ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 389 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 7761 - 7780 จากข้อมูลทั้งหมด 124006 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
7761 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะที่ 8 | กห. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ วงเงิน ๑๓๐,๕๖๙,๗๐๐ บาท
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) ระยะที่ ๘
(ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ถึงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔) สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ในส่วนของสถานที่เอกชน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7762 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) ที่ค้างเบิก ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กห. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ วงเงิน ๑,๓๕๗,๒๖๒ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ
(State Quarantine) ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
ให้กระทรวงกลาโหมเร่งตรวจสอบและจัดทำรายละเอียดเพื่อประกอบการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ สำหรับการดำเนินการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ
(State Quarantine) ให้ถูกต้อง ชัดเจน
และครบถ้วนด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7763 | การแก้ไขกฏหมายว่าด้วยการควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา | นร. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานว่า
เนื่องจากได้รับแจ้งจากองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World Anti-Doping Agency : WADA) ว่า
ประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติด้านการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา
จึงมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา
พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเร็ว เพื่อให้สอดคล้องกับประมวลกฎต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (World
Anti-Doping Code)
ที่บังคับใช้ทั่วโลกทุกชนิดกีฬา เช่น
การกำหนดให้หน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับการควบคุมตรวจสอบการใช้สารต้องห้ามของประเทศไทยเป็นหน่วยงานอิสระ
แก้ไขบทนิยามเกี่ยวกับสารต้องห้ามทางการกีฬา เป็นต้น
ซึ่งหากประเทศไทยดำเนินการแก้ไขกฎหมายล่าช้า จะส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันกีฬานานาชาติหรือเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันกีฬานานาชาติได้
อันจะทำให้กระทบต่อวงการกีฬาของประเทศและภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อนานาประเทศ
รวมทั้งอาจสูญเสียมูลค่าทรัพย์สินทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก
จึงควรแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ให้มีผลใช้บังคับโดยเร็วภายใน ๓-๔ เดือน ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายวิษณุ เครืองาม) รายงาน ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
การกีฬาแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย
ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ.
๒๕๕๕ ให้สอดคล้องกับประมวลกฎต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก โดยให้พิจารณารูปแบบความเหมาะสมที่จะตราเป็นกฎหมายตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หรือตราเป็นพระราชกำหนดตามมาตรา ๑๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไปโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7764 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล) | คค. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ
๑๔๐,๐๐๐ บาท
รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจำปีและสิทธิประโยชน์อื่น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7765 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ของกองทุนการออมแห่งชาติ | กค. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ของกองทุนการออมแห่งชาติ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๕๐๕.๓๙๔๐ ล้านบาท ให้แก่กองทุนการออมแห่งชาติ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเบิกจ่ายเงินสมทบให้กับสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ ตามกฎหมายพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7766 | การเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Trans-Pacific Partnership : CPTPP) | อื่นๆ | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๓, ๒๖
มกราคม และ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(Comprehensive and
Progressive Trans-Pacific Partnership : CPTPP) นั้น เพื่อให้การดำเนินการเพื่อเข้าร่วมความตกลง CPTPP เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ
เร่งรัดดำเนินการ ดังนี้ ๑. นำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลง
CPTPP
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมทุกมิติ
โดยให้บูรณาการการทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมกันด้วย ๒. สร้างการรับรู้ให้แก่ภาคเอกชนและประชาชน
รวมทั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไร (Non Governmental Organizations : NGOs) เพื่อให้เกิดความเข้าใจในหลักการและเหตุผลตลอดจนประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมความตกลง
CPTPP ให้ถูกต้องและทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7767 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2564 | กษ. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง
(กปส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔ โดยที่ประชุมได้มีมติรับทราบและเห็นชอบเรื่องต่าง
ๆ เช่น รับทราบผลการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวงและหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง
และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง และเห็นชอบแผนกลยุทธ์มูลนิธิโครงการหลวงระยะ
๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ซึ่งมีวิสัยทัศน์มุ่งสืบสานพระราชปณิธานในการพัฒนาทางเลือกบนพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้วยการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างยั่งยืน ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ซึ่งมีเป้าหมายพื้นที่การดำเนินงานในพื้นที่โครงการหลวงและขยายผลสำเร็จโครงการหลวงไปพัฒนาพื้นที่สูงจำนวน
