ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 156 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 3101 - 3120 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3101 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้มีการรับรองเอกสารร่างแถลงการณ์ (Communique) สำหรับการประชุม Global Forum for Food and Agriculture (GFFA) ครั้งที่ 16 และการประชุม Berlin Agriculture Ministers' Conference ครั้งที่ 16 | กษ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการรับรองเอกสารร่างแถลงการณ์
(2024 Zero Draft Communique) ในการประชุมรัฐมนตรีเกษตรเบอร์ลิน
(Berlin Agriculture Ministers’ Conference) ครั้งที่ ๑๖
ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
มีสาระสำคัญเป็นการให้คำมั่นที่จะดำเนินความร่วมมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ ๒
ยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหาร และยกระดับโภชนาการ
และส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน (SDG2 “Zero Hunger”) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3102 | รายงานผลการดำเนินงานการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน [เรื่อง การละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรณีดำเนินโครงการสรรหาเอกชนเพื่อร่วมลงทุนเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ไอซีดี) ที่ลาดกระบังล่าช้า] | คค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
[เรื่อง
การละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรณีดำเนินโครงการสรรหาเอกชนเพื่อร่วมลงทุนเป็นผู้ประกอบการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง
(ไอซีดี) ที่ลาดกระบังล่าช้า]
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3103 | ข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset) | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset) และมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและกระทรวงการคลังร่วมกันจัดทำกฎกระทรวงหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งกำหนดแนวปฏิบัติตามข้อเสนอนโยบายดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมใช้ข้อเสนอนโยบายการกำหนดเงื่อนไขว่าด้วยการสร้างความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมในประเทศอันเกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างจากต่างประเทศของภาครัฐ (Offset)
เป็นกรอบแนวทางสำหรับการเจรจาทำความตกลงการค้าระหว่างประเทศ Free
Trade Agreement (FTA “European Union-Thailand Free Trade Agreement : EU-THAILAND
FTA” ครั้งที่ ๒
โดยไม่ถือว่าข้อเสนอนโยบายในครั้งนี้เป็นข้อจำกัดในการเจรจา FTA กับ EU ในเรื่องอื่น ๆ ที่จะมีขึ้นในโอกาสต่อ ๆ ไป
เช่น ความตกลงด้านการเกษตร ด้านพาณิชย์ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนักงบประมาณและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า
รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบในทุกมิติ และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างและขอบเขตการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดต่าง
ๆ ที่มีส่วนในการขับเคลื่อนและบริหารนโยบาย Offset ให้มีความสอดคล้องและบูรณาการการทำงานระหว่างกันอย่างเป็นระบบ
รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบหลักที่มีกลไกและอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3104 | ร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการศึกษาและวิจัยแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม (JOINT DECLARATION OF INTENT BETWEEN THE MINISTRY OF
HIGHER EDUCATION, SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION OF THE KINGDOM OF THAILAND
AND THE FEDERAL MINISTRY OF EDUCATION AND RESEARCH OF THE FEDERAL REPUBLIC OF
GERMANY ON COOPERATION IN THE FIELDS OF SCIENCE, RESEARCH AND INNOVATION) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ โดยร่างปฏิญญาร่วมฯ
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมระหว่างไทยและเยอรมนีให้มีทิศทางและความสอดคล้องกับประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยไม่จำกัดสาขาความร่วมมือ
ซึ่งหัวข้อในแต่ละสาขาความร่วมมือจะเป็นไปตามความสนใจร่วมกันของทั้งสองฝ่ายและจะกำหนดผ่านการประชุมและข้อตกลงในภายหลัง
โดยครอบคลุม ๑๐ กิจกรรม เช่น
การประกาศรับข้อเสนอร่วมกันสำหรับโครงการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี
การแลกเปลี่ยนข้อมูล วัสดุ และเอกสารด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างปฏิญญาร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3105 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 1/2567 | นร.08 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาบังคับใช้แทน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก
อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ
อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา
ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่
๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๓.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ดังนี้ ๓.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง
อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง
และอำเภอกรงปินัง และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
และร่างประกาศ เรื่อง ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่อำเภอปะนาเระ
จังหวัดปัตตานี และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3106 | ขอให้พิจารณาประกาศพื้นที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา เป็นพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร | กอรมน. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปผลการประเมินพื้นที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และอำเภอรามัน จังหวัดยะลา
ประกอบการพิจารณาประกาศพื้นที่ที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑ ร่างประกาศ เรื่อง พื้นที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ๒.๒ ร่างประกาศ เรื่อง
การให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ๒.๓ ร่างประกาศ เรื่อง
กำหนดลักษณะความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๔ ร่างข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๑๘
แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ รวม ๔ ฉบับ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3107 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) | นร.09 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
จำนวน ๔ คณะ เพื่อให้การพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายมีความต่อเนื่องทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนมากที่สุด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๒.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๓.
คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วน บริษัท และองค์กรทางธุรกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3108 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล) | นร.04 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง [รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)]
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๖ มกราคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3109 | การประสานขอความร่วมมือจากคณะรัฐมนตรีในเรื่องต่าง ๆ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา | นร. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์
เทพสุทิน) ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญในคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา รายงานว่า ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๗ ได้แจ้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสัมมนาของคณะกรรมาธิการติดตาม
เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศและการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
และสรุปข้อมูลกระทู้ถามของวุฒิสภา ดังนี้ ๑.๑ การสัมมนา เรื่อง “สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการติดตาม
เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
วุฒิสภา ในห้วงปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖” โดยขอความอนุเคราะห์พิจารณามอบหมายหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสัมมนา
ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ มกราคม ๒๕๖๗ เวลา ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ นาฬิกา ณ
ห้องประชุมหมายเลข ๔๐๒-๔๐๓ ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา ซึ่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะได้มีหนังสือแจ้งหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒. สรุปข้อมูลกระทู้ถามของวุฒิสภา
ในห้วงระยะเวลาของรัฐบาลนี้ ในสมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๖
(วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๖-๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๖) และ สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ.
๒๕๖๖ (วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๖-ปัจจุบัน) ซึ่งประกอบด้วยสารบบกระทู้ถามเป็นหนังสือที่ขอให้ตอบในที่ประชุมวุฒิสภาและสารบบกระทู้ถามด้วยวาจา
และสารบบกระทู้ถามเป็นหนังสือที่ขอให้ตอบในราซกิจจานุเบกษา
ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ถามในที่ประชุมวุฒิสภาหรือตอบในราชกิจจานุเบกษา
แต่โดยที่ยังมีกระทู้ถามที่ค้างตอบหรือเลื่อนตอบจำนวนมาก
จึงขอความร่วมมือให้รัฐมนตรีมาตอบกระทู้ถามในที่ประชุมวุฒิสภาหรือตอบในราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารราชแผ่นดิน ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วจึงได้ลงมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3110 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครบริสเบน และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครบริสเบน เครือรัฐออสเตรเลีย (นางเจียรนัย ทีนา ฟีลด์) | กต. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายแอนดรูว์
เวนต์เวิร์ท พาร์ก (Mr. Andrew Wentworth Park) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครบริสเบน
รัฐควีนส์แลนด์ เครือรัฐออสเตรเลีย ตั้งแต่วันที่ ๓๐. มิถุนายน ๒๕๖๕ เนื่องจากขอลาออกจากตำแหน่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3111 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายนรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | สธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๔ ราย
ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ดังนี้ ๑. นายนรินทร์รัชต์
พิชญคามินทร์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต
สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๕ ๒.
นางสาวชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่
๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๓. นายปริญญา
สันติชาติงาม ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ
(ด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรม) โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ พฤษภาคม
๒๕๖๖ ๔.
