ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 155 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 3081 - 3100 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3081 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (พลตำรวจโท ประจวบ วงศ์สุข และร้อยโท ปรีชาพล พงษ์พานิช) | กก. | 30/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยมีจำนวนกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้าคน
(นับรวมประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
และผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง) ตามมาตรา
๑๔ แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
และมาตรา ๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ คน
เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์
และดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ มกราคม
๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3082 | การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 27 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กก. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์สำคัญการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ประกอบด้วย ๑)
ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๗ ๒) ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม
ครั้งที่ ๒๓ ๓) ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-สาธารณรัฐอินเดีย
ครั้งที่ ๑๑ ๔)
ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-สหพันธรัฐรัสเซียอาเซียน
ครั้งที่ ๓ ๕) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียน และองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ
(UNWTO) และ ๖)
ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของอาเซียน และ
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมฯ จำนวน ๖
ฉบับ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
เป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘
และเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน
ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างอาเซียน-อินเดีย
ผ่านการเสริมสร้างความเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก กล่าวคือ
ในปี ๒๕๖๖ คณะทำงานด้านการขนส่งสาขาที่มีการดำเนินข้อริเริ่มความร่วมมือกับอินเดีย
อาทิ การจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียน-อินเดีย
โครงการความร่วมมือถนนสามฝ่าย ไทย-เมียนมา-อินเดีย
และส่วนต่อขยายไปยังลาว-กัมพูชา-เวียดนาม และการจัดทำร่างความตกลงความร่วมมือการขนส่งทางน้ำอาเซียน-อินเดีย
ได้มีมติให้คงการพิจารณาโครงการ/ข้อริเริ่มดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่าอินเดียจะมีความพร้อม
และควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนที่มีความเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน
พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๘ (ASEAN Tourism Strategic Plan) รวมทั้งผลักดันให้มีมาตรฐานการท่องเที่ยวในระดับกลุ่มภูมิภาคอาเซียน
เพื่อให้การขับเคลื่อนของกลุ่มประเทศสมาชิกเกิดขึ้นอย่างจริงจังและมีความยั่งยืนมากขึ้น
ทั้งในมิติของการสร้างประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย
การสร้างสมดุลระหว่างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3083 | การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข
หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ)
กำหนดให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดให้มีเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการหรือหน่วยงานนอกเวลาราชการและในวันหยุดราชการ
นั้น
พบว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีครูและบุคลากรทางการศึกษาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการที่ต้องมาปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอยู่บ่อยครั้ง
ประกอบกับปัจจุบันมีบุคคลและเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยของสถานที่ราชการหรือหน่วยงานของรัฐแทนได้
เช่น การใช้พนักงานรักษาความปลอดภัย การจ้างเอกชนให้บริการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย
การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด นอกจากนี้
การให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาอยู่เวรรักษาการณ์ในสถานศึกษายังอาจเป็นการกำหนดหน้าที่ที่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สถานศึกษาในสังกัด
รวมทั้งกระทรวงอื่น ๆ ที่มีสถานศึกษาในสังกัด เช่น กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงมหาดไทย ตลอดจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ กรกฎาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข
หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ)
และมอบหมายกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (หน่วยงานในสังกัดในแต่ละพื้นที่)
ประสานกับสถานศึกษาในพื้นที่แต่ละแห่ง
เพื่อจัดเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสถานศึกษาดังกล่าวทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3084 | ยืนยันร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองหัวเขียว และป่าคลองเกาะสุย บางส่วน ในท้องที่ตำบลเขานิเวศน์ และตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. .... | ทส. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยืนยันร่างกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติ
ป่าคลองหัวเขียวและป่าคลองเกาะสุย บางส่วน
ในท้องที่ตำบลเขานิเวศน์ และตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง พ.ศ. ....
