ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 386 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 7701 - 7720 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
7701 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) (ศบค.) ครั้งที่ 18/2564 | นร.04 | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.)
ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๔ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สรุปได้ดังนี้ ๑)
รายงานสถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ๒) รายงานการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓) ผลการดำเนินการเปิดประเทศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน
๒๕๖๔ ๔) การดำเนินการโครงการ Factory Sandbox ในระยะที่ ๒ ๕)
แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ๖) มาตรการควบคุมโรคและปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร
๗) แนวทางการนำแรงงานต่างด้าวเข้าราชอาณาจักรภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19
และ ๘) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7702 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓
ฉบับ ดังนี้ ๑.
ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๘) ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์ขึ้นใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรคจำแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์
(พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม
พื้นที่เฝ้าระวังสูง และพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว)
และกำหนดให้บรรดามาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น
และข้อปฏิบัติสำหรับพื้นที่สถานการณ์ต่าง ๆ
รวมทั้งมาตรการเตรียมความพร้อมภายใต้พระราชกำหนดฯ (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่๓๐ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๔ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ๒.
คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ที่ ๒๑/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
พื้นที่ควบคุมสูงสุด พื้นที่ควบคุม และพื้นที่เฝ้าระวังสูง ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๖ จังหวัด (จังหวัดตาก
จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา)
พื้นที่ควบคุมสูงสุด รวมทั้งสิ้น ๓๙ จังหวัด (เพิ่มจังหวัดจันทบุรี) พื้นที่ควบคุม
รวมทั้งสิ้น ๒๓ จังหวัด และพื้นที่เฝ้าระวังสูง รวมทั้งสิ้น ๕ จังหวัด ๓. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ ๒๒/๒๕๖๔ เรื่อง การจัดโครงสร้างของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๙) ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ด้านการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นโครงสร้างภายในของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
โดยมีปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นหัวหน้าศูนย์
และผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าว เป็นผู้ปฏิบัติงานในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7703 | ขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา | ทส. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เทศบาลนครหาดใหญ่เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
รายการ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เทศบาลนครหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ๑ แห่ง ภายในกรอบวงเงิน ๑๔๖,๑๒๙,๖๓๔.๒๖ บาท
โดยให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๙๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท เงินกองทุนสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
และเงินนอกงบประมาณที่เทศบาลนครหาดใหญ่สมทบ จำนวน ๔๗,๑๒๙,๖๓๔.๒๖ บาท และอนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7704 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 21 | กต. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
(Indian Ocean Rim
Association Council of Ministers : IORA COM)
ครั้งที่ ๒๑ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ธากาในการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย
ครั้งที่ ๒๑ โดยไม่มีการลงนาม ในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ โดยร่างแถลงการณ์ธากาเป็นเอกสารผลผลลัพธ์การประชุมฯ
เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ (๑) ยินดีต่อการรับตำแหน่งประธานของบังกลาเทศ (๒)
รับทราบถึงการทำหน้าที่อย่างดียิ่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธาน
ระหว่างปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ (๓) ส่งเสริมความร่วมมือและสนับสนุนให้สมาคมฯ
มีบทบาทหลักในการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอินเดียอย่างยั่งยืน เพื่อการพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
และการรับมือกับความท้าทาย รวมถึงประเด็นสำคัญอื่น ๆ โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโรคโควิด-๑๙
(๔) รับทราบผลการคัดเลือกเลขาธิการสมาคมฯ คนใหม่ (๕) รับรองสหพันธรัฐรัสเซียและซาอุดิอาระเบียเป็นประเทศคู่เจรจา
ลำดับที่ ๑๐ และ ๑๑ ของสมาคมฯ (๖)
รับทราบการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑)
และผลการจัดทำแผนปฏิบัติการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ฉบับที่สอง (ค.ศ. ๒๐๒๒-๒๐๒๗)
และ (๗) รับทราบการปรับปรุงการบริหารจัดการของสมาคมฯ เกี่ยวกับกฎระเบียบเรื่องบุคลากรและด้านการเงิน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแถลงการณ์ธากา
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7705 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2564 และแนวโน้มปี 2564 - 2565 | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี
๒๕๖๔ และแนวโน้มปี ๒๕๖๔-๒๕๖๕
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๔ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๐.๓
เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๗.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๖๔ ลดลงจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๔ ร้อยละ ๑.๑ (QoQ_SA) รวม ๙ เดือนแรก ของปี ๒๕๖๔ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๑.๓ โดยด้านการใช้จ่าย
การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐปรับตัวลดลง ขณะที่การส่งออกสินค้า การลงทุนภาคเอกชน
และการใช้จ่ายภาครัฐบาลขยายตัว การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ ๓.๒ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ
๔.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ที่มีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาครัฐบาล
การลงทุนรวมโดยการลงทุนภาคเอกชน การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัวในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น
เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ รถยนต์นั่ง และลดลงในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าลดลง
ได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ส่วนด้านการผลิต
สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาก่อสร้าง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้และประมง
สาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร สาขาการเงิน ขยายตัว
การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
สาขาการไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงต่อเนื่อง ๒.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๔ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๒ ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ
จากการลดลงร้อยละ ๖.๑ ในปี ๒๕๖๓ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒
และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๒.๕ ต่อ GDP เทียบกับการเกินดุลร้อยละ ๔.๐ ต่อ GDP ในปี ๒๕๖๓ ๓.
