ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1579 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31561 - 31580 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31561 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐชุดใหม่ | ยธ | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ชุดใหม่ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลให้องค์กรในภาครัฐจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ดำเนินการจัดสรรทรัพยากรสนับสนุนแผนงาน โครงการ ตามแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ อำนวยการและประสานการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมทั้งติดตามประเมินผลและแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ ๑.๒ ให้ส่วนราชการหน่วยงานภาครัฐจัดสรร/เจียดจ่ายเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในโครงการต่าง ๆ แบ่งไปใช้จ่ายดำเนินการสนับสนุนในโครงการ/กิจกรรมตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินการตามแผนมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐพิจารณาปรับแผนการดำเนินงานและแผนใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของหน่วยงานมาดำเนินการ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และรายงานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ทราบ และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ควรเน้นส่งเสริมให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาเป็นพลังร่วมในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการ โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทของภาคธุรกิจเอกชนในการป้องปรามการทุจริตคอรัปชั่น และการสร้างภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมต่าง ๆ การเร่งพัฒนาช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานภาครัฐ การดำเนินโครงการขนาดใหญ่ การจัดสรรทรัพยากร และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบค่าใช้จ่ายภาครัฐในทุกระดับ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ ๆ ที่มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคมและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสนับสนุนให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31562 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา และค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ | คค | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ (งานโยธา) และค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธา ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินและการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ วงเงิน ๑๐,๐๐๑.๗๑ ล้านบาท ซึ่ง รฟม. ได้ดำเนินการกู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปแล้ว วงเงิน ๘,๐๐๐ ล้านบาท และเห็นชอบการกู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๒,๓๐๓.๐๖ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ รฟม. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลัง โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินและการให้กู้ต่อของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงิน ๓,๐๖๙ ล้านบาท ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป โดยให้ทยอยเบิกเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น และในส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนให้ รฟม. บันทึกการลงทุนในโครงการฯ ดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๑.๔ ให้ รฟม. นำเสนอคณะรัฐมนตรีขอความเห็นชอบการกู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเป็นคราว ๆ ไป ภายใต้กรอบวงเงินของโครงการฯ ดังกล่าวตามความเหมาะสมและจำเป็น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. จัดทำแผนการดำเนินงานโครงการก่อสร้าง แผนการกู้เงินและการเบิกจ่ายเงินกู้ และการบริหารจัดการแผนดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องตามแผนการใช้จ่ายจริง เพื่อไม่ให้เกิดภาระในด้านดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอันจะก่อให้เกิดภาระแก่งบประมาณแผ่นดินในระยะยาว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31563 | การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ปี 2555 | รง | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ปี ๒๕๕๕ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ แล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองฯ ประกอบด้วย ๑.๑ การเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายเวลาการพิสูจน์สัญชาติและการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว และการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเพิ่มเติม) ที่ได้เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๒ การพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงาน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ) ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๓ การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ และแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมายตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจ้างแรงงานระหว่างรัฐ (MOU) จากอัตราปกติ ๒,๐๐๐ บาท เหลือ ๕๐๐ บาท และสามารถขออยู่ต่อได้อีกครั้งเดียว ค่าธรรมเนียมในอัตรา ๕๐๐ บาทเช่นกัน ๑.