นางสาวสุรัตน์ มงคลชัยอรัญญา ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข)
กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3112 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อผ. 362/2562 คดีหมายเลขแดงที่ อผ. 295/2566 ระหว่างบริษัท สวัสดีการ์เด้น รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 12 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | นร.05 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ อผ. ๓๖๒/๒๕๖๒ คดีหมายเลขแดงที่ อผ. ๒๙๕/๒๕๖๖ ระหว่างบริษัท
สวัสดีการ์เด้น รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๒ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี
ที่ ๑ กับพวกรวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี
ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3113 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด
(ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๖ คณะ/จังหวัด ได้ติดตามสอดส่องการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
๒,๐๙๘
เรื่อง และมีข้อเสนอแนะ ๑,๕๗๖ ข้อ ใน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑)
แผนงาน/โครงการ ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๒)
แผนงาน/โครงการของส่วนราชการในจังหวัด ๓) แผนงาน/โครงการอื่น ๆ (เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และรัฐวิสาหกิจ) และ ๔) เรื่องร้องเรียน ๒.
ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญและแนวทางการแก้ไขของ ก.ธ.จ. เช่น ๑) การปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. แต่ละคณะมีความแตกต่างกันทำให้มาตรฐานในการทำงานแตกต่างกัน
แนวทางการแก้ไข ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะปรับปรุงคู่มือการปฏิบัติงานของ
ก.ธ.จ. ให้มีความเหมาะสมเป็นมาตรฐานเดียวกัน และ ๒) งบประมาณไม่เพียงพอกับการปฏิบัติงานของ
ก.ธ.จ. แนวทางการแก้ไข เช่น ให้ ก.ธ.จ. จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร
ปรับแผนการลงพื้นที่ และหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3114 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน) | กค. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น
ๆ ที่คล้ายกัน ประเภทอัตราตามปริมาณ (ลิตร) (ปรับลดประมาณ ๑ บาทต่อลิตร)
เป็นระยะเวลา ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่สะท้อนต้นทุนตามข้อเท็จจริง
เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงภาระการชดเชยต้นทุนส่วนต่าง
ตลอดจนความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามการประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป และให้ภาครัฐเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันเพื่อทดแทนการดำเนินมาตรการทางภาษี
ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยและมีความเปราะบางต่อการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและค่าครองชีพ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3115 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา | มท. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น
วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปได้ว่า
ในส่วนปัญหาอุปสรรคของท้องถิ่นในการจัดการศึกษา พบว่าด้านบุคลากร กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการกำหนดแผนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและคัดเลือกในตำแหน่งที่มีความต้องการแล้ว
และด้านการบริหารจัดการ ปัจจุบันมีสถานศึกษาสามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
เช่น ค่าอุปกรณ์สำหรับผู้เรียนในการฝึกกีฬา ค่าประกันอุบัติเหตุ
เพื่อแก้ไขปัญหากระบวนการจัดซื้อจัดหาตามระเบียบที่ล่าช้าและมีความเหลื่อมล้ำได้อยู่แล้ว
ในส่วนข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานและองค์กรภาครัฐ ในด้านนโยบาย กรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้สนับสนุนการดำเนินงานท้องถิ่นดิจิทัลผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย
เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ
อีกทั้งได้มีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อกำหนดให้บุคลากรทางการศึกษาร่วมเป็นคณะกรรมการในองค์กรบริหารงานส่วนท้องถิ่นเพื่อกำหนดแนวทางการสรรหาบุคลากร
ด้านบุคลากร ได้นำมาตรฐานหลักเกณฑ์และระเบียบที่ใช้กับบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการมาประยุกต์ใช้โดยอนุโลม
และได้ดำเนินการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแล้ว รวมทั้งได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่แล้ว
และได้จัดงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นในระดับประเทศ ด้านวัสดุ อุปกรณ์
เทคโนโลยีสารสนเทศ อาคารสถานที่ แหล่งเรียนรู้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรมเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ควรบูรณาการและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน
เช่น จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการการเรียนระบบคลังหน่วยกิตกับโรงเรียน
ด้านการบริหารจัดการ
