ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1421 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 28401 - 28420 จากข้อมูลทั้งหมด 124003 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28401 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ 3 มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี | นร12 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ ๓ มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่อไป สำหรับมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีดังนี้ ๑.๑ การจัดประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรี ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการขององค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นควรให้เป็นดุลยพินิจของคณะรัฐมนตรี ๑.๒ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องรับผิดชอบในการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนในประเด็นที่เป็นปัญหาของสังคม ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นอาจจัดตั้งกลไกพิเศษเป็นรายกรณี ๑.๓ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ และปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๘ อย่างจริงจัง ๑.๔ เห็นชอบข้อเสนอแนะสำนักงาน ก.พ.ร. ในการแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐ ๒. สำหรับแนวทางตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบาย : มาตรการที่ ๓ มาตรการเสริมสร้างความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้มีการดำเนินการแล้วหลายประการ เช่น คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร การขอความเห็นหน่วยงานเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี) กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจรแล้ว เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีระยะเวลาพิจารณาเรื่องในระเบียบวาระการประชุมล่วงหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระยะเวลาในการนำเสนอข้อมูลและความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และทุกครั้งที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ครั้งแรก ได้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งได้มีการจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่มติคณะรัฐมนตรีให้ประชาชนสามารถตรวจดูได้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ |
|||||||||||||||||||||||||||
28402 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม 2555) | กค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๙๙,๗๗๒.๒๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๙.๑๖ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๙.๑๖ เป็นผลมาจากการเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๗๖,๙๐๗.๔๙ ล้านบาท และการเบิกจ่ายของหน่วยงานที่เบิกจ่ายเงินทั้งจำนวนแล้ว จำนวน ๓๓ หน่วยงาน จำนวนเงิน ๑๖,๐๖๑.๔๗ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๒,๙๖๘.๙๖ ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๖๔๑,๓๖๔.๕๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๒.๐๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๒,๐๐๐,๕๘๓.๘๖ ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๕๘,๔๑๔.๗๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๔.๖๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๓๙๙,๔๑๖.๑๔ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๔.๖๓ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙๖,๗๙๘.๓๓ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๘๖,๑๓๓.๖๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๙.๐๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีรายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๗,๔๙๐.๓๐ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐๗,๒๔๘.๙๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๙.๓๗ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑,๑๔๒.๖๖ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๓๔๑,๕๓๐.๒๑ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๓๒๑,๓๒๗.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๐๘ ของวงเงินที่จัดสรร ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๗๘๒.๒๓ ล้านบาท และตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จัดสรรแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒๒,๖๓๘.๑๗ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้วจำนวน ๔,๕๔๕.๑๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๒๐.๐๘ ของวงเงินที่จัดสรร
|
|||||||||||||||||||||||||||
28403 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2555 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล และด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้แก่ ๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๓ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๕๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๑.๑๔ งานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ดำเนินการคัดเลือกแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรี และงานคัดเลือกผู้รับจ้างงานระบบรางและงานระบบรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างการปรับปรุงรายงานเปรียบเทียบแนวทางการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน ๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๖.๘๖ ล่าช้ากว่าแผนงานร้อยละ ๓.๑๔ การก่อสร้างงานโยธา สัญญาที่ ๑-๕ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๒๓.๖๑ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๕.๓๔ งานระบบรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างการนำเสนอผลการศึกษาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบการเดินรถ ๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากแบบรายละเอียดและเอกสารประกวดราคายังไม่แล้วเสร็จ เป็นผลมาจากกรุงเทพมหานครไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขน ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางและสถานีบริเวณดังกล่าว รวมทั้งต้องเสนอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอีกครั้ง ๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๙๓.๔๕ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๕ การก่อสร้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ มีความก้าวหน้าร้อยละ ๑.๗๓ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๐.๐๘ และอยู่ระหว่างการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (งานระบบราง) ๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ดำเนินการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบและจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ โดยมีประชาชนบางส่วนในเขตมีนบุรีคัดค้านแนวเส้นทางเดิมตามแผนแม่บทของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยเสนอให้ รฟม. ปรับแนวเส้นทางและตำแหน่งศูนย์ซ่อมบำรุงบริเวณมีนบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่าง รฟม. ศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของการปรับแบบแนวเส้นทาง ๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ ๑.๑.