ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1576 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 31501 - 31520 จากข้อมูลทั้งหมด 124233 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
31501 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ) จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายนนทศิริ บุรณศิริ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ๒. นายสมชาย เภาเจริญ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย
|
||||||||||||||||||||||||
31502 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ทั้งปี 2554 และแนวโน้มปี 2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ ทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ ๔ หดตัวร้อยละ ๙.๐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ หรือหดตัวร้อยละ ๑๐.๗ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบปีเทียบกับ ๓ ไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ ๓.๒ ๒.๗ และ ๓.๗ ตามลำดับ สาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ทำให้ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม การบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว และการส่งออกหดตัว ยกเว้นภาคเกษตรกรรมที่ยังขยายตัวเล็กน้อย โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ภาคการผลิตสาขาอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ ๒๑.๘ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมและระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายและกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ ๔๖.๔ ลดลงจากร้อยละ ๖๔.๕ และ ๖๔.๒ ในไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สาขาอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ ๔.๓ ๑.๒ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน หดตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ในไตรมาสก่อน เนื่องจากผลกระทบของอุทกภัย โดยยอดจำหน่ายสินค้าคงทนลดลงมากถึงร้อยละ ๒๑.๘ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงอยู่ที่ระดับ ๖๒.๓ เทียบกับ ๗๓.๕ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งผู้บริโภคมีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าครองชีพที่อาจปรับตัวสูงขึ้นหลังน้ำท่วม ประกอบกับรายได้เกษตรกรลดลงเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ ลดลง เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และมันสำปะหลัง เป็นต้น รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ๑.๓ การลงทุนภาคเอกชน หดตัวร้อยละ ๑.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๙.๑ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากเหตุการณ์อุทกภัยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ส่งผลให้การลงทุนในหมวดเครื่องจักรเครื่องมือหดตัวลงร้อยละ ๒.๔ ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ (Business Sentiment Index : BSI) เฉลี่ยในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ ๔๑.๔ ลดลงจากระดับ ๕๐.๖ ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๗.๒ โดยการลงทุนรวมทั้งปีขยายตัวร้อยละ ๓.๓ ๑.๔ ภาคการส่งออก ในรูปดอลลาร์สหรัฐ มีมูลค่า ๔๙,๑๖๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๕.๒ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๒๗.๓ ในไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากภาคการผลิต โดยเฉพาะสาขาอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย ประกอบกับปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่งออกมีมูลค่า ๒๒๕,๓๖๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๖.๔ โดยตลาดสำคัญที่ยังคงขยายตัวได้ดีคือ จีน เกาหลีใต้ และอาเซียน ๑.๕ ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเมืองไทยในไตรมาสสุดท้าย มีจำนวน ๔.๔ ล้านคน ลดลงร้อยละ ๔.๔ เนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการท่องเที่ยว ๑๘๘,๐๗๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ ๕๕.๗ ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ ๕๔.๓ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในสาขาโรงแรมและภัตตาคารหดตัวร้อยละ ๕.๓ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๑๐.๒ ในไตรมาสที่แล้ว รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทย ๑๙.๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๘ ๑.๖ ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ ๐.๗ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ในขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวบางส่วนได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทำให้มีผลผลิตลดลง เกษตรกรมีรายได้ลดลงร้อยละ ๐.๗ เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ ๗.๘ ในไตรมาสก่อน รวมทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๘ ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้น ๑๗.๙ โดยรวมเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๑ โดยมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาอุทกภัยที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อ GDP ในราคาประจำปี คิดเป็นมูลค่าถึง ๓๒๘,๑๕๔ ล้านบาท โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับปานกลางที่ร้อยละ ๓.