๓,๒๓๐ หมู่บ้าน ตามที่คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7768 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.9/2559 คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.7/2564 ระหว่าง นายประทีป นิลวรรณ ที่ 1 กับพวกรวม 281 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา | อส. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.๙/๒๕๕๙ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๗/๒๕๖๔ ระหว่าง นายประทีป นิลวรรณ
ที่ ๑ กับพวกรวม ๒๘๑ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน
ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) เรื่อง
คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ทำให้คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7769 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่ 5 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 | มท. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่ ๕
โดยให้จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
ในฐานะหน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ครั้งที่ ๕ รวม ๑๑ จังหวัด จำนวน ๑,๐๑๓ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๓,๔๘๔,๒๗๐,๓๘๑ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุดที่ นร ๐๗๑๕/๑๙๔๗๓
ลงวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๔) และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่ ๑
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔)
ที่ให้ประเมินผลการดำเนินโครงการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งกำกับ ดูแล
การดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด
และจัดเตรียมแผนรองรับการดำเนินโครงการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และดำเนินโครงการแล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่โดยเร็ว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7770 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคสาม และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | กก. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า ๑
ปีงบประมาณก่อนได้รับเงินประจำงวด และสามารถลงนามในสัญญาได้ก่อนวันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๔ วงเงินรวม ๒๐๔,๓๗๒,๙๐๐ บาท สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยน
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายรายการต่าง ๆ จำนวน ๑๘ รายการ ได้แก่ ค่าเช่าอาคารที่ทำการ
ททท. จำนวน ๙ สำนักงาน ค่าเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ททท. จำนวน ๖ รายการ
ค่าเช่าที่จอดรถยนต์ ททท. จำนวน ๒ รายการ และค่าเช่าคลังเก็บวัสดุ ททท. จำนวน ๑
รายการ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ใช้บังคับ ให้ ททท. ใช้จ่ายตามรายการและวงเงินงบประมาณรายจ่ายของ ททท.
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้ ททท. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการในรายการเช่าทั้ง ๑๘ รายการ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า
และประหยัด ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ควรพิจารณาความเหมาะสมและการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า
เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
ที่ส่งผลให้เกิดวิถีใหม่ในการดำรงชีวิตและการทำงาน พร้อมกับรายงานผลการดำเนินงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7771 | กรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ 2565 | นร.11 สศช | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบกรอบและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕ วงเงินดำเนินการ จำนวน ๑,๔๘๕,๔๕๖ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน
จำนวน ๓๐๗,๔๗๙ ล้านบาท ประกอบด้วย (๑)
กรอบการลงทุนสำหรับงานตามภารกิจปกติและโครงการต่อเนื่อง วงเงินดำเนินการ จำนวน
๑,๑๘๕,๔๕๖ ล้านบาท และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕๗,๔๗๙ ล้านบาท และ (๒)
กรอบการลงทุนสำหรับการเพิ่มเติมระหว่างปี วงเงินดำเนินการ จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท
และวงเงินเบิกจ่ายลงทุน จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และการลงทุนที่ใช้เงินงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ให้ดำเนินการได้เมื่อได้รับอนุมัติตามขั้นตอนแล้ว ทั้งนี้
กำหนดเป้าหมายให้รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕
ของกรอบวงเงินอนุมัติให้เบิกจ่ายลงทุน ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับวงเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๕
ให้สอดคล้องกับผลการจัดสรรงบประมาณตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ รวมถึงงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม งบกลาง
หรืองบประมาณที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการงบประมาณหรือได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณแล้ว
และปรับเพิ่มกรอบวงเงินดำเนินการและกรอบวงเงินเบิกจ่ายลงทุนให้สอดคล้องกับการอนุมัติการลงทุนเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้รัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการได้ทันทีภายในปีงบประมาณ ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงงบลงทุนระหว่างปีในส่วนงบลงทุนเพื่อการดำเนินงานปกติและโครงการต่อเนื่องที่การเปลี่ยนแปลงไม่มีผลกระทบต่อสาระสำคัญและกรอบวงเงินโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้ว ๑.๔ เห็นชอบข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ระดับกระทรวง และระดับรัฐวิสาหกิจ
โดยให้กระทรวงเจ้าสังกัดและรัฐวิสาหกิจรับข้อเสนอแนะในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ
และเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจรายงานผลความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการลงทุนปี ๒๕๖๕
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในทุกวันที่ ๕
ของเดือนอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะและความก้าวหน้าการดำเนินโครงการลงทุนทุกไตรมาส