๘ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างสำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพัน ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายและเปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานและนำข้อคิดเห็นของประชาชนมาพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในด้านการบริหารเงินสด การบริหารจัดการหนี้ และการบริหารความเสี่ยง การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงความสำคัญของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การดำเนินงานขององค์กร และให้การสนับสนุนองค์กร การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร และการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษาอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ด้านการเงิน และด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล จำนวน ๒๔ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายของโครงการและแนวทางการดำเนินงานให้ชัดเจนในแต่ละนโยบาย การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งดำเนินการบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศสกุลเงินเยนของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ การเร่งจัดทำแผนธุรกิจเพื่อรองรับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนส่วนต่อขยายและสายใหม่ของ รฟม. การประสานสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่เหมาะสมและสอดคล้องกับขอบเขตภารกิจหน้าที่ของ รฟม. การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยมีการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งในด้านบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและเอกชนผู้รับสัมปทานในการพัฒนาบุคลากรการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนระบบไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณของบุคลากร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บุคลากรของ รฟม. อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
28404 | รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต เพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน | พน | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม-๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ โดยผู้เข้าร่วมในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ฝ่ายไทย ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมคณะผู้บริหารจากกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัท พีทีที อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PTTI) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) และสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ อาทิ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี และกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ประสานงานและดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยกระทรวงพลังงานจะได้เรียนเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าหารือเพื่อดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานต่อไป ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลง ๒ ฉบับ คือ ข้อตกลงความร่วมมือ [Joint Cooperation Agreement (JCA)] และข้อตกลงการค้าร่วม [Joint Trading Agreement (JTA)] ระหว่างกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ TIMOR GAP E.P. ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต เพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโรงแยกคอนเดนเสทในเมืองเบทาโน จากแหล่ง Bayu-Undan รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรของ TIMOR GAP และการซื้อ-ขายคอนเดนเสทระหว่างกัน ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพร้อมคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี และผู้ประสานงานกิจการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นด้านพลังงานต่าง ๆ เช่น ปริมาณการบริโภคพลังงานของประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งประเทศติมอร์-เลสเตยังต้องพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านก๊าซธรรมชาติและน้ำมันอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน และการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน จะก่อให้เกิดความร่วมมือในการลงทุน ศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านพลังงานอันจะนำไปสู่การเพิ่มพูนความมั่นคงทางพลังงานของทั้งสองประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28405 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" | สสป | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการรับมือเศรษฐกิจไทยจากสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดูแลสภาพคล่องและสนับสนุนการประกันส่งออก ให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒. ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน และร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ ๓.๐ หรือต่ำกว่านี้ไปจนถึงสิ้นปี รวมทั้งสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลต่างประเทศในการชำระค่าระวางเรือ (Freight Charge) ๓. ให้หน่วยงานราชการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้า-ส่งออก ๔. ให้กรมสรรพากรพิจารณาในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีนำเข้าเพื่อการส่งออกให้รวดเร็ว ๕. ส่งเสริมการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้มีระบบสินเชื่อให้กับคู่ค้า รวมทั้งสนับสนุนและแก้ไขอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกให้สินค้าเข้า-ออกชายแดน ๖. ส่งเสริมการส่งออกทดแทนตลาดหลัก ๗. ส่งเสริมให้มีการจัดหาวัตถุดิบซึ่งขาดแคลนเพื่อผลิตและส่งออก (Global Sourcing) ๘. ให้มีการเจรจาขอสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GPS) กลับคืนมา ๙. เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเข้มข้นในภาคอุตสาหกรรม และควรมีมาตรการเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ ๑๐. ส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและมีความชัดเจน ๑๑. กำหนดเป้าหมายการส่งออกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
|
|||||||||||||||||||||||||||
28406 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมการทำเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) | กต | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมการทำเกษตรแบบมีสัญญาภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการของไทยในการนำเข้าสินค้าเกษตรเป้าหมายซึ่งประเทศไทยผลิตไม่เพียงพอและมีนโยบายส่งเสริมให้ไปปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงในเรื่องผลิตผลทางการเกษตรซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจะเป็นไปตามความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) ซึ่งไทยมีพันธกรณีไว้แล้วภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) โดยทั้งสองประเทศยังสามารถคงสิทธิในการใช้มาตรการภายใน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. การดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้จะต้องถือปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนและหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๖ [เรื่อง แผนการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (contract farming) ภายใต้ ACMECS ประจำปี ๒๕๕๖] และให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์การประกาศใช้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติและเกิดทัศนคติที่ไม่ดีของประเทศเพื่อนบ้านและผู้ประกอบการตามแนวชายแดนของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28407 | ร่างแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรเบลเยียม | กต | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรเบลเยียม (Joint Plan of Action between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Belgium) ซึ่งเป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรเบลเยียม ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในประเด็นที่ตกลงกันสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๓ โดยจัดทำขึ้นเป็นภาษาอังกฤษเพื่อลงนาม ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วยความร่วมมือ ๓ ด้าน ได้แก่ การส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความเข้าใจร่วมกันระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ การสร้างเสริมความร่วมมือในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศ และการพัฒนาความร่วมมือระดับทวิภาคีใน ๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการบังคับใช้กฎหมายและการกงสุล ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน รวมทั้งด้านการป้องกันประเทศและการทหาร ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับสาระสำคัญของร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ ในส่วนที่ ๒ Strengthening Cooperation on Regional and Global Issues ภายใต้หัวข้อ Joint Plan of Action ในข้อ c. ในบรรทัดที่ ๒ แก้ไขคำผิดจาก Ayewaddy Chao Phraya Mekong Economic Cooperation Strategy (ACMECS) เป็น Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy (ACMECS) และในร่างคำแปลอย่างไม่เป็นทางการชื่อภาษาไทยของ GMS ที่เป็นทางการ ได้แก่ แผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ นอกจากนี้ ความร่วมมือตามข้อ f ของ Part I ในส่วนที่เกี่ยวกับ the Belgian Council of State ซึ่งทำหน้าที่ทั้งในส่วนการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองและการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย จึงควรเพิ่มเติมสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไว้ด้วย เพื่อให้การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภาคราชการตามแผนปฏิบัติการร่วมฯ ครอบคลุมทุกด้านอันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ฝ่ายไทย ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
28408 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๑๒.๑๒๐๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๕,๔๕๐.๑๓๑๖ ล้านบาท ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ เป็นเงิน ๑๑๐,๒๒๘.๓๑๘๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๒.๒๓ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๖ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๗ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๘ จังหวัด ๓. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรแล้วสุทธิ ๑๑๙,๕๑๒.๑๒๐๔ ล้านบาท คงเหลือ ๔๘๗.๘๗๙๖ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๓๗๑.๔๖๙๖ ล้านบาท (รวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณเนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๔๒.๙๓๗๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันที จำนวน ๑๑๖.๔๑๐๐ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินงบประมาณที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการดึงเงินประจำงวดกลับจากส่วนราชการฯ ที่แจ้งส่งคืนอีก จำนวน ๑๘.๕๒๕๗ ล้านบาท วงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๑๓๔.๙๓๕๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
28409 | รายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ในช่วง 6 เดือนแรก (1 ตุลาคม 2554 - 31 มีนาคม 2555) | นร07 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการโอนงบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖๙ วรรคสาม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕) และแจ้งรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ เพื่อกำกับดูแลการโอนรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานในสังกัดต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. การโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในช่วง ๖ เดือนแรก (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕) การโอนงบประมาณของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นจำนวน ๑,๘๕๘.๔๓๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๗๘ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๓๘๐,๐๐๐.๐๐๐ ล้านบาท ๒. การโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จำแนกเป็น ๒ กรณี ซึ่งเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายโดยใช้อำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๔-๒๖) จำนวน ๒๐๔.๐๗๙ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๐๙ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเป็นการโอนงบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการที่ต้องขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (ระเบียบฯ ข้อ ๒๗) จำนวน ๑,๖๕๔.๓๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๖๙ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓. ลักษณะในการโอนงบประมาณรายจ่าย ๓.๑ เป็นการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลหรือตามมติคณะรัฐมนตรี และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน หรือเป้าหมายการดำเนินงานของส่วนราชการ จำนวน ๑,๓๖๒,๘๙๗,๕๑๖ บาท ๓.๒ เป็นการโอนงบประมาณเพื่อชดใช้คืนรายการผูกพันที่ยืมจากปีที่ผ่านมา จำนวน ๔๒๓,๓๙๗,๙๐๐ บาท ๓.๓ เป็นการโอนงบประมาณระหว่างหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนด จำนวน ๗๒,๐๘๖,๙๐๐ บาท ๓.๔ เป็นการโอนไปจ่ายเป็นค่าสาธารณูปโภค จำนวน ๕๐,๙๗๘ บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||
28410 | รายงานความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ | นร11 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาพรวม ในระหว่างวันที่ ๔ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๖ มีผู้ประกอบการ SMEs แจ้งปัญหาและขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ภาครัฐและภาคเอกชนเปิดให้บริการ รวมทั้งสิ้น ๑๗๔ ราย โดยมีผู้ประกอบการ SMEs แจ้งความต้องการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ จำนวน ๒๒๖ เรื่อง จำแนกเป็น ความต้องการด้านสินเชื่อ ๙๘ เรื่อง ด้านแรงงาน ๖๕ เรื่อง ด้านต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต ๒๒ เรื่อง ด้านภาษี ๒๐ เรื่อง และด้านอื่น ๆ ๒๑ เรื่อง ๑.๒ ผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือ รอบที่ ๑ (๔-๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้พิจารณาปัญหาและความต้องการช่วยเหลือของผู้ประกอบการ SMEs จำนวน ๒๗ ราย ๓๘ ความต้องการ และมีมติให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการเป็นรายกรณี ได้แก่ กระทรวงแรงงาน ๑๑ เรื่อง กระทรวงการคลัง ๒ เรื่อง กระทรวงอุตสาหกรรม ๑ เรื่อง สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ๕ เรื่อง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑ เรื่อง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ๑๗ เรื่อง และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๑ เรื่อง พร้อมทั้งให้หน่วยงานดังกล่าวรายงานผลการดำเนินการให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบทุก ๒ สัปดาห์ ๑.