๘ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๑,๘๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ ๓.๔ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่สอง และทั้งปีขยายตัวได้ในช่วงร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ ทั้งในส่วนของการลงทุนเพื่อปรับปรุงฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และการก่อสร้างเพิ่มเติม รวมถึงการดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านสินเชื่อและมาตรการภาษีที่มีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ประกอบกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ของประชาชนจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ภาคการผลิตมีแนวโน้มที่คาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศโดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ต่างประเทศน่าจะยังขยายตัวได้ดีเนื่องจากคู่ค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เช่น อาเซียน จีน และอินเดีย ยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๓.๕ ถึง ๔.๐ การบริโภคครัวเรือนขยายตัวร้อยละ ๔.๔ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๔.๒ มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ ๑.๒ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ควรให้ความสำคัญในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การเร่งป้องกันผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยในชุมชนและฐานการผลิตที่สำคัญ รวมทั้งเร่งรัดการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยซ้ำซ้อนและป้องกันปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๓.๒ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายด้านการลงทุน ๓.๓ การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับความเสี่ยงด้านความผันผวนของระบบการเงินโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ๓.๔ การดูแลราคาสินค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นให้เป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิต ๓.๕ การดำเนินนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างอนาคตของประเทศ เช่น การสร้างรายได้ให้ผู้มีรายได้น้อย นโยบายพลังงาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
31503 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ในจำนวนนี้เป็นการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายอิทธิพร บุญประคอง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ๒. นายรัชนันท์ ธนานันท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ๓. นายจิตติ สุวรรณิก ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ ๔. นายพิษณุ สุวรรณะชฎา ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า
|
||||||||||||||||||||||||
31504 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๑.๑ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองไฮพร้อมระบบกระจายน้ำ อำเภอบัวใหญ่ พื้นที่โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว โครงการในพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กรมทรัพยากรน้ำกำลังดำเนินการฟื้นฟู กำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ โครงการขุดลอกบึงสำโรง บ้านกุดปลาฉลาด ตำบลสำโรง อำเภอแก้งสนามนาง ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ได้ร้องของบประมาณขุดลอกแหล่งน้ำบึงสำโรง พื้นที่โครงการ ประมาณ ๒,๑๐๖ ไร่ ให้รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๑.๓ โครงการขุดลอกบึงละหานลูกนก ตำบลบ้านเหลื่อม อำเภอบ้านเหลื่อม ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่ได้ร้องขอให้ดำเนินการขุดลอกเพื่อเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ ๓,๖๐๐ ไร่ ให้รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๑.๔ โครงการขุดลอกคลองทางเรือ ตำบลดงใหญ่ อำเภอพิมาย ที่มีสภาพตื้นเขินให้เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในฤดูน้ำหลากเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งศึกษาสำรวจและจัดหางบประมาณสนับสนุนต่อไป ๒. การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๑ ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่อำเภอสร้างคอมได้ร้องขอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง คือ โครงการฟื้นฟูอ่างเก็บน้ำพาน ตำบลสร้างคอม เพื่อขุดลอกตะกอน กำจัดวัชพืช และก่อสร้างอาคารระบายน้ำ วงเงินงบประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท ๒.๒ ผู้นำชุมชนและราษฎรในพื้นที่อำเภอเพ็ญได้ร้องขอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบัวยามกา ตำบลบ้านธาตุ และโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบุ่งหวาย ตำบลจอมศรี โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำหนองบุ่งหวาย ตำบลจอมศรี เพื่อขุดลอกตะกอน กำจัดวัชพืช และก่อสร้างอาคารระบายน้ำ วงเงินประมาณ ๑๕ ล้านบาท โครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำห้วยเพ็ญ ตำบลเพ็ญ เพื่อขุดลอกลำห้วย และก่อสร้างฝายน้ำล้น แบบมีบานประตู วงเงินประมาณ ๒๐ ล้านบาท โครงการลำห้วยหลวง ตำบลนาบัว เพื่อศึกษาและพัฒนาลำน้ำห้วยหลวงตลอดสาย วงเงินประมาณ ๓๕ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำลำน้ำสวย ตำบลนาพู่ วงเงินประมาณ ๒ ล้านบาท ๒.๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบให้กรมทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาสำรวจและจัดหางบประมาณสนับสนุนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31505 | การขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในหนังสือความตกลง (Standard Letter of Agreement) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับ UN Women | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับ UN Women จัดทำหนังสือความตกลง (Standard Letter of Agreement between UN Women and Offiec of the Council of State inThailand on the Implementation of Regional Programme on Improving Women’s Human Rights in Southeast Asia - Cedaw Phase II) โดยมีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการในหนังสือความตกลงดังกล่าวได้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ UN Women ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประสานการจัดการประชุม Regional Workshop on CEDAW Based Legal Reviews เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานตามอนุสัญญาขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination against Women : CEDAW) และการตรวจสอบและทบทวนบทบัญญัติตามกฎหมายโดยใช้คู่มือการตรวจสอบบทบัญญัติที่กระทบต่อสิทธิของสตรี (legislative indicators) ซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะจัดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ ๒. การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการฯ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับ UN Women โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการเกี่ยวกับการอำนวยการจัดงาน ได้แก่ การคัดเลือกผู้แทนหน่วยงานของประเทศไทยที่จะเข้าร่วมการประชุม การออกหนังสือเชิญผู้เข้าร่วมการประชุมโดยการลงนามร่วมกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ UN Women การติดต่อสถานที่จัดงาน และการเตรียมเอกสารและอุปกรณ์ประกอบการประชุม ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินการในส่วนนี้จะได้รับการสนับสนุนจาก UN Women โดยวิธีการโอนงบประมาณค่าใช้จ่ายจาก UN Women มาไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยจะต้องมีการลงนามในหนังสือความตกลงดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
31506 | การเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีขั้นตอน ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference : TOR) และร่างเอกสารประกวดราคา การนำสาระสำคัญของร่าง TOR และเอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ประกาศทางเว็บไซต์ของหน่วยงานและของกรมบัญชีกลางเพื่อให้สาธารณชนเสนอแนะ วิจารณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๘ (๑) ทั้งนี้ หน่วยงานต้องจัดทำ TOR และเอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยความเปิดเผย โปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมตามเจตนารมณ์ของระเบียบฯ และยังคงปฏิบัติตามระเบียบฯ ข้อ ๘ (๓) โดยต้องนำสาระสำคัญของเอกสารประกาศเชิญชวน เอกสารประกวดราคาซื้อหรือเอกสารประกวดราคาจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์และเอกสารเบื้องต้นอื่น ๆ ที่สามารถเผยแพร่ได้ ลงประกาศทางเว็บไซต์ของหน่วยงานของกรมบัญชีกลางเช่นเดิม ๒. กรณีการอุทธรณ์ผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ตามระเบียบฯ ข้อ ๙ (๓) และอุทธรณ์ผลการพิจารณาการเสนอราคา ตามระเบียบฯ ข้อ ๑๐ (๕) ในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุดำเนินการขั้นตอนต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นเท่านั้น โดยให้คำนึงถึงการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ
|
||||||||||||||||||||||||
31507 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
31508 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีควรมีจำนวนเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาเหมาะสมกับระยะเวลาที่ใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง เพื่อให้การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะไม่ควรเสนอเรื่องมาเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นวาระจร ยกเว้นเฉพาะเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ รวมทั้งการแต่งตั้งผู้บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการในหน่วยงานของรัฐ และเรื่องที่มีผลกระทบหรือมีความอ่อนไหว (sensitive) ที่ไม่อาจเปิดเผยล่วงหน้าได้ หรือเรื่องที่เป็นความลับของทางราชการเท่านั้น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ และให้ถือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