ได้กำหนดแนวทางหรือระเบียบว่าด้วยการจัดจ้างบุคลากรเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติแล้ว
และได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดรับอาสาสมัครมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่และครูในพื้นที่
ด้านงบประมาณ กระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบให้สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารงบประมาณตามการกิจแล้ว
ในส่วนของข้อเสนอแนะสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกแบบหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาออกแบบและพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับปรัชญาและวัตถุประสงค์ของสถาบันและลักษณะสาขาวิชา
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3116 | รายงานประจำปี 2565 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | อว. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
โดยมีผลการดำเนินงาน ดังนี้ ๑) ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญของประเทศโดยเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน BCG Model ๒) ดำเนินการจัดทำและผลักดันแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ
เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) (๓) สร้างสรรค์ผลงานวิจัย พัฒนา
และนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG และ AI ๔) การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECI) เพื่อให้ EECI
เป็นระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ๕)
การถ่ายทอดเทคโนโลยี นำผลการวิจัยสู่การสร้างเสริมขีดความสามารถเกษตรชุมชน ๖) การพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนมากกว่า
๘๖๒ ราย ๗) การพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัย
พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาระดับปริญญาโท/เอก/นักวิจัยหลังปริญญาเอก
และ ๘) รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๕ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า
งบการเงินดังกล่าวมีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3117 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมเซ้าท์ซัมมิท ครั้งที่ 3 | กต. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมเซ้าท์ซัมมิท
ครั้งที่ ๓ และให้ผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมการประชุมเซ้าซัมมิท ครั้งที่
๓ ร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ได้ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของกลุ่ม
๗๗ และจีนที่จะร่วมมือกันผลักดันประเด็นในเวทีสหประชาชาติและเวทีระหว่างประเทศอื่น
ๆ และขยายความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า สถาปัตยกรรมการเงินระหว่างประเทศ
การระดมทุนเพื่อการพัฒนา การบริหารจัดการหนี้ สิ่งแวดล้อม
การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การรับมือความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ
การศึกษา การพัฒนาผู้ประกอบการ และการส่งเสริมบทบาทของสตรี ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมเซ้าท์ซัมมิท ครั้งที่
๓ (Outcome Document of the 3rd South Summit) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานภายใต้ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
ดังกล่าว
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3118 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (NAM Summit) ครั้งที่ 19 | กต. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติต่อร่างเอกสารสุดท้าย (Draft Final Document) ของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
(NAM Summit) ครั้งที่ ๑๙ โดยร่างเอกสารสุดท้ายฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับท่าที พัฒนาการ และการดำเนินการของ NAM ในประเด็นระดับโลกและภูมิภาค เช่น
การเมือง ความมั่นคงระหว่างประเทศ
เศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน และการปฏิรูปสหประชาชาติ โดยแบ่งเป็น
๓ บท ได้แก่ บทที่ ๑ ประเด็นระหว่างประเทศ บทที่ ๒ ประเด็นการเมืองภูมิภาคและอนุภูมิภาค
และบทที่ ๓ ประเด็นด้านการพัฒนา สังคม
และสิทธิมนุษยชน และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของนายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว
หากอาเซียนเห็นพ้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวน (reservation)
หรือหนังสืออื่น ๆ
ที่เป็นการแจ้งท่าทีของอาเซียนต่อถ้อยคำในเอกสารสุดท้ายฯ ตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อเอกสารสุดท้ายของการประชุม
NAM Summit ครั้งที่ ๑๘ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน
เมื่อปี ๒๕๖๒
ขออนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมลงนามในหนังสือแจ้งข้อสงวนดังกล่าวเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่น
ๆ และหากปรากฏว่า เนื้อหาหรือถ้อยคำของเอกสารสุดท้ายฯ
ไม่สอดคล้องกับนโยบายผลประโยชน์ และท่าทีประเทศไทยในสาระสำคัญ แสดงท่าทีเชิงลบ
หรือมีถ้อยคำรุนแรงประณามประเทศอื่นใด ขออนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งข้อสงวน
