ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 382 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 7621 - 7640 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
7621 | การตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล ระยะเวลา 1 ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT | สธ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล
ระยะเวลา ๑ ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดประเภทการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทใหม่ให้สอดรับกับระยะเวลาและกระบวนการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน
รวมทั้งเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางเข้าสู่ประเทศให้แก่ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกำลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล
โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข
ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. ๒๕๒๒ และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการตรวจ การยกเว้น
และการเปลี่ยนประเภทการตรวจลงตรา พ.ศ. ๒๕๔๕
พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
การเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติผ่านการอำนวยความสะดวกที่มากขึ้นจากกระบวนการหรือเอกสารที่ใช้ประกอบการขอรับการตรวจลงตรา
การตรวจคุณสมบัติและประวัติกลุ่มบุคคลที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
เพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
และการให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ
ที่มีผู้ป่วยเป็นพาหะ ทั้งโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7622 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2564 | นร.11 สศช | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุมครั้งที่
๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดังนี้ (๑) อนุมัติให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ จำนวน ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ โดส (Sinovac)
โดยขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิมสิ้นสุดเดือนตุลาคม ๒๕๖๔
เป็น สิ้นสุดเดือนธันวาคม ๒๕๖๔ (๒) อนุมัติให้กรมการจัดหางาน ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ
SMEs เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์
รวมทั้งธุรกิจ SMEs สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง (๓) มอบหมายให้กรมการจัดหางาน
กำหนดให้มีกลไกการตรวจสอบสภาพการจ้างงานใหม่
กรณีที่เป็นลูกจ้างรายวันจากฐานข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก
โดยการจ่ายเงินอุดหนุนจากรัฐผ่านโครงการฯ
ต้องอยู่บนเงื่อนไขของการให้เงินอุดหนุนตามจำนวนลูกจ้างรายวัน ๑ ราย ต่อ ๑ นายจ้าง
เท่านั้น และ (๔) รับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๑ (๑๐ กรกฎาคม-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๔) พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ โดยเคร่งครัด ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว
หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการอีก
รายงานเงินกู้เหลือจ่ายให้กระทรวงการคลังทราบ
และส่งคืนเงินกู้เหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากคลัง โดยเร็ว และมอบหมายให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ
และตามรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ราย ๓ เดือน ครั้งที่ ๑ โดยเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้
การจัดหาเงินและการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กรมการจัดหางานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่ควรเร่งรัดการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7623 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ และผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร.07 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
(ไตรมาสที่ ๔) และผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7624 | (ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ (พ.ศ. 2564-2565) | กก. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติ
(ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวตาม
(ร่าง) แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕)
อันเป็นกรอบทิศทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 และภายหลังสถานการณ์ดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม
และเกิดการบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้มีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาตัวชี้วัดเชิงคุณภาพและกระบวนการติดตามและประเมินผล
รวมทั้งกำหนดมาตรการในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการท่องเที่ยว
โดยให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทในการดำเนินการการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ตลอดจนการพัฒนากระบวนการหรือแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ
ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ
การเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านการท่องเที่ยว และจัดทำให้เป็นระบบข้อมูลเปิด (Open Data) ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น แลกเปลี่ยนเรียนรู้
สร้างความร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียน ควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและการสะท้อนผลลัพธ์ในแต่ละโครงการ
ควรส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า และควรมีการบูรณาการการขับเคลื่อนระหว่างหน่วยงานภายใต้แผนฯ
และมีการติดตามประเมินผลแผนฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. การขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕) และการจัดทำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติฉบับต่อไป ให้คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม
เพื่อให้การกำหนดหรือการดำเนินมาตรการ/โครงการที่เกี่ยวข้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยเฉพาะการยกระดับกลไกการดำเนินงาน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวในรูปแบบที่หลากหลาย
รวมทั้งควรเน้นย้ำความสำคัญของการใช้อำนาจแบบอ่อน (Soft
power)
ในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น
ประเด็นวัฒนธรรมและค่านิยม โดยพัฒนาและยกระดับมาตรฐาน Soft power ของประเทศให้สอดคล้องกับความปกติใหม่ (New normal) อย่างเป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7625 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564) | ปสส. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ได้แก่ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ
ค.ศ. ๑๙๗๓ ที่แก้ไขปรับปรุงโดยพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๗๘ ภาคผนวก ๕
ว่าด้วยกฎข้อบังคับสำหรับการป้องกันมลพิษจากขยะบนเรือ ร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสถาปนิก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๑๑ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๑ ธันวาคม
๒๕๖๔ พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๑๒
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๓ ครั้งที่ ๑๓
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๔
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7626 | ขออนุมัติวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2564/65 เพิ่มเติม | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๔/๖๕
เพิ่มเติม จำนวน ๗๖,๐๘๐.๙๕ ล้านบาท จำแนกเป็น วงเงินจ่ายชดเชยให้เกษตรกร จำนวน
๗๔,๕๖๙.๓๑ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
จำนวน ๑,๕๑๑.๖๔ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี
๒๕๖๔/๖๕ จำนวนทั้งสิ้น ๘๙,๓๐๖.๓๙ ล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๔ โดยการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส.
ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้
ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินการจริง
ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ ธ.ก.ส. ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของ
ธ.ก.ส. ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑)
ตรวจสอบพื้นที่และที่มาของปริมาณผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วนไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน และ (๒)
กำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่มีปริมาณมากและคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning)
และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการ
ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ดังกล่าว มาใช้ในการดำเนินโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตได้ต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๙
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7627 | การชดเชยต้นทุนเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโครงการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการคู่ขนาน ปี 2564/65 | นร. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเกี่ยวกับการชดเชยต้นทุนเงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโครงการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการคู่ขนาน
ปี ๒๕๖๔/๖๕ แล้ว
มีมติเห็นชอบเป็นหลักการให้กำหนดอัตราการชดเชยต้นทุนเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรและมาตรการคู่ขนาน ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕
ที่ดำเนินการตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (เรื่อง
ผลการหารือการชดเชยต้นทุนเงิน ธ.ก.ส. โครงการประกันรายได้เกษตรกร ปี ๒๕๖๔/๖๕
และมาตรการคู่ขนาน)
ในอัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ประจำไตรมาส บวก
๑ โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7628 | ขออนุมัติโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง ระยะที่ 3 | กษ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนยาง
ระยะที่ ๓ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๖๕.๖๙
ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรณีราคายางตกต่ำ
ในช่วงวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นรวมทั้งค่าบริหารโครงการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและการยางแห่งประเทศไทยดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔)
ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงินให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ประจำไตรมาส บวก ๑ โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การยางแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๐๗๑๘/๑๒๙ ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔) และกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรอบวงเงินภายใต้ตามมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ มีวงเงินคงเหลือไม่เพียงพอ
ให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย
เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๕
กรณีเกษตรกรชาวสวนยางมีเป้าหมายในการดำเนินการในพื้นที่ป่าไม้จะต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง
ครบถ้วน เป็นไปตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวน พ.ศ. ๒๕๐๗
และพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ตลอดจนระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ยางระยะ ๒๐ ปี
เพื่อยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางและการพัฒนาอาชีพและรายได้ของเกษตรกรให้มีความมั่นคงโดยไม่สร้างภาระด้านงบประมาณแก่ประเทศไทยในระยะยาว
และเร่งพิจารณาแหล่งเงินตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณทั้งในปัจจุบันและอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปิดบัญชีโครงการที่รัฐบาลรับภาระชดเชยค่าใช้จ่ายในการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการตามนัยมาตรา
๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อให้สามารถนำกรอบวงเงินที่เหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว
มาใช้ในการดำเนินงานโครงการอื่นที่มีความจำเป็นในอนาคตต่อไป
รวมทั้งให้เร่งรายงานผลการดำเนินการและผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินโครงการตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7629 | โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 | พณ. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยอนุมัติกรอบวงเงินโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว
ปีการผลิต ๒๕๖๔/๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๕๔,๙๗๒.๗๒
ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ตามผลการดำเนินงานจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้
ในส่วนของอัตราการชดเชยต้นทุนทางการเงิน ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
ให้ใช้อัตราต้นทุนทางการเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ประจำไตรมาส บวก ๑
โดยให้มีการปรับเปลี่ยนอัตราต้นทุนทางการเงินตามอัตราที่แท้จริงทุกไตรมาส
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ดังนี้ ๒.๑ รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า (๑) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ต้องจัดทำบัญชีสำหรับการดำเนินกิจกรรม
มาตรการ หรือโครงการที่ได้รับมอบหมายแยกต่างหากจากบัญชีการดำเนินงานทั่วไป
พร้อมทั้งเสนอรายงานผลการดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและผลสัมฤทธิ์ต่อรัฐมนตรี
เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ รวมทั้งเผยแพร่ผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ตามนัยบทบัญญัติมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ
(๒) เนื่องจากโครงการสนับสนุนสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและโครงการประกันรายได้พืชต่าง
ๆ เป็นนโยบายของรัฐที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาและมีการดำเนินการเป็นประจำ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางด้านการคลัง
หากกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเห็นว่า ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการต่อในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖
ก็ควรบรรจุโครงการรัฐดังกล่าวในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนปกติเพื่อไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็น
เช่น ภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันภาระดอกเบี้ยที่รัฐบาลต้องจ่ายให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ในกรณีที่รัฐบาลใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการต่าง
ๆ มีจำนวนประมาณ ๙,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี ๒.๒ รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทุกโครงการ
ตลอดจนคำนึงถึงการกระจายความช่วยเหลือไปยังเกษตรกรในสาขาหรือพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นด้วย
และ (๒) เพื่อให้เกิดการปรับปรุง พัฒนา
และเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำให้มีความเข้มแข็งและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ตลอดจนลดภาระงบประมาณของภาครัฐระยะยาว เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ (๒.๑) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ข้าวไทย
ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๗ ให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และ (๒.๒) ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรเตรียมพร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปสู่การผลิตสินค้าเกษตรที่สร้างมูลค่าสูงและมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
๒.๓ รับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (๑) เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่และที่มาของผลผลิตข้าว ราคาซื้อขายในตลาด
จำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียน ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก
และจำนวนสถาบันเกษตรกร ให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อนในทุกมิติ
โดยดำเนินการในพื้นที่ที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนจัดทำต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยง และความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์
เพื่อกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกันรายได้ที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป
และ (๒) ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมพิจารณากำหนดมาตรการหรือกลไกเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลผลิตที่ปริมาณมาก และคุณภาพสูง ใช้ต้นทุนต่ำ
และการปลูกข้าวแต่ละชนิดตามความเหมาะสมของพื้นที่ (Zoning) และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่แท้จริง
โดยไม่ให้เกิดส่วนต่างที่เกินความจำเป็นของราคาที่รัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้น
และจะต้องคำนึงถึงศักยภาพและความสามารถของภาครัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณ
ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ตามกฎหมายวินัยการคลัง
รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มีนาคม ๒๕๖๔ อย่างเคร่งครัดด้วย (เช่น ให้มีการปฏิรูปภาคการเกษตร
พิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณ ให้มีความเหมาะสม
ติดตามสถานการณ์การขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวที่เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายทุกปี
และจัดระบบตรวจสอบกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรให้มีความรัดกุม เป็นต้น) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7630 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 11 | กต. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑๑ และเห็นชอบให้พิจารณามอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เห็นว่า หากแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๕ มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นอาชญากรรมข้ามชาติ เห็นควรให้เพิ่มสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบร่วมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7631 | การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ | นร.04 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงว่า
การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการประจุไฟฟ้าของรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ราชการสามารถดำเนินการได้ตามระเบียบของทางราชการ
โดยกรณีที่เป็นการเช่ารถยนต์ส่วนกลาง
การเบิกจ่ายค่าบริการประจุไฟฟ้าถือเป็นค่าสาธารณูปโภคซึ่งเป็นดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการตามนัยข้อ
๑๘ (๑)
ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๓ และกรณีที่เป็นรถยนต์ประจำตำแหน่ง
ผู้ใช้รถประจำตำแหน่งเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวเองตามนัยข้อ ๒๑
ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ)
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะ ความเหมาะสมของค่าใช้จ่าย
และแนวทางการดำเนินการต่าง ๆ
เกี่ยวกับการเช่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในภารกิจของหน่วยงานของรัฐ
ให้แล้วเสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว ๓. อนุมัติเป็นหลักการว่า
ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
(Electric
Vehicle: EV) ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ให้ทุกส่วนราชการสามารถจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ (รถตู้หรือรถกระบะ) สันดาปภายใน
หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน
ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้
ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้เน้นรถยนต์ HEV หรือ PHEV
เป็นหลัก
เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายในการก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างน้อยร้อยละ
๓๐ ภายในปี ๒๕๗๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7632 | ผลการศึกษาและข้อเสนอด้านกฎหมายในการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทย | นร15 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการศึกษาและข้อเสนอด้านกฎหมายในการพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว
ในการประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๔
ที่ให้มีการศึกษาแนวทางการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและสอดคล้องกับข้อตกลงระหว่างประเทศ
โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้แก่ ข้อผูกพันตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
การใช้กลไกทางตลาดในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การดำเนินการที่ผ่านมาของไทย โดยไทยได้พัฒนาตลาดคาร์บอนรูปแบบความสมัครใจ ตามที่สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอ
และให้สำนักงาน ป.ย.ป.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่ายังไม่สมควรตรากฎหมายในเรื่องนี้ในชั้นนี้เพราะอาจทำให้การพัฒนาตลาดคาร์บอนไม่ทันต่อการพัฒนาตลาดคาร์บอนของต่างประเทศได้
ควรปล่อยให้กลไกตลาดพัฒนาจนมีความแน่นอนไปสักระยะหนึ่งก่อน
แต่หากว่าเห็นสมควรตรากฎหมายขึ้น ก็สมควรตรากฎหมายจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดคาร์บอนขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก
ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารทุนหมุนเวียน
และการพัฒนากฎหมายดังกล่าวจะต้องสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงานกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดเป้าหมายและมาตรการในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสาขาต่าง
ๆ เช่น สาขาพลังงาน สาขาเกษตร สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
ให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศ
เพื่อให้การพัฒนาตลาดคาร์บอนในประเทศไทยเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการในระยะสั้น
ให้พิจารณากำหนดเป้าหมายและมาตรการในการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วและทันการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๕ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7633 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 19/2564 | นร. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 สรุปได้ ดังนี้ ๑) รายงานสถานการณ์และคาดการณ์แนวโน้มการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ๒) รายงานผลการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๓) ผลการดำเนินงานและแผนการเปิดประเทศ และการจัดทำเว็บไซต์หลักของประเทศไทย (Thailand.go.th) ๔) สถานการณ์แรงงานในประเทศและความก้าวหน้าในการนำแรงงานเข้าประเทศ ๕) การปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ๖) การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร และมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 (กิจการสถานบันเทิง) และ ๗) การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ ๑๕) ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรประเภท Test and Go นั้น ให้คงวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ตามคำสั่ง ศบค. ที่ ๑๗/๒๕๖๔ เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๗) ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ ต่อไป ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายสาธิต ปิตุเตชะ) เสนอa
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7634 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ | นร.09 | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในราชการ) เป็นการชั่วคราว และให้พิจารณาจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์โดยสาร ๑๒ ที่นั่ง (รถตู้) สันดาปภายใน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ไปพลางก่อนได้ในระหว่างที่โครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการใช้งานระบบรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7635 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2564 | กค. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๕๐
และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๔
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ภาระหนี้ประกอบกับแผนการกู้เงินและการชำระหนี้ในอนาคตพบว่า
อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
และยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดไว้
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7636 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 10 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และมาตรา 8 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | กค. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๐
แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และมาตรา ๘ แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการรายงานความเป็นมาและข้อเท็จจริง
รายละเอียดของการกู้เงิน วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกู้และรายละเอียดโครงการ
และผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับของโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7637 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการท่องเที่ยวทางน้ำอย่างยั่งยืน ในยุค New Normal ของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา | สว. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการท่องเที่ยวทางน้ำอย่างยั่งยืน ในยุค New Normal ของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว
วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานผลการศึกษาดังกล่าว
ซึ่งมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวทางน้ำ
โดยสรุปผลการพิจารณาว่า ได้มีการดำเนินการฝึกอบรมอาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยว
การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทางน้ำ ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย
และได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่พัก ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7638 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | ตช. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตในการดำเนินงานโครงการต่าง
ๆ ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) แยกเป็นโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ๑๙๑ คดี
และโครงการคนละครึ่ง ๘๕ คดี และ (๒)
แยกเป็นคดีที่อยู่ระหว่างการสอบสวนเสร็จส่งพนักงานอัยการ ๒๑ คดี
ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ๑ คดี และอื่น ๆ เช่น อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานอื่น ๆ
๕ คดี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7639 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบริหารจัดการด้านกฎหมายในกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเห็นสมควรดำเนินการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมข้อพิพาทในด้านสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา | สว. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การบริหารจัดการด้านกฎหมายในกรณีที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเห็นสมควรดำเนินการไกล่เกลี่ย ประนีประนอมข้อพิพาทในด้านสิทธิมนุษยชน
ของคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๒๖ (๑) บัญญัติไว้เพียงให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกกรณีโดยไม่ล่าช้า
และเสนอมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย
สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้อย่างชัดแจ้ง
เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งสอดคล้องกับหลักการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมและเป็นไปตามหลักการปารีสเกี่ยวกับสถานะของคณะกรรมการฯ
ที่มีอำนาจหน้าที่กึ่งศาล รับฟังและพิจารณาข้อร้องเรียนและเรื่องราวร้องทุกข์เพื่อหาแนวทางยุติปัญหาอย่างสมานฉันท์ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ทั้งนี้ ควรนำประเด็นเกี่ยวกับผลทางกฎหมายของบันทึกข้อตกลง หลักอายุความสะดุดหยุดลง
และการกำหนดกรณีข้อพิพาทที่มิให้นำมาไกล่เกลี่ย ไปพิจารณาประกอบการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวให้มีความเหมาะสมต่อไปด้วย
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7640 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2564 | กค. | 30/11/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งประกอบด้วย ๒ ส่วน ได้แก่ ๑) รายงานการกู้เงินและการค้ำประกันที่ทำในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้ว
และรายงานหนี้สาธารณะ และ ๒) รายงานผลการประเมินความสำเร็จของโครงการหรือแผนงานที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ
จำนวน ๒๓ โครงการ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|