๔ การขยายเวลาการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ออกไปอีก ๑ ปี ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองฯ ควรมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวทั้งระบบอย่างยั่งยืน และควรจัดทำแผนงานรองรับอย่างรอบคอบ ชัดเจน และรัดกุม บนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติอย่างสมดุล ทั้งมิติการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิทธิมนุษยชน โดยคำนึงถึงเงื่อนเวลาที่กระชั้นชิดในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวกลุ่มใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ให้เสร็จทันตามกำหนดก่อนวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ส่วนการขยายเวลาเริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ออกไปอีก ๑ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารือกับประเทศต้นทางอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าวเข้าใจในการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น ไปประกอบการดำเนินการด้วย ๓. เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อดำเนินการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31564 | โครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด) | มท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด และเกาะหมาก จังหวัดตราด) ในวงเงินลงทุนรวม ๑,๔๑๓ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๐๕๙ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๓๕๔ ล้านบาท รวมทั้งการกู้เงินในประเทศ จำนวน ๑,๐๕๙ ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของเกาะกูด และเกาะหมาก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ๑.๑.๒ เป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ เชื่อมโยงระบบจำหน่าย ๒๒ กิโลโวลต์ ด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด ๑.๑.๓ ปริมาณงาน ก่อสร้างเชื่อมโยงระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๒๒ กิโลโวลต์ ไปยังเกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด รวมระยะทางประมาณ ๕๐ วงจร - กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างระบบจำหน่ายแรงสูง หม้อแปลง และระบบจำหน่ายแรงต่ำ ๑.๑.๔ ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ได้แก่ เพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าบนเกาะให้สามารถจ่ายไฟได้อย่างเพียงพอและมีคุณภาพเชื่อถือได้ รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับโรงจักรไฟฟ้าดีเซลทั้งของ กฟภ. และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาล ๑.๒ ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสาเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ (เกาะกูด เกาะหมาก จังหวัดตราด) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการพิจารณาแหล่งเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างรอบคอบและเหมาะสมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของ กฟภ. ในอนาคต การพิจารณาจัดทำแผนและเส้นทางการวางสายเคเบิลใต้น้ำที่ชัดเจน การกำหนดมาตรการป้องกันการเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้างและระบุไว้เป็นเงื่อนไขสำคัญในขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) ของโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระหว่างการก่อสร้าง การดำเนินการตามมาตรการและแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลในพื้นที่เกาะกูด และเกาะหมาก ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าของประเทศ การพิจารณากำหนดอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และบังกะโล บนเกาะต่าง ๆ รวมถึงเกาะกูด และเกาะหมาก จังหวัดตราด โดยกำหนดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการให้มีอัตราที่สูงกว่าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย เพื่อให้สะท้อนต้นทุนโครงการฯ ที่เกิดขึ้นจริง และค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยวไม่ให้เกินขีดความสามารถในการรองรับการพัฒนาของพื้นที่ การศึกษาขีดความสามารถในการรองรับการพัฒนา (Carrying Capacity) ของเกาะกูด และเกาะหมาก การจัดทำแผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ แผนการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้ กฟภ. ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลโดยเฉพาะแนวปะการังให้น้อยที่สุด รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่อย่างเคร่งครัด เพื่อรองรับการพัฒนาของพื้นที่ การขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและธุรกิจท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ให้ กฟภ. พิจารณากำหนดอัตราค่าใช้ไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าเดิมประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ควรรับภาระในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทผู้ประกอบการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31565 | ร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... | สธ | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ โดยมีปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง ผู้แทนสมาคมเกี่ยวกับการประกอบกิจการเพื่อสุขภาพและผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๒ กำหนดให้จัดตั้งสำนักส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพขึ้นในกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชา และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ และให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๓ กำหนดให้การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ การยื่นคำขอ การอนุญาต การย้ายหรือเปลี่ยนแปลงสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาตให้ต่ออายุ การขอรับใบแทนใบอนุญาตและการขอออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ๑.๔ กำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้รับอนุญาต และผู้ดำเนินการ ๑.๕ กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการควบคุมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ และการโฆษณาเกี่ยวกับการให้บริการเพื่อสุขภาพ ๑.๖ กำหนดหลักเกณฑ์การพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ ๑.๗ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการอุทธรณ์คำสั่งไม่ออกใบอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ต่ออายุ การพักใช้ใบอนุญาตหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาต ๑.