๓ ผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือ รอบที่ ๒ (๘ กุมภาพันธ์-๑ มีนาคม ๒๕๕๖) ๑.๓.๑ มีผู้ประกอบการ SMEs แจ้งปัญหาและความต้องการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านช่องทางต่าง ๆ จำนวน ๑๔๗ ราย ๑๘๘ ความต้องการ จำแนกออกเป็น ความต้องการด้านสินเชื่อ ๗๖ เรื่อง ด้านแรงงาน ๕๘ เรื่อง ด้านต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพการผลิต ๒๐ เรื่อง ด้านภาษี ๑๖ เรื่อง และด้านอื่น ๆ ๑๘ เรื่อง ๑.๓.๒ คณะทำงานกลั่นกรองเรื่องที่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ภายใต้คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้วิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐของผู้ประกอบการทั้ง ๑๘๘ เรื่องแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่จะประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ ในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖ เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับความเดือดร้อนทั้ง ๑๔๗ ราย ต่อไป ๒. ให้คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมบูรณาการการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จในลักษณะ One Stop Service รวมทั้งให้การสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการตลาดและการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นและลดต้นทุนการขนส่งด้วย หลังจากนั้นให้ส่งมอบภารกิจของคณะกรรมการฯ ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับผิดชอบดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28411 | ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงกาชาดไทย | อื่นๆ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกาชาดอำเภอ/กิ่งอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงกาชาดไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้มอบให้สภากาชาดไทย เหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ/กิ่งอำเภอ ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๐.๕ แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ทั้งนี้ การเห็นชอบการเสียภาษีในอัตราดังกล่าวเฉพาะการออกสลากบำรุงกาชาดไทยประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เท่านั้น โดยยังไม่รวมถึงปีต่อ ๆ ไป เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28412 | สมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับพวกรวม 3 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวก รวม 4 คน ต่อศาลปกครองกลางขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีและประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ | อส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๔๒๓/๒๕๕๑ และคดีหมายเลขแดงที่ ๒๗๕/๒๕๕๖ ระหว่างสมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกับพวก รวม ๓ คน ผู้ฟ้องคดี กับคณะรัฐมนตรีกับพวก รวม ๔ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เกี่ยวกับการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่มีมติและประกาศดังกล่าว ส่วนคำขออื่นให้ยก ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งข้อมูล พร้อมทั้งประเด็น เหตุผล และข้อกฎหมาย ที่ขอให้อุทธรณ์หักล้างคำพิพากษาศาลปกครองในเรื่องนี้ต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ภายในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
28413 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต) | นร04 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งร้อยโทหญิง สุณิสา เลิศภควัต ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28414 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนระดับทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 3 ราย 1. นายสมบัติ วัฒน์พานิช ฯลฯ) | นร04 | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวปราณี ศรีประเสริฐ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านยุทธศาสตร์และการวางแผน ๒. นายสมบัติ วัฒน์พานิช ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ๓. นางปรารถนา สุทิน ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการต่างประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28415 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มเติม (นายธวัช สุวุฒิกุล และ นายประมา ศาสตระรุจิ) | ศธ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพิ่มเติม จำนวน ๒ คน ได้แก่ นายธวัช สุวุฒิกุล และนายประมา ศาสตระรุจิ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28416 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาพิเศษในคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแทนตำแหน่งที่ว่าง (รองศาสตราจารย์ ทวี เชื้อสุวรรณเทวี) | ศธ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองศาสตราจารย์ทวี เชื้อสุวรรณทวี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาพิเศษในคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
28417 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ (นายวีรวัฒน์ ยมจินดา) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ โดยให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28418 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ) | ทส | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ทั้งนี้ ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
28419 | การควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี 2556 | สธ | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำทุกท้องถิ่น ผู้นำชุมชนรับผิดชอบระดมสรรพกำลังในการทำให้ประชาชนทุกคนลุกขึ้นมากำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำทุกบ้านอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนมิถุนายน ในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการกำชับให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งกำหนดให้มีผู้รับผิดชอบการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคาร ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอความร่วมมือไปยังทุกสถานประกอบการให้มีการจัดเวรยามกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและที่พัก ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอความร่วมมือเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทเอาใจใส่ให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและบริเวณโดยรอบของโรงแรม ๕. ให้กรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทางในการให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลบ้านเรือนและอาคารค้าขายมิให้มีลูกน้ำในภาชนะต่าง ๆ ๖. ให้ทุกกระทรวงรับผิดชอบการดำเนินงานตามบริบทของตนเอง |
|||||||||||||||||||||||||||
28420 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย (นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ) | คค | 12/03/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ มีนาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป
|
.....