31509 | ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สมาคมหนังสือพิมพ์และองค์กรสื่อสิ่งพิมพ์โลกได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีขอให้ประเทศไทยพิจารณารับเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมดังกล่าว ซึ่งในการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะมีบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้บริหารองค์กรสื่อทั่วโลกกว่า ๑,๐๐๐ คน เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างเครือข่าย ส่งเสริมคุณภาพและเสรีภาพของสื่อ โดยทางสมาคมฯ ได้แจ้งเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับประเทศเจ้าภาพที่จะต้องสนับสนุนการประชุมซึ่งเน้นเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งการสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัย ยานพาหนะ การอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา และการใช้สถานที่สำคัญ ๆ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะเป็นโอกาสที่ดีในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านองค์กรสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับการจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||
31510 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๓๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
31511 | สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นควรอนุมัติโครงการของกรมชลประทานที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) แล้วเพิ่มเติม จำนวนเงิน ๖๕๓ ล้านบาท (ทำให้กรอบวงเงินที่ยังไม่ได้จัดสรรเพิ่มขึ้นจาก ๔๒,๘๙๑.๒๖๑๓ ล้านบาท เป็นเงิน ๔๓,๕๔๔.๒๖๑๓ ล้านบาท) ๒. เห็นควรชะลอโครงการ จำนวน ๗๔ โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๐,๔๔๖.๓๑๙๑ ล้านบาท เนื่องจาก ๒.๑ ส่วนราชการไม่สามารถเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณได้ภายในกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งรัดเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณต่อสำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ ครบกำหนดในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๒.๒ ส่วนราชการขอรับจัดสรรงบประมาณต่ำกว่ากรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๒.๓ สำนักงบประมาณพิจารณาปรับลดค่างานตามหลักเกณฑ์การคำนวณค่างาน ๒.๔ ส่วนราชการแจ้งว่าเป็นโครงการที่หมดความจำเป็น ๓. เห็นควรจัดสรรงบประมาณในกรอบวงเงินที่ยังไม่ได้รับจัดสรร จำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท ได้แก่ ๓.๑ โครงการที่ผ่านการพิจารณาของ กยน. เป็นเงิน ๙,๒๐๖.๙๑๑๙ ล้านบาท ๓.๒ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยในคราวที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจราชการพื้นที่ลุ่มน้ำ ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ๓.๓ โครงการที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันพิจารณาความจำเป็น ความเหมาะสมและความคุ้มค่าของแผนงานโครงการแล้ว มีมติเห็นควรให้ดำเนินการได้ เป็นเงิน ๒๓,๘๙๑.๐๓๐๓ ล้านบาท ๔. เนื่องจากสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปแล้วทั้งสิ้นวงเงิน ๘๑,๒๒๙.๐๘๓๐ ล้านบาท หากรวมกับวงเงินที่เห็นควรจัดสรรเพิ่มเติมอีกจำนวน ๓๘,๑๘๒.๙๙๑๖ ล้านบาท จะเป็นวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๙,๔๑๒.๐๗๔๖ ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าวงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ที่ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท อยู่จำนวน ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท แต่เนื่องจากยังมีโครงการสำคัญที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) แล้ว เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ อีกจำนวน ๕,๙๕๒.๔๒๗๖ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชต้นทุนสูงที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๔ กรณีพิเศษ (กรมส่งเสริมการเกษตร) วงเงิน ๑,๙๖๒.๔๒๗๖ ล้านบาท และโครงการฟื้นฟู ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยของกองทัพอากาศ วงเงิน ๓,๙๙๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ดังนั้น จึงขาดงบประมาณอีกจำนวน ๕,๓๖๔.๕๐๒๒ ล้านบาท (๕,๙๕๒.๔๒๗๖ - ๕๘๗.๙๒๕๔ ล้านบาท) ในชั้นนี้จึงเห็นควรพิจารณาจัดสรรจากงบประมาณส่วนที่เหลือจ่ายจากโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไปแล้ว หรือโครงการที่เสนอขอจัดสรรเพิ่มเติมในครั้งนี้ หรือแหล่งเงินงบประมาณอื่น ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31512 | ขออนุมัติลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการอบรมเชิงปฏิบัติการการประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ - ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามคำเชิญของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะดำเนินการโอนงบประมาณสำหรับการจัดประชุมให้ประเทศไทยเมื่อได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมิน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเรียบร้อยแล้ว ๑.๒ เห็นชอบในบันทึกความเข้าใจสำหรับการจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ การประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับภูมิภาคเอเชีย และการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำในการจัดทำรายงานแห่งชาติของประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วยประเด็นหลัก ดังนี้ ๑.๒.๑ รูปแบบการประชุมและการเตรียมการจัดประชุม ได้แก่ การกำหนดรูปแบบการจัดห้องประชุม อุปกรณ์ที่ใช้ในการประชุม เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสำหรับการจัดประชุม ๑.๒.๒ เอกสิทธิ์ ความคุ้มกัน และการอำนวยความสะดวก ได้แก่ การให้รัฐบาลไทยให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ผู้แทนของทบวงการชำนัญพิเศษและทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และพนักงานขององค์การสหประชาชาติ ตลอดจนการอำนวยความสะดวกในการเข้าพำนักและเข้าร่วมการประชุมของผู้แทนในประเทศไทย ๑.๓ อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป ๒. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการภายใต้กฎเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) สำหรับการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ (ร่างข้อ ๙.๒) ซึ่งหากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นหรือเป็นข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||