๘ กำหนดบทกำหนดโทษกรณีที่มีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ และให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับคำนิยาม “กิจการนวดเพื่อสุขภาพ” กับ “การนวดเพื่อเสริมสวย” ควรแยกแยะให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ การเพิ่มตำแหน่งอธิบดีกรมการท่องเที่ยวร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ เนื่องจากสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ของกรมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจด้านสปาถูกจัดให้เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การกำหนดขอบเขตอำนาจการออกประกาศของรัฐมนตรีให้ชัดเจน การเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับผู้โฆษณาที่ฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อนุญาต และการกำหนดผู้มีอำนาจเปรียบเทียบปรับให้ชัดเจน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักส่งเสริมสถานประกอบการเพื่อสุขภาพในกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะต้องไม่เป็นเหตุให้ขอเพิ่มอัตรากำลังซึ่งจะมีผลกระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐ และควรกำหนดให้มีการถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจและรับรองคุณภาพมาตรฐานของสถานประกอบการให้ภาคส่วนอื่นดำเนินการแทน เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง มาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการตามมาตรา ๓๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
31566 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การฟื้นฟูการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง" | สสป | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การฟื้นฟูการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ น้อมนำพระบรมราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มากำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เป็นเป้าหมายในการสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ๑.๒ กำหนดแนวทางการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยการพัฒนาอย่างสมดุลและผสมผสาน ๓ ด้าน คือ การพัฒนาด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารและพัฒนาประเทศ โดยยึดหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน รวมทั้งมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ความรอบรู้ และคุณธรรม ๑.๓ กำหนดให้วันที่ ๑ - ๗ พฤษภาคมของทุกปี เป็นสัปดาห์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ โดยจัดให้มีการประชุมสมัชชาแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และควรแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองระดับชาติและระดับจังหวัด ทำหน้าที่ส่งเสริม ประสานงาน ติดตาม และประเมินผล ตลอดจนจัดทำแผนพัฒนาอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ โดยคณะกรรมการควรประกอบด้วยผู้แทนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางรับผิดชอบขยายผลการดำเนินงานตามแผนอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการประสานงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และควรรณรงค์ให้มีการฝึกอบรมการพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมตามหลักศาสนาทุกหลักสูตร ทุกกลุ่มคน ทั้งในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนอย่างกว้างขวาง โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นแกนกลางในการดำเนินงานและประสานงาน รวมทั้งควรกำหนดให้การพัฒนาตามแนวอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ต้องร่วมกันทำทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยให้เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทุกกระทรวงถือเป็นหน้าที่จะต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการพัฒนาชน และชุมชนในเมือง โดยการรวมกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาจิตใจ สังคม เศรษฐกิจ รวมทั้งพัฒนาประชาธิปไตย โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นแกนกลางในการดำเนินงานและประสานงาน ๑.๕ จัดให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง โดยใช้สื่อทุกรูปแบบทั้งสื่อของรัฐและสื่อของประชาชน เพื่อให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ เยาวชน และประชาชนทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ มีความรู้ความเข้าใจอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองอย่างถูกต้อง น้อมนำอุดมการณ์ดังกล่าวไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นด้วยกับข้อเสนอในการน้อมนำพระบรมราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” มากำหนดเป็นอุดมการณ์ของชาติ เป็นเป้าหมายในการสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และได้มีการดำเนินการอยู่แล้วทั้งในทิศทางการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และนโยบายรัฐบาล ๒.๒ แนวทางการพัฒนาตามอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ซึ่งยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้มีการน้อมนำมาดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในยุทธศาสตร์การพัฒนาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และทุกส่วนราชการ ๒.๓ การกำหนดให้วันที่ ๑ - ๗ พฤษภาคมของทุกปี เป็นสัปดาห์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองแห่งชาติ มีความเหมาะสม และควรมอบหมายให้หน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ระดับชาติ ในส่วนระดับจังหวัดควรพิจารณากลไกที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ คณะกรรมการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ๒.