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3085 | การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเข้าร่วมประชุม
World Economic Forum ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๙ มกราคม ๒๕๖๗
ได้มีโอกาสพบปะหารือกับผู้นำประเทศและผู้ประกอบการจากทวีปยุโรปเกี่ยวกับการขยายการค้าและการลงทุนในประเทศไทย
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีอยู่อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ก็ได้รับทราบด้วยว่า การประกอบธุรกิจในประเทศไทยยังมีปัญหาอุปสรรคหลายประการ
เช่น ข้อกฎหมายและกฎระเบียบมีความทับซ้อนกัน การขอใบอนุญาตต่าง ๆ
ใช้ระยะเวลาพิจารณายาวนานโดยเฉพาะใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับอาหารและยา
สมควรปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องการอำนวยความสะดวกเพื่อให้มีความง่ายในการประกอบธุรกิจ
(Ease of Doing Business) จึงเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากรและกรมสรรพสามิต) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใน ๒ สัปดาห์
เพื่อแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายและกฎระเบียบ รวมทั้งกระบวนการขอใบอนุญาตต่าง ๆ
ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจให้แล้วเสร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อสร้างบรรยากาศในการประกอบธุรกิจที่ดีดึงดูดให้มีการค้าและการลงทุนทั้งจากนักลงทุนในประเทศและจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3086 | โครงการสำคัญเพื่อการพัฒนาของจังหวัดระนอง | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(จังหวัดระนอง กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต และสตูล)
รวมทั้งการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
และได้หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาของจังหวัดให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
และสามารถรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้าทั้งขาเข้าและขาออกที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น
ทำให้จำเป็นต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น
จึงขอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ
แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนี้ ๑. โครงการปรับปรุงถนนและระบบสาธารณูปโภค
พร้อมปรับภูมิทัศน์ถนนจัดสรรพัฒนา ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง
จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นสายสำคัญที่เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔ เข้าสู่ตัวเมืองระนอง
รวมทั้งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปสู่ท่าเรือระนอง-เกาะสองด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3087 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน | นร.11 สศช | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบต่อไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3088 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567) | ปสส. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ปีที่
๑ ครั้งที่ ๑๐ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒๔
มกราคม ๒๕๖๗ พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๑
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๗ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่
๒๖ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๒ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่ ๒๖
มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3089 | การประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐเฉพาะกิจเพื่อจัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างครอบคลุมว่าด้วยการต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม | กต. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศอย่างครอบคลุมว่าด้วยการต่อต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม
และให้คณะผู้แทนไทยร่วมเจรจาร่างอนุสัญญาฯ
โดยใช้กรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ ในการกำหนดท่าทีในการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ โดยหากมีความจำเป็นและมีการปรับแก้ร่างอนุสัญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ขอให้คณะผู้แทนไทยใช้ดุลยพินิจในการร่วมการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ ได้
โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก ทั้งนี้ โดยคำนึงว่าไทยสามารถเลือกเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาที่กำลังมีการจัดทำดังกล่าวได้เมื่อมีความพร้อม
ซึ่งการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙ มกราคม-๙กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ณ
นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยกรอบการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) การกำหนดแนวทางการเจรจาโดยคำนึงถึงหลักการและบทบัญญัติตามกฎหมายของไทยที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนความตกลงระหว่างประเทศและพันธกรณีที่มีผลผูกพันไทย
ซึ่งสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์หรือการใช้เทคโนโลยีสารสนทศ
และการสื่อสารเพื่อวัตถุประสงค์ทางอาชญากรรม และ (๒)
การกำหนดท่าทีของไทยสำหรับการประชุมดังกล่าว โดยมีการกำหนดขอบเขตของอนุสัญญาฯ อาทิ
มีขอบเขตครอบคลุมอาชญากรรมที่ต้องพึ่งพาระบบไซเบอร์และระบบคอมพิวเตอร์ (cyber-dependent crimes) เป็นหลัก รวมถึงอาชญากรรมดั้งเดิมที่กระทำผ่านระบบไซเบอร์
หรือระบบคอมพิวเตอร์ (cyber-enabled crimes) ในบางกรณี
และสนับสนุนการเรียกและติดตามคืนทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ขอบเขตของการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศไม่ควรรวมถึงการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ของอาชญากรรมทุกประเภท
แต่ควรระบุไว้เป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดความชัดเจนภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศฯ
เนื่องจากบางกรณีเป็นเรื่องที่มีกฎหมายภายในประเทศบังคับใช้ไว้แล้ว เช่น
พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน
พ.ศ. ๒๕๕๑ และควรระบุเหตุผลความจำเป็นในการขอสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศให้กว้างและยืดหยุ่นเพื่อให้เกิดการบูรณาการเชิงป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กรณีไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตาม ม.๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และเป็นเรื่องในทางนโยบาย ซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3090 | มาตรการในการส่งเสริมอาชีพและการควบคุมความปลอดภัยของสังคมโดยรวม | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหาการรวมกลุ่มของวัยรุ่นที่ไม่มีงานทำหรือมีรายได้ไม่เพียงพอ
รวมทั้งมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงและมีการใช้อาวุธทำร้ายผู้อื่น
ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสังคมโดยรวม (Public Safety) แม้หน่วยงานด้านความมั่นคงจะได้กำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยในภาพรวมไว้แล้วก็ตามแต่ปัญหาดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด กวดขัน
และดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจอย่างเข้มงวด รวมทั้งพิจารณากำหนดมาตรการหรือกลไกในการส่งเสริมการมีงานทำและการส่งเสริมอาชีพให้กับประชาชนวัยทำงานและมาตรการในการรักษาความปลอดภัยให้มีความรัดกุมและต่อเนื่อง
เพื่อลดปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมและให้ประชาชนมีความมั่นใจในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3091 | การส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าของโครงการอันเนื่่องมาจากพระราชดำริและสินค้า OTOP | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ และได้นำภาคธุรกิจเอกชนเยี่ยมชมการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง
ๆ เช่น โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
รวมทั้งสินค้าชนิดต่าง ๆ จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคธุรกิจเอกชนจะได้ประสานความร่วมมือกับเกษตรกรและชุมชนในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน
ลดขั้นตอนการผลิตสินค้า
และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้าให้แพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่าของสินค้าของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้สูงขึ้นได้
ซึ่งจะเป็นการพัฒนาและยกระดับสินค้าของท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ
ของไทยในภาพรวมให้มีความยั่งยืนต่อไป ดังนั้น
จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือ สนับสนุน
และส่งเสริมการดำเนินกิจการ
ตลอดจนการอุดหนุนสินค้าของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
รวมถึงสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้มากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3092 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 | นร.11 สศช | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงเพิ่มเติมว่า
โดยที่โครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ของจังหวัดกระบี่ เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙-๒๕๗๐ ดังนั้น
จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด
จำนวน ๑๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป ๓.
เห็นชอบในหลักการโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๐๒,๐๙๙,๐๐๐ บาท [(๑)
โครงการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานถนนท่องเที่ยวชุมชนเกาะยาวใหญ่ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (๒) โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ถนนนาเกาะ-บางโจ
ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (๓)
โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรัง
ระยะที่ ๒ จังหวัดตรัง (๔) โครงการปรับปรุงท่าเรือระนอง-เกาะสอง
เพื่อการท่องเที่ยวและการสัญจร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง และ (๕)
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชน จังหวัดสตูล]
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒
และ ๓
จัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบต่อไป
ในส่วนของโครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี
ให้หน่วยรับงบประมาณเจ้าของโครงการจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนในส่วนที่เหลือเพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๕. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม ๒๕๖๖ [เรื่อง
ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖] โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำโครงการตามความจำเป็น
เหมาะสม และลำดับความสำคัญเร่งด่วนของแต่ละจังหวัด
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3093 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. .... | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของชาวประมง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการประกอบอาชีพของชาวประมงพื้นบ้าน ให้บรรลุผลอย่างเหมาะสม
เป็นธรรม โดยเร็ว คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เร่งนำร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง
พ.ศ. ๒๕๕๘ พ.ศ. .... ของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการประมงทะเลเพื่อฟื้นฟูการประมงทะเลและอุตสาหกรรมการประมงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนในวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3094 | ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว | นร. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง เรื่องสืบเนื่องจากการเยือนญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น
สมัยพิเศษ ของนายกรัฐมนตรี
เห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันให้เป็นเอกภาพและมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่อนุภูมิภาคและส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างกันต่อไปด้วย