31513 | รายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต | กค | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลเกี่ยวกับการยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ควรจะจัดหาพัสดุให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาว่าแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ.) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วัน แล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งานเพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ได้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ได้ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้ถือปฏิบัติตามแนวทางเดียวกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในสังกัดการบังคับบัญชาหรือการกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||
31514 | ผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ระหว่างวันที่ 13 - 17 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการติดตามการดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา และแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานฟื้นฟู เยียวยา ได้แก่ เงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาทต่อครัวเรือน จ่ายไปแล้ว ๑,๗๗๓,๐๒๓ ครัวเรือน จำนวนเงิน ๘,๘๖๕.๑๑๕ ล้านบาท เงินช่วยเหลือเกษตรกร จ่ายไปแล้ว ๕๐๔,๐๙๙ ราย จำนวนเงิน ๑๕,๐๐๓.๔๕๙ ล้านบาท และงบประมาณฟื้นฟูช่วยเหลือเยียวยาจังหวัด จังหวัดได้รับจากงบกลางแล้ว ๔๖,๑๙๒.๘๑ ล้านบาท ๑.๒ การดำเนินการป้องกันปัญหาอุทกภัยตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๑.๒.๑ พื้นที่ต้นน้ำ ๑๐ จังหวัด (จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย อุตรดิตถ์ ตาก น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน และพะเยา) ได้ติดตามผลการดำเนินงานและให้ความสำคัญกับการดูดซับน้ำและลดการพังทลายของดิน โดยการปลูกหญ้าแฝกและสร้างฝายชะลอน้ำ ปรับเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curves) โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ให้เกณฑ์ต่ำอยู่ในระดับร้อยละ ๔๕ ภายในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ และจัดระบบการรายงานข้อมูล พยากรณ์ และการเตือนภัย เช่น กำหนดขั้นตอนเตือนภัย กำหนดมาตรการเตือนภัยในช่วงระบายน้ำ และกำหนดเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำและการเตือนภัย ได้แก่ ศูนย์ข้อมูลการจัดการน้ำแห่งชาติ และระบบศูนย์เตือนภัย ๑.๒.๒ พื้นที่กลางน้ำตอนบน ๖ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร กำแพงเพชร และชัยนาท) ได้ให้ความสำคัญกับการหน่วงน้ำ เพื่อชะลอการไหลของน้ำ โดยการจัดหาพื้นที่แก้มลิง ทั้งที่เป็นบึงธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ โดยใช้ประโยชน์บึงธรรมชาติให้เต็มศักยภาพด้วยการเชื่อมบึงด้วยคลอง เชื่อมคลองสู่คลอง เชื่อมคลองสู่แม่น้ำและข้ามลุ่มน้ำ และการบริหารจัดการน้ำบริเวณเขื่อนเจ้าพระยา และประตูน้ำต่าง ๆ เช่น ซ่อมแซมประตูระบายน้ำบางโฉมศรี และประตูระบายน้ำพลเทพ เป็นต้น ๑.๒.๓ พื้นที่กลางน้ำตอนล่าง ๘ จังหวัด (จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี และนครนายก) ได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ การกำหนดพื้นที่รับน้ำ และการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจ โดยการจัดทำแก้มลิง ทั้งที่เป็นแหล่งเก็บกักน้ำตามธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรม การเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุและการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ การป้องกันอุทกภัยรอบพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม การปรับปรุงและบูรณะถนนเป็นคันกั้นน้ำไม่ให้เข้าท่วมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และนอกนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการบูรณะโบราณสถานให้สู่สภาพเดิม ๑.๒.๔ พื้นที่ปลายน้ำ ๗ จังหวัด (จังหวัดนนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา นครปฐม ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร) ได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุดด้วยระบบคูคลอง ระบบสูบน้ำ และลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการคันกั้นน้ำพระราชดำริ การปรับปรุงและติดตั้งเครื่องสูบน้ำบริเวณประตูระบายน้ำจุฬาลงกรณ์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเร่งระบายน้ำให้น้ำไหลลงทะเลได้เร็วที่สุดและป้องกันพื้นที่เฉพาะ โดยการเร่งระบายน้ำที่อยู่นอกพื้นที่ปิดล้อมทั้งตามแนวลำน้ำและการหลากน้ำให้จำกัดอยู่ในพื้นที่ที่มีผลกระทบน้อย รวมทั้งการปิดล้อมพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารประเทศ โดยใช้แนวคันกั้นน้ำเป็นชั้น ๆ และใช้ระบบคลองแนวขวางเพื่อระบายน้ำไปทางตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่ปิดล้อม รวมทั้งซ่อมแซมปรับปรุงประตูระบายน้ำ ๑.