๔ การมอบหมายให้หน่วยงานราชการดำเนินการตามแนวทางอุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการกำหนดนโยบายบริหารงานจังหวัด หรือ กนจ. กำหนดแนวทางให้จังหวัดบรรจุแผนงาน/โครงการ เรื่อง แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และให้หน่วยงานกลาง เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ประสานงานในส่วนกลาง สำหรับในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานเพื่อขยายผลการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ไปสู่หมู่บ้านและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ และองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการฝึกอบรม ส่งเสริมให้ความรู้การพัฒนาจิตใจให้มีคุณธรรมแก่นักเรียน นักศึกษา พนักงานในองค์กร และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ ๒.๕ เห็นควรประชาสัมพันธ์เผยแพร่อุดมการณ์แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองให้กว้างขวางต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31567 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2553 และ 2552 | สช | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนองบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว และเห็นว่า รายงานการเงินกองทุนฯ แสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ และ ๒๕๕๒ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของกองทุนฯ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยมีข้อสังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ ๑๔ เกี่ยวกับทุน จำนวน ๘๕๐,๓๖๖,๑๙๐.๖๖ บาท เบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ จำนวน ๓๐๒,๒๓๘,๐๓๙.๙๔ บาท ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ คงเหลือ ๕๔๘,๑๒๘,๑๕๐.๗๒ บาท ตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒ เห็นชอบในหลักการใช้งบประมาณรับโอนจากกระทรวงสาธารณสุข ตามมาตรา ๖๙ แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดหายานพาหนะและเป็นเงินกองทุนกลางสำรองกรณีมีเหตุฉุกเฉินเร่งด่วน และหมายเหตุประกอบงบการเงิน ข้อ ๑๕ เกี่ยวกับผลการดำเนินงาน คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ให้กองทุนฯ จ่ายเงินซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช 1 เอ็น 1) และยา Oseltamivir ไปก่อน จำนวน ๘๕๐ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณใช้คืน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ กองทุนฯ ยังไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31568 | ขออนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู | วท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ แห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปรมาณู (Memorandum of Understanding between the Korea Institute of Nuclear Safety of the Republic of Korea and the Office of Atoms for Peace’ the Ministry of Science and Technology of the Kingdom of Thailand for Atomic Energy Cooperation) โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีขอบเขตความร่วมมือทางเทคนิคและกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ เช่น กฎหมาย กฎเกณฑ์ มาตรฐานด้านความปลอดภัย แนวทางปฏิบัติที่ออกโดยหน่วยงานกำกับดูแล เป็นต้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา และการฝึกอบรมความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ การป้องกันรังสีและการเตรียมการรองรับเหตุฉุกเฉิน การทบทวนความปลอดภัย การประเมินค่าและการประเมินสถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ การออกแบบและการดำเนินโครงการ และระบบด้านการเฝ้าติดตามต้นกำเนิดรังสีและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขอบเขตอื่น ๆ ตามที่คู่สัญญาอาจทำความตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. อนุมัติการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนาม ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนาม |
|||||||||||||||||||||||||||
31569 | ผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วง 3 เดือน (กันยายน - พฤศจิกายน 2554) | นร | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วง ๓ เดือน (กันยายน - พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ สถานการณ์การพัฒนาประเทศในช่วง ๓ เดือนของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วนที่ ๒ การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ส่วนที่ ๓ การดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนที่เริ่มดำเนินการในปีแรก และส่วนที่ ๔ การดำเนินการตามนโยบายตามกรอบการบริหารราชการ ๔ ปีของรัฐบาล ๒. ความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลในระยะ ๓ เดือนแรกหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ได้เกิดอุปสรรคสำคัญจากปัญหาอุทกภัยที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนในหลายพื้นที่ และส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สินและขวัญกำลังใจของประชาชน รัฐบาลต้องทุ่มเทความสามารถในการแก้ไข บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย ทำให้การดำเนินการตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาต้องชะลอไว้ระยะหนึ่ง ขณะนี้สถานการณ์ได้เริ่มคลี่คลาย จึงสมควรเร่งรัดดำเนินการแผนงาน/โครงการสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะแผนงาน/โครงการตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31570 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับเงินบำรุงประจำปีของศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศเงินบำรุงประจำปีขององค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ ประจำปี ค.ศ. 2011 และ ค.ศ. 2012 และเงิน Working Capital Fund ประจำปี ค.ศ. 2011 | กต | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบการชำระเงินบำรุงประจำปีของศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ ประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๑ และประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๒ จำนวนเงิน ๔๘,๗๘๕ ยูโร หรือเท่ากับ ๒,๐๑๒,๔๐๐ บาท เงินบำรุงประจำปีขององค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ ประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๑ และ ค.