควรจะได้มีการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10318 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย ของอ่างเก็บน้ำห้วยสะแบก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้าย
ของอ่างเก็บน้ำห้วยสะแบก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในท้องที่ตำบลบุ่งค้า อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา
หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรมเพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10319 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ | กค. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) จำนวน ๕๕ แห่ง ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่
๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ และวันที่ ๓-๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
(ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกำหนด)
สัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ มีรัฐวิสาหกิจ ๑๖ แห่ง
ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ๓๙ แห่ง
ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ซึ่งจากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
จำนวน ๒๗๒,๕๕๘ คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๑๒,๒๐๘ คน
หรือคิดเป็นร้อยละ ๔ และสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๓-๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีรัฐวิสาหกิจ
๑๔ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ๔๑ แห่ง ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว
เพิ่มขึ้น ๒ แห่ง ซึ่งจากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
จำนวน ๒๗๒,๕๕๖ คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๑๒,๓๐๘
คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๕
๒.
การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา)
โดยสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๒๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ มีรัฐวิสาหกิจ ๒๕ แห่ง
ยังคงดำเนินโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา
โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๐.๐๐ น.
และช่วงระหว่างวันที่ ๓-๗ สิงหาคม ๒๕๖๓ มีรัฐวิสาหกิจ ๒๖ แห่ง
ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเพิ่มขึ้น ๑ แห่ง
โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๐.๐๐ น.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10320 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 14 | สนง. ก.พ. | 18/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ สิงหาคม
๒๕๖๓) ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๗ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด
(๑๔๘ ส่วนราชการ) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
มีส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น
(๗๘ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๓) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
(๗๕ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๑)
และส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทำงานเป็น ๓
ช่วงเวลาเช่นเดียวกับสัปดาห์ที่ผ่านมา (๗๘ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๓)
๒.
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) มีส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง
(๖๙ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๔๗) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการ ๑๗ ส่วนราชการ
(คิดเป็นร้อยละ ๑๒) มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
|