(reservation) หรือแสดงท่าที่อธิบายอย่างระมัดระวังถึงเหตุผลของประเทศไทยซึ่งทำให้ไม่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือถ้อยคำดังกล่าวได้
ทั้งนี้ การแจ้งข้อสงวนเป็นแนวทางที่ประเทศไทยปฏิบัติมาโดยตลอด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารสุดท้ายของการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
ครั้งที่ ๑๙ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3119 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่มีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างเอกสารการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (7th ASEAN Ministerial Meeting on Sports :
AMMS-7) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน ครั้งที่ ๗ (๒)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑ (๓)
ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-จีน
(๔) ขอบเขตหน้าที่ (TOR) ของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสาขากีฬาอาเซียน-จีน
(๕) ร่างปฏิญญาเชียงใหม่ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น
มุ่งสู่ปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และ (๖)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีกีฬาอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๔
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว โดยร่างเอกสารทั้ง
๖ ฉบับดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์
และการมีส่วนรร่วมในประชาคมอาเซียนต่อการพัฒนากีฬาในภูมิภาคอาเซียน โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนถ้อยคำในร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้
ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา
ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในการดำเนินการตามร่างเอกสารทั้ง ๖ ฉบับดังกล่าว ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็น นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรขยายความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ ที่มีศักยภาพด้านกีฬา รวมทั้งผลักดันให้มีการจัดกิจกรรมกีฬาในระดับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3120 | การพิจารณารับรองวัดคาทอลิก ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก พ.ศ. 2564 | วธ. | 16/01/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการรับรองวัดคาทอลิก จำนวน ๔๑ วัด
เป็นวัดคาทอลิกตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยแนวทางพิจารณาในการจัดตั้งวัดบาทหลวงโรมันคาทอลิก
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่า ๑) ควรพิจารณาจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
(Universal Design
: UD) อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และปลอดภัย ให้ครบทั้ง ๕ ด้าน
ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายสัญลักษณ์ และบริการข้อมูล
เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง สามารถประกอบศาสนกิจ
และกิจกรรมต่าง ๆ ภายในวัดคาทอลิกได้อย่างสะดวกถ้วนหน้า
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาจัดกิจกรรมยกย่อง เชิดชูเกียรติองค์กรศาสนาที่มีผลงานดีเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่องค์กร บุคลากร และผู้ร่วมปฏิบัติงานให้แก่องค์กรศาสนานั้น
ๆ พร้อมทั้งมีการยกย่ององค์กรศาสนาต้นแบบที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่องค์กรศาสนาอื่น
ๆ ในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมหรือให้การสนับสนุนด้านสังคม เช่น
การจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำชุมชน เป็นต้น ๒) ควรให้มีรั้วแสดงขอบเขตของวัดคาทอลิกและโรงเรียนในระบบออกจากกันอย่างชัดเจน
โดยขนาดที่ดินที่เป็นที่ตั้งโรงเรียนที่เหลืออยู่จะต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบฯ
พร้อมทั้งให้โรงเรียนในระบบดำเนินการขอเปลี่ยนแปลงรายการในตราสารจัดตั้งและขอเปลี่ยนแปลงขนาดที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนในระบบต่อผู้อนุญาตที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี หรือดำเนินการอย่างอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนกำหนดต่อไป
และ ๓) กรณีการถือครองที่ดินว่า
ถึงแม้วัดคาทอลิกจะได้รับความเห็นชอบในการจัดตั้งตามมติคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกโดยชอบแล้ว
แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งของวัดคาทอลิกด้วยประการใด ๆ
ก็ตามซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นใหม่นั้น
วัดคาทอลิกจำเป็นที่จะต้องมีการยื่นขอความเห็นชอบดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองคำขอจัดตั้งวัดคาทอลิกตามระเบียบฯ
อีกครั้งหนึ่ง
รวมทั้งเห็นควรเชิญผู้แทนกรมป่าไม้เข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการฯ
เพื่อร่วมตรวจสอบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดคาทอลิกซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจทับซ้อนกับพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้เกิดความชัดเจนและรัดกุมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|