ศ. ๒๐๑๒ และเงิน Working Capital Fund ประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๑ จำนวนเงิน ๒๕,๗๒๐.๗๕ ดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๘๑๘,๖๐๐ บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒,๘๓๑,๐๐๐ บาท โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร และอนุมัติในหลักการการชำระเงินบำรุงประจำปีในปีต่อ ๆ ไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอได้ ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31571 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) (กระทรวงแรงงาน) | รง | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้นายพูลศักดิ์ เศรษฐนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงแรงงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31572 | การปรับอัตราเงินค่าตอบแทนและค่าเบี้ยเลี้ยงสนามของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน | มท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้ปรับอัตราค่าตอบแทนและค่าเบี้ยเลี้ยงสนามของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ปรับอัตราค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป สำหรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๙๐,๙๑๔,๕๐๐ บาท ให้กรมการปกครองโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายที่กันเงินไว้เหลื่อมปี ในส่วนที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์และหมดความจำเป็นก่อน และหากไม่เพียงพอให้เจียดจ่ายหรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มาดำเนินการตามลำดับ ๒. ปรับค่าเบี้ยเลี้ยงสนาม จากอัตราเดิม ๕๕ บาท ต่อคนต่อวัน เป็นอัตรา ๑๒๐ บาท ต่อคนต่อวัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นต้นไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการค่าเบี้ยเลี้ยงสนามของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๒๖๕,๖๗๙,๗๐๐ บาท |
|||||||||||||||||||||||||||
31573 | ผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน | สม | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามที่มีผู้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า ก.พ. เลือกปฏิบัติในกรณีที่มีมติให้ปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งนายแพทย์ที่ปฏิบัติงานให้บริการสุขภาพในสถานบริการสุขภาพเป็นตำแหน่งนายแพทย์ระดับเชี่ยวชาญได้ทุกตำแหน่ง โดยไม่ต้องนำตำแหน่งว่างมายุบรวม แต่ไม่ครอบคลุมถึงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงาน ก.พ. ควรมีการทบทวนปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้นของทุกสายงานให้เป็นไปตามแนวทางที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อให้มีแนวทางในการปฏิบัติต่อบุคคลที่เท่าเทียมกันในเรื่องของความก้าวหน้าในการทำงานของบุคคล ๑.๒ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขควรมีการเสนอการขออัตราเพิ่มใหม่ไปยังสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดอัตราว่างในระยะยาว ที่ต้องบรรจุแพทย์ ทันตแพทย์ และพยาบาล ซึ่งเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลที่เป็นคู่สัญญาชดใช้ทุน เพื่อให้มีความชัดเจนและเป็นการรองรับในการบรรจุนักเรียนทุนของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งเป็นการป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อสายงานอื่นที่ให้บริการสาธารณสุขที่ต้องใช้ตำแหน่งว่างที่มีเงินมายุบรวมจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่ ก.พ. กำหนด ๑.๓ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาภาพรวมของประเทศในการบริหารงบประมาณด้านบุคลากรของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในด้านการให้บริการด้านสุขภาพ การศึกษา และการสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อบุคคลที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรม เนื่องจากในวิชาชีพต่าง ๆ ก็มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศ และประการสำคัญ สำนักงาน ก.พ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลการบริหารกำลังคนภาครัฐ และเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลข้าราชการพลเรือน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาในภาพรวมของประเทศ และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในด้านความก้าวหน้าของแต่ละวิชาชีพ จึงควรมีการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น เพื่อมิให้เกิดการลักลั่นในกระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย ดังนี้ ๒.๑ หนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๐๘/ว ๒๖ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๔ แจ้งมติ ก.พ. เห็นชอบให้ส่วนราชการสามารถกำหนดตำแหน่งภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่งตามโครงสร้างของส่วนราชการ ซึ่งมีผลให้ส่วนราชการสามารถปรับเพิ่มลดจำนวนและระดับตำแหน่งได้ภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่ง ซึ่งกำหนดจากผลรวมของค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่งที่นำมาปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งในแต่ละครั้ง ในกรณีที่มีค่าตอบแทนเฉลี่ยของตำแหน่งที่เหลือจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งของส่วนราชการในกระทรวง อ.ก.พ. กระทรวงสามารถนำค่าตอบแทนเฉลี่ยที่เหลืออยู่ดังกล่าวไปใช้ในการกำหนดตำแหน่งของส่วนราชการในกระทรวงในครั้งต่อ ๆ ไปได้ อันเป็นแนวทางหนึ่งเพื่อผ่อนคลายให้กระทรวงสามารถบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการต่าง ๆ ในสังกัดให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว และสามารถใช้ประโยชน์จากจำนวนและระดับตำแหน่งที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ๒.๒ สำนักงาน ก.พ. อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากการกำหนดตำแหน่งภายในกรอบมูลค่ารวมของตำแหน่งดังกล่าวในข้อ ๒.๑ เพื่อให้การกำหนดตำแหน่งในทุกส่วนราชการมีความยืดหยุ่น คล่องตัวยิ่งขึ้น สำหรับการผ่อนคลายหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งเฉพาะกรณีนั้น หากส่วนราชการพิจารณาว่ามีเหตุผลความจำเป็น ก็สามารถเสนอคำขอให้ ก.พ. พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และสำนักงาน ก.พ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการในภาพรวมของประเทศ ทั้งนี้ หากเรื่องใดมีความจำเป็นเร่งด่วน ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