๒.๕ สำหรับพื้นที่แก้มลิง เป้าหมาย ๒ ล้านไร่ เพื่อรองรับน้ำหลาก จากการลงพื้นที่สามารถจัดหาพื้นที่ได้ประมาณ ๑.๔ ล้านไร่ สำหรับพื้นที่แก้มลิงที่ต้องจัดหาเพิ่มอีก ๐.๖ ล้านไร่ มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาสำรวจเพิ่มเติมและตรวจสอบพื้นที่จริงตามที่จังหวัดเสนอ รวมทั้งพิจารณาหลักเกณฑ์ในการชดเชย ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นชอบโครงการที่มีความสำคัญเร่งด่วน จำนวน ๑๑๙ โครงการ กรอบวงเงิน ๕,๐๘๕.๐๔๙๔ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้จังหวัดจัดทำรายละเอียดประกอบคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ หากพ้นกำหนดระยะเวลาให้ถือว่าโครงการไม่มีความพร้อม และให้สำนักงบประมาณรายงานผลการจัดสรรงบประมาณต่อนายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
31515 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร และนครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) รวม ๑๒ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดเลย และจังหวัดมหาสารคาม
|
||||||||||||||||||||||||
31516 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง รวม 12 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุดรธานี วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๑ (จังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย เลย บึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (จังหวัดมุกดาหาร สกลนคร นครพนม) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์) รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๑๙๐ โครงการ วงเงินรวม ๑๘๗,๐๗๒ ล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๕๙๕.๗๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ แผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำ การป้องกันปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตภาคเกษตรกรรมที่เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความพร้อม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการพิจารณา สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาภาคเกษตรกรรมในระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๒ แผนงาน/โครงการด้านสิ่งแวดล้อมและเกษตร ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ด้านเศรษฐกิจ และด้านบริการสังคม ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งศึกษาความเหมาะสมของโครงการและจัดทำรายละเอียดโครงการและแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมโดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้านพื้นที่ดำเนินการ บุคลากรเฉพาะทาง และการสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของประชาชนในพื้นที่เพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบจังหวัดหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอน ทั้งนี้ หากมีโครงการที่จำเป็นเร่งด่วน และได้เตรียมการจนมีความพร้อมทุกด้านแล้ว ก็สมควรที่จะปรับแผนปฏิบัติการและแบบการใช้จ่ายงบประมาณ ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดำเนินการ โดยหากต้องผูกพันงบประมาณ ก็ให้เสนอขอตั้งงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุดรธานี ในวงเงิน ๓๐ ล้านบาท และโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาพื้นที่หนองแด เพื่อรองรับศูนย์วัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และสนามกีฬากลางจังหวัดอุดรธานี วงเงิน ๒๕ ล้านบาท ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอเพิ่มเติม ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดส่งรายละเอียดของโครงการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงินไม่เกิน ๑,๖๕๐ ล้านบาท ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
31517 | ขอเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ | พม | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ เพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายโครงการที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ จากวงเงิน ๒๑๒,๑๖๓,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๒๒๐,๕๔๔,๘๒๗ บาท เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๓๘๑,๘๒๗ บาท ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในส่วนค่าระบบไฟฟ้าภายนอก จำนวน ๔,๔๔๒,๔๕๐ บาท ไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการที่พักอาศัยข้าราชการ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์) อนุมัติไว้เดิม เห็นควรให้การเคหะแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการอุดหนุนเป็นค่าทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและระบบสาธารณูปโภคภายนอกอาคารที่พักอาศัยข้าราชการกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๓,๔๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมบัญชีกลางอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑,๐๓๒,๔๕๐ บาท และค่าก่อสร้างอาคารส่วนเพิ่ม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบรูปรายการให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง จำนวน ๓,๙๓๙,๓๗๗ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๙๗๑,๘๒๗ บาท นั้น ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