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๕ คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๕ ปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า
ๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (๑) การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการผลิตตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลงและความคืบหน้าของการกระจายวัคซีน (๒) การฟื้นตัวอย่างช้า ๆ
ของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศภายใต้นโยบายการเปิดประเทศของภาครัฐ (๓)
การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการส่งออกสินค้า (๔)
การขับเคลื่อนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ และ (๕) ฐานการขยายตัวที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ ๔.๙
ขณะที่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ ๔.๓ และร้อยละ ๔.๒
ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๖ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ
๐.๙-๑.๙ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP ๔.
การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของในปี ๒๕๖๔ และ ปี ๒๕๖๕ ควรให้ความสำคัญกับ
(๑) การป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศให้อยู่ในวงจำกัด (๒) การสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ
(๓) การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการท่องเที่ยวภายในประเทศ
(๔) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า (๕) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (๖)
การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และ (๗) การติดตามและเฝ้าระวังความผันผวนของภาคเศรษฐกิจต่างประเทศที่มีแนวโน้มที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7706 | ร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 4 | กต. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกการประชุม (Agreed Minutes) ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-เวียดนาม
(Joint Commission on Bilatteral Cooperation : JCBC) ครั้งที่ ๔ ผ่านระบบทางไกล ในวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างบันทึกการประชุมฯ
โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้านทั้งในระดับทวิภาคและพหุภาคี
โดยเฉพาะการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมและมองไปข้างหน้าในบริบทของการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของทั้งสองประเทศจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิค-๑๙
รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามในฐานะ
“หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข็มแข็ง (Strengthened
Strategic Partnership)”
ให้มีผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและตอบสนองต่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
โดยเน้นความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโต ความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติ และความเป็นหุ้นส่วนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-เวียดนาม
ครั้งที่ ๔ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7707 | การขออนุมัติกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง | พน. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเป็นจำนวนไม่เกิน
๓๐,๐๐๐
ล้านบาท (ปัจจุบันกำหนดไว้ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การกู้เงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ในการกู้ยืมเงินแต่ละคราวให้ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอเหตุผลความจำเป็นในการกู้เงิน
รายละเอียดการกู้เงินซึ่งประกอบด้วยแผนการกู้เงิน แผนการใช้จ่ายเงินกู้
และแผนการชำระหนี้ต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ วงเงินกู้จะต้องไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือวงเงินอื่นที่กำหนดตามพระราชกฤษฎีกา
การกู้ยืมเงินของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการก่อหนี้สาธารณะ
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะต้องพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๓.อนุมัติการกู้ยืมเงิน
โดยให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดำเนินการกู้เงินเฉพาะวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามกรอบของกฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอยู่
และจะดำเนินการกู้เงินเพิ่มเติม วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ได้ต่อเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้แล้ว
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความสามารถในการชำระหนี้ คำนึงถึงกรอบและวินัยการใช้จ่ายเงิน
การกู้เงินเป็นการก่อหนี้สาธารณะ
ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘
และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเคร่งครัดด้วย
และควรกำหนดแนวทางการบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีความยืดหยุ่นและรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕.
ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ควรคำนึงถึงกรอบและวินัยการใช้จ่ายเงิน
และเร่งดำเนินการศึกษาและกำหนดมาตรการในระยะยาวในการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศให้เป็นไปตามกลไกตลาดและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันให้กับประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7708 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 14/2564 | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๔/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๒) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๑) เพิ่มเติม ครั้งที่ ๑ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ สำหรับการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ของหน่วยงานรับผิดชอบ (๒) มอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบที่ได้รับอนุมัติดำเนินโครงการใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
และพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
เร่งดำเนินการคืนเงินกู้เหลือจ่ายและรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเสนอกระทรวงการคลัง
(๓) อนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี ๒๕๖๔
รอบที่ ๕ ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรอบวงเงิน ๒๐,๘๒๙.๒๓๔๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงาน/โครงการกลุ่มที่ ๑
ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ (๔)
มอบหมายให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี
๒๕๖๔ รอบที่ ๕ และดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายเดือน
เพื่อให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สามารถจัดหาเงินกู้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อ ๑๕
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดตามขั้นตอนต่อไป
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้กระทรวงต้นสังกัดและหน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง และรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์
ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7709 | การเร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น - หนองคาย | นร. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมทางรถไฟในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศมีความเชื่อมโยงกันตลอดทั้งสายและสามารถรองรับความต้องการในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากการเปิดประเทศและการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงกันของประเทศเพื่อนบ้าน
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
เร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทางคู่ระยะที่ ๒ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้ถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7710 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น
เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา
ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เห็นชอบในหลักการของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีทั้ง
๗ โครงการ กรอบวงเงิน ๔๙๔ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปร วาระพิเศษ (Specialized Expo) ณ จังหวัดภูเก็ต
ภายใต้ชื่องาน EXPO-๒๐๒๘-Phuket, Thailand และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในนามของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
(Letter candidature) ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการพิจารณาความเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการด้านการเยียวยา ฟื้นฟู
และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้านการท่องเที่ยว ด้านเกษตร
ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7711 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564) | ปสส. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ได้แก่
ร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๒
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๑๗
พฤศจิกายน ๒๕๖๔ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๓
ครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7712 | ขออนุมัติดำเนินงานโครงการประมูลสิทธิ์งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2572 | กษ. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการยื่นประมูลสิทธิ์การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. ๒๕๖๙ (ระดับ B) และจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. ๒๕๗๒ (ระดับ A1) ต่อสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
(จังหวัดอุดรธานีและจังหวัดนครราชสีมา) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการและสนับสนุนค่าใช้จ่ายร่วมกับภาครัฐด้วย
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการดำเนินงานและการบริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังจากการจัดงานไว้เป็นการล่วงหน้าด้วย
พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดความเหมาะสมในการดำเนินงานที่สะท้อนถึงความคุ้มค่าและผลที่คาดว่าจะได้รับทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในกรณีที่จะมีการกำหนดให้งานมหกรรมพืชสวนโลกเป็นงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสสำคัญเช่น
ฉลองสิริราชสมบัติหรือเฉลิมพระชนมพรรษาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7713 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อจัดให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่าที่ราชพัสดุเพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ณ จังหวัดสงขลา | กค. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ วันที่ ๒๓ กรกฎาคม
๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อจัดให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่าที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ สข.๑๑๐๐
(บางส่วน) ตำบลพะวง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ประมาณ ๕-๐-๖๕.๘๐ ไร่ เพื่อเป็นที่ทำการและที่พักเจ้าหน้าที่สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน
ณ จังหวัดสงขลา
โดยกรมธนารักษ์จะได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖
โดยจัดสรรงบประมาณให้กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมไม่น้อยกว่า
๒๐ เท่าของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม
กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖
อย่างเคร่งครัดต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกขั้นตอน
ควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการว่าด้วยการบริหารศูนย์ราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๒ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7714 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วม แสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ คือ กระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
เห็นชอบให้มีการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมฯ ฉบับลงนามวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ข้อ ๕ (๒) กำหนดให้
“แถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ มีอายุสาม (๓) ปี และอาจมีการต่ออายุได้อีกสอง (๒) ปี
อย่างต่อเนื่องกัน ตามความเห็นของทั้งฝ่าย” ประกอบกับ
ความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ฉบับลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓
มีการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ต่อเนื่องไปอีก ๒ ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
จึงได้ระบุให้ความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ ฉบับล่าสุด
เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๒๒พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยการต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ควรพิจารณาให้มีการระบุสาขาที่ต่างฝ่ายต่างสนใจในขอบเขตความร่วมมือของแถลงการณ์ร่วม
และฝ่ายไทยควรเสนอสาขาที่มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาคมนาคมขนส่งระบบราง
และฝ่ายเยอรมนีมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านนี้อย่างชัดเจน
และฝ่ายเยอรมนีสามารถกำหนดกิจกรรมหรือผู้ประกอบการเยอรมนีที่สนใจในการแลกเปลี่ยนหรือมีส่วนร่วมในการผลักดันเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศไทยได้ต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7715 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ซึ่งมีประเด็นการพัฒนาและข้อสั่งการสรุปได้
ดังนี้ (๑) พัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานอย่างยั่งยืน (๒)
การพัฒนาระบบและสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าภาคเกษตร ประมงและปศุสัตว์ที่มีศักยภาพในพื้นที่
เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (๓)
การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพต้นทุนมนุษย์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และ (๔)
ประเด็นอื่น ๆ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบด้วย
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7716 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) | ตช. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขและบรรเทาผลกระทบแก่คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวตามประเภทการตรวจลงตรา
(รวมทั้งการตรวจลงตรา Visa on Arrival) คนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิการยกเว้นการตรวจลงตรา
และคนต่างด้าวที่ได้รับสิทธิตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
โดยให้ได้รับการขยายระยะเวลาอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการแจ้งที่พักอาศัยต่อไปได้
ตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ สิงหาคม ๒๕๖๔) [เรื่อง มาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙] ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของบุคคลควบคู่ไปด้วย
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและการแสวงประโยชน์จากห้วงเวลาดังกล่าวในการกระทำความผิด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7717 | การนำเสนอแหล่งมรดกทางธรรมชาติ พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารบัญชีรายชื่อเบื้องต้น
พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นำเสนอแหล่งมรดกทางธรรมชาติ พื้นที่แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน เพื่อเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยพื้นที่ที่นำเสนอขึ้นทะเบียนประกอบด้วย
๖ พื้นที่อุทยาน และ ๑ พื้นที่ป่าชายเลน ครอบคลุมพื้นที่ ๓ จังหวัด ได้แก่
จังหวัดระนอง (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะระนอง (อุทยานแห่งชาติแหลมสน
และป่าชายเลนจังหวัดระนอง) จังหวัดพังงา (อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง) และจังหวัดภูเก็ต
(อุทยานแห่งชาติสิรินาถ) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปี ๒๕๖๕ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเตรียมแผนการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานแห่งชาติให้มีความจำเป็นและครบถ้วน
และให้ความสำคัญกับความร่วมมือในทุกภาคส่วน
และควรมีการติดตามเสนอแหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามันของเมียนมาเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
ซึ่งหากมีอาจส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการดำเนินการของประเทศไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7718 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และ 2563 ในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล 21 จังหวัด | ทส. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน
ในพื้นที่ป่าชายเลน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และ ๒๕๖๓ ในท้องที่จังหวัดชายฝั่งทะเล
๒๑ จังหวัด เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลนเนื้อที่รวม
๔,๑๐๕-๐-๐๔
ไร่ ไปดำเนินการจัดที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยให้ชุมชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ที่เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือบนชายหาดทะเล
ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนัยพระราชบัญญัติการเดินเรือน่านน้ำไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
กำหนดให้ชุมชนที่ได้รับอนุญาตให้ทำกินในป่าชายเลนดังกล่าวมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้นจากที่เป็นอยู่ด้วย
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนเป็นไปอย่างยั่งยืน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และการคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีพื้นที่ทำกิน
รวมถึงกำหนดให้มีมาตรการป้องกันและคุ้มครองการบุกรุกพื้นที่ป่า
และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าชายเลน
รวมทั้งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อกฎหมายของพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๕ ว่าด้วยที่จับสัตว์น้ำ
ควรให้หน่วยงานดำเนินการตามมาตรา ๖๒ ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7719 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ พ.ศ. .... | กก. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวและใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว
ครั้งละ ๒,๐๐๐ บาท
และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวสาขา ครั้งละ ๑,๐๐๐
บาท เป็นระยะเวลา ๒ ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ
และยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์ ครั้งละ ๒๐๐ บาท เป็นระยะเวลา
๕ ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณและ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ควรมีมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความเพียงพอของรายได้ดอกผลของกองทุนในช่วงระยะเวลาการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าว
พิจารณาวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยวที่จะมีรายได้ลดลงจากค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับรายได้เพื่อมิให้กระทบต่อสภาพคล่องและเสถียรภาพของกองทุนคุ้มครองธุรกิจนำเที่ยวในอนาคตด้วย
และกำหนดแนวทางส่งเสริมคุณภาพของมัคคุเทศก์ โดยการสร้างและพัฒนาความรู้และทักษะของมัคคุเทศก์ที่ถูกกฎหมายให้มีคุณภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7720 | แนวทางการดำเนินงานส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2565 (Visit Thailand Year 2022) | กก. | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย ๒๕๖๕ (Visit Thailand Year 2022)
เพื่อเป็นแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้กลับมาฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-19) ที่ได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจในการนำรายได้เข้าประเทศเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจภาพรวมและสังคมของประเทศ
เพื่อประกาศความพร้อมของประเทศในการพลิกโฉม เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในปี ๒๕๖๕
สร้างจุดขายที่แตกต่างให้กับประเทศไทย พร้อมยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในฐานะ
Quality Destination สู่การเป็น Preferred
Destination และดึงดูด
เชิญชวนและกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความสนใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|