ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 512 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 10221 - 10240 จากข้อมูลทั้งหมด 124251 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
10221 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระยะที่ 3 | กห. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพิ่มเติม งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๘๘๓,๔๒๒,๕๐๐ บาท
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดทำพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State
Quarantine) สำหรับแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ระยะที่ ๓ ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
และให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก
(Alternative State Quarantine) เพิ่มเติมให้มากขึ้นสำหรับผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทยที่มีความพร้อมทางด้านค่าใช้จ่าย
เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของภาครัฐและเป็นการสนับสนุนรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมเอกชนได้อีกทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
๒.
ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10222 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อใช้ในการดำเนินงาน วงเงิน 11,500.000 ล้านบาท และวงเงินกู้ระยะสั้น จำนวน 800.000 ล้านบาท (วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ 2564 | คค. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พุทธศักราช ๒๔๙๔ มาตรา ๓๙ (๔)
โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งพิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดตามความเหมาะสม โดยในส่วนของการขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการกู้เงิน ให้
รฟท. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับเงินกู้เพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ วงเงิน ๑๑,๕๐๐
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท.
ดำเนินการกู้เงินได้ภายหลังจากวงเงินดังกล่าวได้รับการบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ที่ผ่านความเห็นชอบตามขั้นตอนแล้ว
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเงินกู้ระยะสั้น
(วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) วงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท
โดยให้ดำเนินการคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูล
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม
โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาคัดเลือกสถาบันการเงินด้วยวิธีการประมูลวงเงินกู้ระยะสั้น
(วงเงินกู้เบิกเกินบัญชี) ดังกล่าว
เพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านต้นทุนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยตลาด การเร่งรัดดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูการแก้ไขปัญหาขององค์กรให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสากิจ
และมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย โดยเฉพาะการสร้างรายได้จากการบริหารทรัพย์สิน
การจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะ (PSO) ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
และการพิจารณาเบิกใช้เงินกู้ในจำนวนและระยะเวลาที่เหมาะสม
รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารงานเท่าที่จำเป็น
และเร่งรัดการลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเพิ่มรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10223 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ไม่อนุญาตให้รถเข้าไปรับ – ส่งนักเรียนจากศูนย์อพยพผู้หนีภัยการสู้รบบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี | สม. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กรณีอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ไม่อนุญาตให้รถเข้าไปรับ-ส่งนักเรียนจากศูนย์อพยพผู้หนีภัยการสู้รบบ้านถ้ำหิน
อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมกิจการเด็กและเยาวชน)
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครองและสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ)
กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้ว เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม
๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10224 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศรีพุธศิลาทอง ที่จังหวัดตรัง | อก. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการขอผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ศรีพุธศิลาทอง ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒
และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น (๑)
ดำเนินมาตรการทางกฎหมายเพื่อให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(๒) ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม
๒๕๕๙ (๓) ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
(๔) ทำการศึกษาเพื่อประเมินระดับความจำเป็นที่ต้องรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำและความเพียงพอของพื้นที่ป่าต้นน้ำที่คงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
และเมื่อสามารถจำแนกพื้นที่ป่าต้นน้ำดังกล่าวแล้ว ควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำเพื่อไม่ให้มีการบุกรุกหรือนำไปใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป
รวมทั้งการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่มีการผ่อนผันในคราวต่าง
ๆ ด้วย และ (๕) พิจารณาถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
10225 | การสนับสนุนสินค้าและบริการของวิสาหกิจชุมชน | นร. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม และ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการสนับสนุนและจัดซื้อจัดจ้างการผลิตสินค้าและบริการในเรื่องต่าง
ๆ จากวิสาหกิจชุมชน ชุมชน และท้องถิ่น
โดยให้แต่ละหน่วยงานพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างในอัตราส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๓๐
ของมูลค่าความต้องการใช้ทั้งหมดของหน่วยงาน
รวมทั้งให้มีการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ให้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ SMEs ในการขอรับการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินกิจการ
รวมทั้งการจำหน่ายสินค้าและบริการของ SMEs ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ/แต่ละพื้นที่
นั้น
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการสนับสนุนและจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง
และให้จัดทำรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10226 | รายงานสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานในราชการพลเรือนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) | นร.10 | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสภาพการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงานในราชการพลเรือนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานสรุปเรื่องการดำเนินการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป (ภาค ก.) และ (๒)
แนวทางเพิ่มโอกาสการจ้างงานผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ด้วยระบบพนักงานราชการ
โดยคาดว่าการดำเนินการทั้งสองเรื่องดังกล่าวจะช่วยบรรเทาสภาพการณ์ว่างงานภายในประเทศ
โดยบรรจุบุคคลเข้ารับราชการประจำ
ทั้งจากผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน/เลิกจ้างงาน
ซึ่งภายหลังจากการดำเนินการสอบภาค ก. ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕๒๑,๗๒๓ คน
แล้ว ส่วนราชการสามารถดำเนินการจัดสอบภาค ข. และภาค ค.
เพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการได้ ซึ่งจะมีตำแหน่งว่างรองรับการจ้างงาน ประกอบด้วย
อัตราข้าราชการตั้งใหม่ที่มีส่วนราชการได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓
ที่ยังไม่ได้บรรจุจำนวนประมาณ ๒๐,๐๐๐ อัตรา และอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุของข้าราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวนประมาณ ๘,๙๐๐ อัตรา
หรือพิจารณาใช้รูปแบบการจ้างงานแบบสัญญาจ้างเพื่อบรรจุเป็นพนักงานราชการในอัตราว่างตามกรอบอัตรากำลังปกติ
หรือกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการตามแนวทางที่คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการเห็นชอบสำหรับการจ้างงานระยะสั้นไม่เกิน
๒ ปี ซึ่งอาจบริหารจัดการได้จำนวนประมาณ ๑๐,๐๐๐ อัตรา ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10227 | ร่างกฎกระทรวงผู้ดำเนินการสถานพยาบาลตามประเภทและลักษณะการให้บริการทางการแแพทย์ของสถานพยาบาล พ.ศ. .... | สธ. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงผู้ดำเนินการสถานพยาบาลตามประเภทและลักษณะให้บริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาล
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงการกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการทางการแพทย์ของสถานพยาบาลตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล
พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10228 | ขอขยายเวลาการควบรวมกิจการของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) | ดศ. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการควบรวมกิจการของบริษัท
ทีโอที จำกัด (มหาชน) (บมจ.ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (บมจ.กสท
โทรคมนาคม) และการใช้ชื่อบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการ
โดยเมื่อจดทะเบียนจะใช้ชื่อว่า “บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)”
และชื่อภาษาอังกฤษว่า “National Telecom Public Company Limited : NT Plc.” รวมทั้งเห็นชอบการขอขยายเวลาการดำเนินการควบรวมกิจการออกไปอีกไม่เกิน
๖ เดือนนับจากวันที่ครบกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๔ มกราคม ๒๕๖๓) (ครบกำหนด ๖
เดือนเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓) ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอเพิ่มเติมว่า
ขอถอนข้อเสนอที่ขอความเห็นชอบในการยกเว้นให้บริษัท NBN และบริษัท
NGDC ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ
พ.ศ. ๒๕๐๔ ทั้งนี้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท
โทรคมนาคม
ควรตรวจสอบและหามาตรการรองรับในกรณีการขยายเวลาการควบรวมกิจการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ระหว่าง
บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม หรือระหว่างบริษัททั้งสองกับคู่สัญญาฝ่ายเอกชนตามสัญญาหรือข้อตกลงที่บริษัททั้งสองมีคู่สัญญาฝ่ายเอกชน
ในขณะที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติรับทราบการขอขยายเวลาการควบรวมกิจการ
และการกำหนดให้บริษัทมหาชนจำกัดใช้ชื่อโดยมีคำว่า “แห่งชาติ” ประกอบอยู่นั้น
อาจต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ กำกับดูแลการควบรวมกิจการ บมจ.ทีโอที และ
บมจ.กสท โทรคมนาคม ให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการควบรวมกิจการฯ
ที่เสนอในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด
โดยเร่งหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่สำคัญต่อการควบรวมกิจการของทั้งสองบริษัทให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว
เช่น การได้รับสิทธิที่ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ได้รับตามมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๓ กรกฎาคม
๒๕๔๕) ไปยังบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวม เป็นต้น ๒.๒ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอขยายเวลาการดำเนินการควบรวมกิจการของ บมจ.ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม เพิ่มเติมอีกในอนาคต ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเสนอเรื่องการขอขยายเวลาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนครบกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี |
||||||||||||||||||||||||||||||
10229 | การออกกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน [(ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง)] | ลต. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
เนื่องจากมีหน่วยงานของรัฐทยอยเสนอให้ออกกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน
ดังนั้น เพื่อให้การออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
จึงมีมติให้หน่วยงานของรัฐที่ประสงค์จะเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนตามมาตรา
๖๓/๑๕ วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๒ ให้เสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน
๒๕๖๓ เพื่อให้มีการออกกฎกระทรวงในเรื่องนี้รวมเป็นฉบับเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10230 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รายการโครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลเพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ | ตช. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาบริการประชาชนและพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ
โครงการปฏิรูประบบงานตำรวจ กิจกรรมการปฏิรูประบบงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย
งบลงทุน ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จากเดิม
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ แขวงปทุมวัน
เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” เป็น
“โครงการปรับปรุงระบบห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าสู่มาตรฐานสากล
เพื่อรองรับการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ
แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ” ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑๘.๒๖
ล้านบาท ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๑๘ ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว ส่วนที่เหลืออีก
จำนวน ๑๐๐.๒๖ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ไม่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้
จึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ตามหลักเกณฑ์การบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณให้ครบวงเงินค่างานตามสัญญาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
๒.
การจัดทำแผนงาน/โครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบความพร้อมของการดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ
ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐
(เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
อย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10231 | การแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการที่บัญญัติไว้ในมาตรา 180 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....) | นร.10 | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับผู้ทรงคุณวุฒิ
โดยไม่ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
และการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญเพราะความตาย
เกษียณอายุหรือออกจากราชการเพราะถูกลงโทษ
โดยไม่ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง
เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๘๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นั้น
เพื่อให้การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ
สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงลงมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกฎหมายในความรับผิดชอบ
หากมีกรณีที่จะต้องดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๑๘๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ในทำนองเดียวกันกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้เร่งรัดการพิจารณาเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าวโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||
10232 | การขอปรับแผนงานและงบประมาณในการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) | ดศ. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
การขอปรับแผนงานปรับปรุงประสิทธิภาพโครงข่ายที่ออกแบบเพื่อทดแทนการยกเลิกระบบ Phetchaburi-Sriracha (PS) ภายใต้กิจกรรมย่อยที่
๑ และแผนงานก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ Asia Direct Cable (ADC) ภายใต้กิจกรรมย่อยที่ ๓ โดยงบประมาณการดำเนินการดังกล่าวคงอยู่ในวงเงิน
๕,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ ๑.๒ การปรับแผนการดำเนินโครงการ
ASEAN Digital Hub ในกิจกรรมย่อยที่
๑ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทำให้ระบบเคเบิลใต้น้ำ PS ไม่สามารถใช้งานได้ตามแผนที่ได้ออกแบบไว้
จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงโครงข่ายซึ่งมีผลกระทบต่อวงเงินงบประมาณและระยะเวลาดำเนินงาน และกิจกรรมย่อยที่ ๓
การลงทุนก่อสร้างระบบโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่มีกรอบระยะเวลาตามสัญญาก่อสร้างระบบเคเบิลใต้น้ำ
ADC ที่แตกต่างจากที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบ
โดยขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการกิจกรรมย่อยที่ ๓ จากปี พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็น พ.ศ.