นั้น จากการที่ได้พบหารือกับผู้นำประเทศอาเซียนหลายประเทศ
ได้ขอให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน
เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นในอนุภูมิภาคนี้
รวมถึงประเทศมาเลเซียด้วย ดังนั้น จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับเรื่องนี้ไปดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3095 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | ดศ. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการต่าง
ๆ ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน ๒ คณะ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการที่ปรึกษาวิชาการ ๒. คณะกรรมการสถิติประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3096 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายธนสาร ธรรมสอน) | นร.04 | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมเห็นชอบแต่งตั้ง นายธนสาร ธรรมสอน เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๓ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3097 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (1. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ฯลฯ รวม 6 ราย) | กค. | 23/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน
รวม ๖ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการ ๒. นายเสรี นนทสูติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นางสาวเกตสุดา สุประดิษฐ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายจักร บุญ-หลง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายวิสุทธิ์ จันมณี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3098 | กำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2567 | นร.04 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ ณ จังหวัดระนอง
และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต
ระนอง และสตูล) ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3099 | ขออนุมัติการจัดทำเเละลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลเเห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐเเห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย | คค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ
มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานของเรือและบริษัทขนส่งทางเรือ
รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เช่น (๑)
การร่วมมือเพื่อพัฒนาการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างกัน (๒)
การกำหนดหลักปฏิบัติต่อเรือของประเทศภาคีเมื่อเข้าสู่น่านน้ำของตน (๓) การกำหนดให้มีขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานเพื่อให้การดำเนินงานระหว่างประเทศภาคีเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
(๔) การกำหนดเอกสารที่ภาคีความตกลงฯ ต้องให้การยอมรับ (๕)
การให้การช่วยเหลือแก่เรือและลูกเรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย (๖)
การดำเนินคดีทางแพ่งและทางอาญา และ (๗) การระงับข้อพิพาท เป็นต้น
โดยการดำเนินการตามร่างความตกลงจะอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของไทย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
และราชอาณาจักรไทย และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังสำนักเลขาธิการบิมสเทค
แจ้งการมีผลใช้บังคับของร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเลระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล
สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทย
เมื่อกระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่าได้ดำเนินกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลบังคับใช้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการขนส่งทางทะเล
ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา และราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ภายใต้ร่างความตกลงดังกล่าว ได้กำหนดถึงแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล
เช่น การป้องกันการสูญเสียสัตว์ทะเลหายาก การเฝ้าระวังมลพิษจากขยะทะเล
การรั่วไหลของน้ำมัน
การป้องกันชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่อาจมากับน้ำอับเฉาเรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงเรือ
เป็นต้น จึงอาจพิจารณาประเด็นดังกล่าวประกอบการดำเนินความร่วมมือในอนาคต และในกรณีที่การใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางทะเลภายใต้กรอบความตกลงข้างต้นในอนาคตมีความเสี่ยงหรือประสบปัญหาอันเกิดจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเลไม่ว่าที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ฝ่ายไทยสามารถเสนอมาตรการและกลไกการประสานงานระหว่างประเทศสมาชิก BIMSTEC เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริหารสถานการณ์ข้างต้น
โดยอาศัยกลไกความร่วมมือสาขาความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ Expert Group on
Maritime Security Cooperation in the Bay of Bengal อีกช่องทางหนึ่ง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3100 | การกำหนดสินค้าควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ 2542 | พณ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๗ จำนวน ๕ รายการ ได้แก่ (๑) หน้ากากอนามัย (๒)
ใยสังเคราะห์ Polypropylene (Spunbond)
เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย (๓)
ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ (๔) เศษกระดาษ
และกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก และ (๕) ไก่ เนื้อไก่
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันพุธที่
๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ ๓๐
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อให้สิ้นสุดผลบังคับใช้พร้อมกับสินค้าและบริการ จำนวน ๕๑
รายการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ ๙ พ.ศ. ๒๕๖๖ เรื่อง
การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|