31518 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑ นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งกำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และมีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่กำหนดไว้ จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ได้แก่ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๘๔,๓๖๐.๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๖๗,๐๐๐ ล้านบาท รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๘,๖๓๙.๔ ล้านบาท และรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ไม่มีรายการที่ต้องเสนอตั้งงบประมาณ) รายได้สุทธิ จำนวน ๒,๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และงบประมาณขาดดุล จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้ความสำคัญกับแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และนโยบายของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักปฏิบัติ โดยกำหนดนโยบายการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม และวางพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในระยะยาว ทั้งนี้ โครงสร้างยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๑.๓ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๓.๑ ให้ความสำคัญต่อการดำเนินภารกิจของกระทรวง/หน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ จุดเน้นของยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัว และประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง ตลอดจนการดำเนินการตามแผนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และเตรียมความพร้อมในการใช้จ่ายงบประมาณโดยจัดทำโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในลักษณะ Project-based ๑.๓.๒ ให้กระทรวง/หน่วยงานบูรณาการการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ทั้งในระดับกระทรวง/หน่วยงาน และระหว่างกระทรวงให้สอดคล้องเชื่อมโยง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบูรณาการในระดับพื้นที่ ระหว่างส่วนราชการ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ๑.๓.๓ จัดลำดับความสำคัญของภารกิจที่จะเสนอของบประมาณ และกำหนดเป้าหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็นและวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมทั้งศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณของปีงบประมาณปัจจุบันและปีงบประมาณที่ผ่านมา ๑.๓.๔ ให้กระทรวง/หน่วยงาน พิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับต่ำ หรือหมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อนำงบประมาณดังกล่าวไปดำเนินภารกิจที่มีความสำคัญในระดับสูง ๑.๓.๕ การดำเนินงาน/โครงการ ควรพิจารณาการใช้จ่ายงบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๑.๔ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพและเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สูงขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำทางการคลัง โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ต่ำ มีรายได้ที่เหมาะสมกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความยั่งยืนทางการคลังของท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายและจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยรวมภารกิจตามนโยบายรัฐบาลเกี่ยวกับเบี้ยยังชีพคนชรา เบี้ยยังชีพคนพิการ เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ ค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการน้ำ และภารกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๓๖,๕๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับการจัดสรร ๒๒๑,๐๙๑.๘ ล้านบาท เป็นจำนวน ๑๕,๔๐๘.๒ ล้านบาท ๒. รับทราบประมาณการข้อเสนอความต้องการงบประมาณเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๑๖ ข้อ มีวงเงินความต้องการรวมทั้งสิ้น ๕๕๘,๓๔๖.๔ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
31519 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2554/55 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ ให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เกษตรกรที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ ให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะเกษตรกรที่เคยขึ้นทะเบียนในปี ๒๕๕๒/๕๓ โดยไม่เกินพื้นที่ที่เคยขึ้นทะเบียนปี ๒๕๕๒/๕๓ และไม่รับขึ้นทะเบียนรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าว ๒. รับทราบราคา ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑ เป้าหมายการจ่ายเงินกู้ให้เกษตรกรตามโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ วงเงินไม่เกิน ๙,๐๐๐ ล้านบาท โดยเกษตรกรแต่ละรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของมูลค่าหัวมันสด ส่วนที่ยังไม่ได้ขุดแต่ไม่เกินรายละ ๕๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ การประเมินมูลค่าผลผลิตหัวมันสดส่วนที่ยังไม่ขุดให้คำนวณโดยใช้ราคาจำนำตามที่โครงการรับจำนำมันสำปะหลังกำหนดตามระยะเวลา คือ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๐ บาท เดือนเมษายน ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๘๕ บาท และเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ราคากิโลกรัมละ ๒.