๒๕๖๕ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
ควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแล
การดำเนินการโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (๒)
การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง
โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดำเนินการ
และควรกำหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูระบบนิเวศไว้ด้วย และ (๒)
การดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน กิจกรรมที่ ๒ (ASEAN
Digital Hub) จะสามารถรองรับความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น
จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||
10233 | ขออนุมัติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน มาดำเนินรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดินเพื่อการชลประทาน | กษ. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมชลประทานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
จากรายการที่ได้มีการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและได้กันเงินไว้ตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลัง
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๓ จำนวน ๑๖ รายการ วงเงินรวม ๑,๐๕๙.๑๙๓๐ ล้านบาท มาดำเนินการในงบลงทุน
ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน
จำนวน ๙ รายการ วงเงินรวม ๑,๐๕๙.๑๙๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ในการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณจากรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ได้กันเงินไว้และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทัน
มาดำเนินรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน
ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดินเพื่อการชลประทาน และควรเร่งรัดดำเนินโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่เริ่มโครงการ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
10234 | ขออนุมัติในหลักการเตรียมความพร้อมโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี | กษ. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบการเตรียมความพร้อมโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่าง
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อกรมชลประทานจะได้ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นตอนการสำรวจ-ออกแบบรายละเอียดและชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโครงการ
และ (๒) กระบวนการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้าง และงานเตรียมความพร้อมเพื่อก่อสร้าง
ทั้งนี้ เมื่อมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ แล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติดำเนินโครงการอีกครั้งและเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น
ควรมีการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาผลกระทบในองค์รวม
และควรศึกษาแนวทางเลือกของแหล่งเงิน เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาแนวทางเลือกของแหล่งเงินในการดำเนินโครงการฯ
นอกเหนือจากงบประมาณ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
10235 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการทุจริตในการบริหารจัดการงบประมาณโครงการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ | ปช. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันความเสี่ยงเกี่ยวกับการทุจริตในการบริหารจัดการงบประมาณโครงการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ใน
๓ ระบบ ได้แก่ (๑) ระบบการจัดสรรงบประมาณ ตั้งแต่การเสนอโครงการเพื่อขอรับงบประมาณ
และการอนุมัติโครงการ (๒) ระบบการบริหารงบประมาณ การเบิกจ่ายงบประมาณ
และการใช้จ่ายงบประมาณ และ (๓) ระบบการติดตามและประเมินผล
และการรายงานผลการดำเนินโครงการ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงบประมาณ เช่น
ให้ดำเนินการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริตตามแนวทางที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด
และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปดำเนินการตามภารกิจ
รวมทั้งติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
10236 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้่นที่ 1 เอ เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ตามคำขอต่ออายุประทานบัตร ที่ ๗/๒๕๕๗
(ประทานบัตรที่ ๒๘๐๓๔/๑๕๗๒๓) ของบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เช่น (๑)
ผู้รับอนุญาตต้องดูแล รักษา และปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้ทำหมืองแร่และบริเวณใกล้เคียง
เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของพื้นที่ทั้งหมดที่ได้รับอนุญาต (๒)
คณะรัฐมนตรีสามารถผ่อนผันการใช้พื้นที่ดังกล่าวได้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่กำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่
และคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า
การดำเนินการดังกล่าวมีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่
และ (๓) กระทรวงอุตสาหกรรมควรดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านอุปทานและความต้องการใช้แร่ในภาพรวมและแร่ชนิดต่าง
ๆ
รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยให้ชัดเจน
และควรพิจารณาตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองพื้นที่ป่าต้นน้ำต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับติดตามการดำเนินการของผู้ได้รับประทานบัตรให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการกำกับติดตามฯ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๓ ปี
ตลอดอายุประทานบัตรด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคมต่อท้องถิ่นและประเทศของการผ่อนผันให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ
เปรียบเทียบกับมูลค่าความเสียหายจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้น
ให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||
10237 | ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ 3 | ปช. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต
(Corruption Perceptions Index : CPI) ระยะที่ ๓ (พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ
ป.ป.ช.) เห็นว่า ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับ CPI (ระยะที่ ๑)
และข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับคะแนน CPI ระยะที่ ๒ ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ
เช่น ความไม่สอดคล้องของปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข
การขาดการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน
และการขาดระบบการติดตามและการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น โดยคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ได้มีข้อเสนอแนะและได้มอบหมายให้มีหน่วยงานหลักเพื่อดำเนินการในประเด็นต่าง
ๆ ด้วยแล้ว ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับสำนักงาน ป.ป.ช.