เพื่อประโยชน์ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงานและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๕ รับทราบประมาณการงบทำการประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๕ ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ ๖๕,๑๗๑ ล้านบาท
และประมาณการแนวโน้มการดำเนินงานช่วงปี ๒๕๖๖-๒๕๖๘
ของรัฐวิสาหกิจในเบื้องต้นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเฉลี่ยประมาณปีละ ๔๒๘,๙๕๓ ล้านบาท
และผลประกอบการจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยประมาณปีละ ๘๒,๗๒๒ ล้านบาท ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ)
ดำเนินการวิเคราะห์และประเมินรัฐวิสาหกิจทุกแห่งทั้งในด้านผลการดำเนินงาน
ความจำเป็นในการคงอยู่ และแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต
และให้ประสานกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดกลยุทธ์การพัฒนารัฐวิสาหกิจเพื่อพลิกโฉมประเทศไทย
โดยให้ความสำคัญกับการร่วมลงทุนในบริษัท/กิจการที่มุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
และการพัฒนาแผนการดำเนินธุรกิจตามแนวทางของ BCG Model รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจด้วย ๓.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณที่โดยปกติมีการเบิกจ่ายน้อยกว่าครึ่งหลังของปีงบประมาณ
เพื่อให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจสามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด
๑๙ ได้อย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7772 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2513 เรื่อง การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแพทย์ | สธ. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘
ธันวาคม ๒๕๑๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแพทย์
โดยกำหนดคุณสมบัติของนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุน
ดังนี้ นักศึกษาทุกคนจะต้องทำสัญญาเป็นข้อผูกพันว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต
และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม จึงจัดสรรให้ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน
และต้องทำงานให้แก่ราชการเป็นเวลา ๓ ปี ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข
และแนวทางปฏิบัติสำหรับนักศึกษาแพทย์ผู้สำเร็จการศึกษาที่ไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ซึ่งยังควรต้องมีข้อผูกพันในการทำงานชดใช้ทุนให้แก่ราชการให้เหมาะสมและชัดเจน
รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
เช่น (๑)
กระทรวงสาธารณสุขควรจัดทำแผนความต้องการอัตรากำลังแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข
และภาคส่วนอื่น (๒) ควรกำหนดเงื่อนไขการปฏิบัติงานชดใช้ทุน
และแนวทางการจ้างงานรูปแบบอื่นสำหรับนักศึกษาแพทย์ที่สอบไม่ผ่าน และ (๓)
ควรนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาปรับใช้ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7773 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ 2 | พณ. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย
ครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๒๗ กันยายน
๒๕๖๔ โดยเป็นการประชุมในรูปแบบวีดิทัศน์ทางไกล ซึ่งมีสาระสำคัญที่จะหยิบยกในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย
ครั้งที่ ๒ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดการประชุมเตรียมการฝ่ายไทยกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่
๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ เพื่อพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ (๑) สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (๒) การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบาย
กฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้อง และการหารือความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน
และ (๓) การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ทั้งนี้
หากในการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงในประเด็นอื่น ๆ
ด้านเศรษฐกิจการค้า ที่นอกเหนือจากท่าทีฯ ดังกล่าว อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย
โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา
ขอให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้
และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลัง รวมทั้ง รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่างไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเรเซีย ครั้งที่ ๒
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น
เพื่อใช้โอกาสดังกล่าวในการขยายตลาดไปยังประเทศสมาชิกสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซียได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7774 | ขอปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค 4.0 (มาตรการด้านการเงิน) | อก. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน
(Local Economy Loan)
ภายใต้มาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐
(มาตรการด้านการเงิน) ดังนี้ (๑) ระยะเวลากู้ยืม เดิม เงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term Loan) ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน
๗ ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) สูงสุดไม่เกิน
๑๒ เดือน เป็น เงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term Loan) ระยะเวลากู้ยืมสูงสุดไม่เกิน
๑๐ ปี โดยมีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น (Grace Period) สูงสุดไม่เกิน
๒ ปี (๒) อัตราดอกเบี้ย เดิม ปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๗ เป็น ปีที่ ๔ ถึงปีที่ ๑๐
ให้เป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยกำหนด
และ (๓) หลักประกัน เดิม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมค้ำประกัน
โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SME ทวีค่า (Portfolio
Guarantee Scheme ระยะที่ ๘)
หรือโครงการค้ำประกันสินเชื่อโครงการอื่น ๆ
ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
หรือหลักประกันตามที่ธนาคารกำหนด เป็น ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยค้ำประกัน
หรือหลักประกันตามที่ธนาคารกำหนด ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ควรคำนึงถึงและรักษาสิทธิของลูกหนี้ที่ได้รับสินเชื่อไปแล้วก่อนที่มีการปรับปรุงรายละเอียดในครั้งนี้ด้วย