31574 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) | วท | 13/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ของประเทศไทย ได้แก่ เจ้าภาพจัดการฝึกอบรม IAEA/RCA Regional Training Course on Capacity Building for Enhanced Gamma Scanning of Industrial Process Columns ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเจ้าภาพจัดการประชุม IAEA/RCA Initial Project Coordination Meeting ณ จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ ๒. เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมทั้ง ๒ รายการ และหากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๓. อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมทั้ง ๒ รายการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31575 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังโตนด อำเภอนายายอาม และตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... | กษ | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังโตนด อำเภอนายายอาม และตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวังโตนด อำเภอนายายอาม และตำบลทุ่งเบญจา อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างประตูระบายน้ำและอาคารประกอบตามโครงการประตูระบายน้ำทุ่งเบญจา และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31576 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร พ.ศ. .... | นร | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดยโสธร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดยโสธร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31577 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและการบำบัดโรค สำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. .... | สธ | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและการบำบัดโรค สำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์การแพทย์ของผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เพื่อใช้ในการวินิจฉัยและการบำบัดรักษาโรค ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
31578 | แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร | ทก | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก ๓๑ ราย โดยมีผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนดกรอบ แนวทาง นโยบาย และมาตรการในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศให้สามารถแข่งขันในระดับสากล สนับสนุนการเชื่อมโยงพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้พัฒนาบุคลากรและพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการให้มีมาตรฐานสากลและแข่งขันกับนานาชาติได้ รวมทั้งประสานการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศให้สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และพิจารณากำหนดแนวทางเตรียมความพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของไทยต่อการมุ่งสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community : AEC) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
31579 | การช่วยเหลือประชาชนตามแนวชายฝั่งทะเลที่ได้รับความเดือดร้อนกรณีการผันน้ำจืดจากอุทกภัยลงทะเลเป็นจำนวนมาก | วท | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการประชุมหารือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี ที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีน้ำจืดจากอุทกภัยปี ๒๕๕๔ ไหลลงสู่ทะเลเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบนิเวศน์ทางทะเลเสียหายและทรัพยากรสัตว์น้ำซึ่งเป็นแหล่งหากินลดลง ไม่สามารถประกอบอาชีพจับสัตว์น้ำได้ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีความเห็นว่าการฟื้นตัวของระบบนิเวศน์ชายฝั่งทะเลโดยธรรมชาติเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้เกษตรกรประมงชายฝั่งได้รับผลกระทบในระยะเวลาอันสั้น จึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือเยียวยาโดยตรง แต่จะต้องเร่งฟื้นฟูความสมบูรณ์โดยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำธรรมชาติและสัตว์น้ำเศรษฐกิจตามชายฝั่งทะเล อันจะเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพของเกษตรกรประมงชายฝั่งต่อไป ๒. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความเห็นประกอบเหตุผลทางวิชาการว่าสภาพนิเวศน์วิทยาทางทะเลสามารถที่จะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกษตรกรผู้ประสบภัยในพื้นที่สามารถประกอบอาชีพจับสัตว์น้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนได้ในระดับหนึ่งแล้ว และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงเป็นราย ๆ ในกรณีดังกล่าวจึงมิใช่เรื่องเร่งด่วน และเห็นควรให้ใช้งบประมาณในการฟื้นฟูเยียวยา โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการเร่งการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำด้วยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเสริมธรรมชาติ ประกอบด้วย กุ้งแชบ้วย และหอยแครง จำนวน ๓๔ ล้านตัว โดยให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
31580 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง และตำบลศรีค้ำ ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | นร | 07/02/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง และตำบลศรีค้ำ ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง และตำบลศรีค้ำ ตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
.....