เพื่อพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินการต่าง ๆ
ควรปรับปรุงกฎและระเบียบเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
และควรศึกษาแนวทางการดำเนินการและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประเทศที่มีคะแนนในแหล่งข้อมูลมากกว่า
๕๐ คะแนน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
10238 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | กค. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน
พ.ศ. ๒๕๖๓
เกี่ยวกับประเภทของพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนและกำหนดวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับพัสดุส่งเสริมวิสาหกิจและการประกอบอาชีพพัสดุส่งเสริมพัสดุที่ผลิตในประเทศ
และพัสดุส่งเสริมพัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เห็นว่า
ร่างกฎกระทรวงตามหมวด ๒ ข้อ ๖ (๖) เป็นการครอบคลุมกิจการเพียง ๒ ประเภท ได้แก่
กิจการผลิตสินค้า และกิจการให้บริการ จากทั้งหมด ๔ ประเภท ที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓
ซึ่งประกอบด้วยกิจการผลิตสินค้า กิจการให้บริการ กิจการค้าส่ง และกิจการค้าปลีก
นอกจากนี้
กิจการค้าส่งและกิจการค้าปลีกเป็นการประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ที่มีการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐเป็นลำดับ ๒ รองจากการก่อสร้าง
จึงเห็นควรที่จะต้องกำหนดให้มีการครอบคลุมกิจการค้าส่งและค้าปลีก
รวมทั้งเห็นควรปรับปรุงรายละเอียดของหมวด ๒ ข้อ ๗ (๒) (ก) จาก “รายการสินค้า” เป็น
“รายการสินค้าบริการ”
เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางธุรกิจของผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
และสอดคล้องกับประเภทการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ
(จ้างทำของ/จ้างเหมาบริการ) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ทุกปีงบประมาณไปยังสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมผ่านระบบการรายงานผลการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Government Procurement : e-GP) และการขึ้นบัญชีรายการพัสดุและบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการไทย
ควรกำหนดให้สะดวกและไม่เป็นภาระแก่ผู้ประกอบการไทย
โดยอาจดำเนินการโดยใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งต้องมีความโปร่งใสตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
10239 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ด่านศุลกากรเชียงแสน) | กค. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน พ.ศ.
๒๕๖๐ เพื่อปรับปรุงสถานที่ตั้งด่านศุลกากร เขตศุลกากร
และด่านพรมแดนของด่านศุลกากรเชียงแสน
เนื่องจากด่านศุลกากรเชียงแสนได้ย้ายสถานที่ปฏิบัติราชการไปสถานที่แห่งใหม่
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติพิธีการศุลกากรและการตรวจของที่ขนส่งมาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
10240 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 (23rd Meeting of the ASEAN Socio - Cultural Community: ASCC Council) ผ่านระบบการประชุมทางไกล | พม. | 01/09/2563 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๓ (23rd Meeting of the ASEAN Socio-Cultural
Community : ASCC Council) เมื่อวันที่ ๒๓
มิถุนายน ๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ซึ่งที่ประชุมได้มีมติร่วมกันในประเด็นต่าง
ๆ เช่น (๑) สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และแนวคิดหลัก
“แน่นแฟ้นและตอบสนอง”
และแผนงานสำคัญสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (๒)
รับรองถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ครั้งที่ ๒๓ และเห็นชอบให้เสนอเอกสารผลลัพธ์สำคัญต่อผู้นำอาเซียนเพื่อรับรอง
หรือเพื่อรับทราบ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๖ จำนวน ๓ ฉบับ (๓)
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการประเมินผลแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ค.ศ. ๒๐๒๕ ในระยะครึ่งแผน
และให้นำเสนอแผลการประเมินดังกล่าวต่อผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่
๓๗ ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ และ (๔)
รับทราบรายงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนเกี่ยวกับความก้าวหน้าในประเด็นต่าง
ๆ ที่ต้องบูรณาการระหว่างสาขา และระหว่างสามเสาของประชาคมอาเซียน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|