ควรมีการติดตามและช่วยเหลือลูกหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน คำนึงถึงงบประมาณของภาครัฐที่จะเกิดขึ้น
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และประหยัด ไม่ซ้ำซ้อน
รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบด้วย และประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs สู่ยุค ๔.๐ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุน
SMEs ในอนาคตให้มีความเหมาะสมต่อไป รวมทั้งควรมีกระบวนการพิจารณาการให้สินเชื่อที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตามเงื่อนไขใหม่ที่ผ่อนปรน
เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7775 | ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของราชการพลเรือนภายใต้ความท้าทายใหม่ | นร.10 | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7776 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) สำหรับโครงการจัดทำระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) | กค. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
(Development Policy Loan : เงินกู้ DPL) สำหรับโครงการจัดทำระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่
(New GFMIS Thai) ของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง ออกไปอีก ๖ เดือน
จากเดิมที่จะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๔
เป็นสิ้นสุดระยะเวลาการเบิกจ่ายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ควรติดตามเร่งรัดสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ให้ดำเนินโครงการและเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามระยะเวลาที่กำหนด
โดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7777 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบ¬อนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตในการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... | สธ. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต
และการออกใบแทนใบอนุญาตในการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต
การออกใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตในการประกอบโรคศิลปะ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ที่ควรเร่งพัฒนาการให้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว
พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่ามีการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์อีกช่องทางหนึ่งด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7778 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี | อก. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงว่า
ได้มีการลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่ในบริเวณที่ บริษัท ทีพีไอ
โพลีน จำกัด (มหาชน) ยื่นขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑
บี ที่จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๔ แล้ว ขอยืนยันว่า
คำขอของบริษัทฯ ในครั้งนี้เป็นคำขอเพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ตามประทานบัตรเดิม
โดยพื้นที่ดังกล่าวในปัจจุบันไม่เหลือสภาพป่าไม้หรือสภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ แล้ว
ดังนั้น การขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัทฯ
จึงไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมแต่อย่างใด ๒.
อนุมัติการขอผ่อนผันให้บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)
ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒-๓/๒๕๕๓ และที่ ๑-๘/๒๕๕๕ ที่จังหวัดสระบุรี
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมติดตามและกำกับดูแลให้บริษัทฯ
ดำเนินการทำเหมืองในพื้นที่ที่ได้รับประทานบัตรอยู่เดิมเท่านั้นอย่างเคร่งครัด
และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด
ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ
และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม
ที่เห็นว่า อาจให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณากำหนดเงื่อนไขในประทานบัตรให้บริษัทฯ
ปฏิบัติเพิ่มเติมและบังคับให้ผู้ถือประทานบัตรปฏิบัติตามกฎหมายและเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
เช่น อาจสั่งให้หยุดประกอบกิจการ หรือสั่งเพิกถอนประทานบัตร หรือควรพิจารณานำเอาความผิดหรือคดีมาประกอบการพิจารณาอนุญาตในอนาคต
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลกับบริษัทฯ
กรณีการทำเหมืองนอกเขตพื้นที่ประทานบัตรและการทำเหมืองในพื้นที่ห้ามทำเหมือง (Buffer
Zone) ด้วย ๔.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการหรือเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับการออกประทานบัตรหรือต่ออายุประทานบัตรให้มีความชัดเจนและเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ทั้งนี้
ในกรณีที่มีการจงใจละเมิดกฎหมายหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประทานบัตรจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือประชาชนอย่างชัดเจนให้พิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการเพิกถอนประทานบัตรด้วย
รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง
ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ๑ บี เอเอ็มและ ๑ บีเอ็ม
เพื่อทำเหมืองแร่ ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี] ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์สำหรับโครงการที่จะขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เพื่อการทำเหมืองแร่และเพื่อการต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่
ในทุกกรณีอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7779 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ และนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา) | วธ. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๔ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร ๒. นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7780 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางศิริวรรณ สุคนธมาน) | นร. | 21/09/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นางศิริวรรณ สุคนธมาน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|