๙๐ บาท ๒.๒ ระยะเวลาดำเนินการโครงการ ให้เงินกู้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ - พฤษภาคม ๒๕๕๕ กำหนดระยะเวลาชำระเงินกู้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือนนับถัดจากเดือนที่รับเงินกู้ ทั้งนี้ เมื่อเกษตรกรนำผลผลิตมันสำปะหลังเข้าร่วมโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ เกษตรกรต้องยินยอมให้ธนาคารหักชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการนี้ ๒.๓ หลักเกณฑ์การให้เงินกู้ ให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินให้แก่ ธ.ก.ส. ในอัตรา FDR + 1 (ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ ๓.๔๐๖ ต่อปี) ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน ๓. อนุมัติค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการให้เงินกู้เพื่อชะลอการขุดหัวมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕ ให้แก่ ธ.ก.ส. ได้แก่ วงเงินชดเชยต้นทุนเงิน ๑๐๒.๑๘ ล้านบาท และค่าบริหารโครงการของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ ๒.๕ ของต้นเงินคงเป็นหนี้ระยะเวลาไม่เกิน ๔ เดือน คิดเป็นวงเงินค่าบริหารโครงการ ๗๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ตั้งไว้แล้วสำหรับดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรปี ๒๕๕๔/๕๕ หากไม่เพียงพอให้ตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้จ่ายจากงบกลางเพิ่มเติม ทั้งนี้ หากเกิดความเสียหายแก่ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการนี้ รัฐบาลจะดูแลชดเชยความเสียหายให้ตามที่เกิดขึ้นจริง
|
||||||||||||||||||||||||
31520 | มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2555 | พณ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบกรอบชนิด ราคา ปริมาณ ระยะเวลา วิธีการ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และงบประมาณการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ๑.๒ รับทราบการแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรรับขึ้นทะเบียนและออกหนังสือรับรองเกษตรกรให้แก่เกษตรกรที่เพาะปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และจะเก็บเกี่ยวข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นช่วงผลผลิตข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกมาจำนำตามโครงการ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ได้ และให้องค์การคลังสินค้า และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร รับฝากข้าวเปลือกของเกษตรกรไว้ก่อนและออกใบประทวนให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินให้เกษตรกร โดยใช้วงเงินค่าใช้จ่ายจากโครงการ ทั้งนี้ เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกที่ได้จากการเพาะปลูกข้าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ มาจำนำในโครงการ ช่วงวันที่ ๑ - ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ไม่สามารถนำข้าวเปลือกมาเข้าร่วมโครงการที่จะเริ่มรับจำนำในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ได้อีก ๑.๓ เห็นชอบงบประมาณดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้นำวงเงินงบประมาณที่ใช้ดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ มาใช้ในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ ไปก่อน หากไม่เพียงพอจึงขออนุมัติเพิ่มเติมในภายหลัง กรณีกระทรวงการคลังยังไม่สามารถจัดหาเงินกู้ให้ ธ.ก.ส. เพื่อนำมารับจำนำตามโครงการได้ทัน ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายเงินไปก่อน และให้สำนักงบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. ตามอัตราที่กำหนดไว้เดิม ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอเพิ่มเติมว่า ขอตัดข้อความในหนังสือกระทรวงพาณิชย์ ด่วนที่สุด ที่ พณ ๐๔๑๔/๕๕๓ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ความว่า “... ทั้งนี้ เกษตรกรทุกรายจะจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี ๒๕๕๕ ได้ไม่เกินวงเงินรายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท” ออก ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปกำกับติดตามการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี ๒๕๕๕ โดยให้มีการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ถูกต้องตรงตามพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณผลผลิตของเกษตรกรแต่ละราย ๔. โดยที่จะมีพื้นที่ซึ่งรวมพื้นที่เพาะปลูกด้วยจำนวนรวมประมาณ ๒ ล้านไร่ ที่ต้องใช้เป็นพื้นที่รองรับน้ำ (แก้มลิง) ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยด้วย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับเรื่องนี้ไปประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ตลอดจนการดำเนินการโครงการรับจำนำพืชผลการเกษตรของรัฐบาลแล้วเสร็จทันก่อนการใช้พื้นที่ดังกล่าวเพื่อรองรับน้ำต่อไป ทั้งนี้ ควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและประชาชนทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย |
.....