ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1260 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 25181 - 25200 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25181 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานต่าง ๆ เตรียมการเพื่อดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนซึ่งจะเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลรักษาความปลอดภัยและป้องกันภัยต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่น อัคคีภัย การก่อวินาศภัยในสถานที่ราชการ และสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก เช่น แหล่งท่องเที่ยว สถานีขนส่ง สถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคใต้ เช่น นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง รวมทั้งรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะการเฝ้าระวังมิให้มีการฉวยโอกาสขโมยทรัพย์สินจากบ้านเรือนประชาชนที่ต้องอพยพย้ายที่อยู่อาศัย ๓. สืบเนื่องจากที่นักฟุตบอลทีมชาติไทยได้ชนะการแข่งขันฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ๒๐๑๔ เป็นครั้งแรกในรอบ ๑๒ ปี ดังนั้น เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่นักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย จึงให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาสนับสนุนเงินรางวัล ค่าตอบแทน หรือการยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่นักกีฬาและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาอย่างต่อเนื่องต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาหาแนวทางลดผลกระทบกับประชาชนผู้ใช้เส้นทางบนทางหลวงสัมปทาน ตอน ดินแดง-ดอนเมือง และทางหลวงสัมปทาน ตอน ต่อขยายทางด้านทิศเหนือ ซึ่งได้มีการปรับอัตราค่าผ่านทางตั้งแต่วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25182 | มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ๑.๒ ขอแก้ไขหนังสือกระทรวงการคลัง ลับ ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๗๒๖/ล ๒๕๑๓ ลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ หน้า ๓ ข้อ ๖.๑ จาก “... และการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท จากอัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๕ ของกำไรสุทธิ” เป็น “... และการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน ๓๐ ล้านบาท สำหรับช่วงกำไรสุทธิเกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากอัตราร้อยละ ๒๐ ของกำไรสุทธิ เป็นร้อยละ ๑๕ ของกำไรสุทธิ” ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป แต่โดยที่ขณะนี้ใกล้สิ้นปี ๒๕๕๗ แล้ว หากดำเนินการเพื่อให้ร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับไม่ทันตามที่กำหนดดังกล่าว อาจต้องกำหนดให้มีผลใช้บังคับย้อนหลังซึ่งเรื่องในลักษณะนี้เคยดำเนินการมาแล้วกับมาตรการทางภาษีในเรื่องอื่น ๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25183 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้ สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถีและทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่า ผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษและอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2557 | คค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๘ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25184 | รายงานสรุปผลดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2556/2557 (ประจำเดือนตุลาคม 2557) | อก | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสรุปผลดำเนินงานการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ มีชาวไร่อ้อยที่เป็นคู่สัญญาและมีสิทธิ์ในการได้รับเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น ๑๖๐ บาท/ตัน ปริมาณอ้อยเข้าหีบ (ณ วันปิดหีบ) จำนวน ๑๐๓,๖๖๕,๗๕๐.๔๖๐ ตัน รวมเป็นเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น จำนวน ๑๖,๕๘๖,๕๒๐,๐๗๓.๖๐ บาท ซึ่งปัจจุบันกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายแจ้งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรโอนเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เข้าบัญชีชาวไร่อ้อยแล้ว รวม ๑๑ งวด คิดเป็นปริมาณอ้อย ๑๐๓,๒๖๗,๑๓๖.๔๘๒ ตัน คิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๖,๕๒๒,๗๔๑,๘๓๔.๑๒ บาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๙.๖๒ ส่วนปริมาณอ้อยที่เหลือจำนวน ๓๙๘,๖๑๓.๙๗๘ ตัน คิดเป็นเงินช่วยเหลือจำนวน ๖๓,๗๗๘,๒๓๖.๔๘ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๓๘ ๑.๒ ชาวไร่อ้อยที่ยังไม่ได้จดทะเบียนชาวไร่อ้อย หรือมีการย้ายที่อยู่ไม่สามารถติดต่อได้ ให้มีการชะลอการจ่ายเงินไว้ จำนวน ๑,๙๒๘ ราย คิดเป็นปริมาณอ้อย จำนวน ๓๕๑,๖๕๗.๑๗๐ ตัน จำนวนเงิน ๕๖,๒๖๕,๑๔๗.๒๐ บาท ๑.๓ ชาวไร่อ้อยที่จดทะเบียนและยื่นเอกสารขอรับเงินเพิ่มค่าอ้อยขั้นต้นไว้แล้วแต่ยังไม่ได้รับเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้น เนื่องจากเอกสารการขอรับเงินไม่ถูกต้อง เช่น บัญชีธนาคาร การจดทะเบียนชาวไร่อ้อย คิดเป็นปริมาณอ้อย ๔๖,๙๕๖.๘๐๘ ตัน จำนวนเงิน ๗,๕๑๓,๐๘๙.๒๘ บาท อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารข้อมูล ๒. เพื่อให้การดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิต ปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ เร่งรัดการจ่ายเงินเพิ่มราคาอ้อยขั้นต้นส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งควบคุม ตรวจสอบ กำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิ์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติในการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าอ้อยที่ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง การให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗) ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
25185 | รายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. 2556 | ทก | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมีสาระสำคัญว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ร่วมทุนจำนวน ๔ โครงการ งบประมาณรวมจำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่ได้ทำแล้วเสร็จ และได้นำไปใช้แล้วจำนวน ๓ โครงการ คือ การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน โดยบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง ปังปอนด์ จอมป่วน โดยบริษัท วิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด และโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Internet Billing System โดยบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ส่วนอีกโครงการ คือ โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Gabriel and the Christmas โดยบริษัท ดิจิดรีม จำกัด สำนักงานฯ ได้แจ้งบอกเลิกสัญญาเนื่องจากบริษัท ฯ ไม่คืนเงินร่วมทุนตามระยะเวลาที่กำหนด ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาขน)] รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจร่วมทุนให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีความคุ้มค่าในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25186 | การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ | กก | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมาตรการแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ ประกอบด้วย มาตรการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ระยะสั้น ได้แก่ ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องนำส่งใบสั่งงานมัคคุเทศก์ (Job Order) ต่อสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางและสาขา กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องจัดหามัคคุเทศก์ชาวไทยที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายเดินทางไปกับกรุ๊ปทัวร์ตลอดเวลาที่นำเที่ยว แจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแจ้งรายชื่อมัคคุเทศก์ที่ปฏิบัติงานเป็นมัคคุเทศก์ต่อสำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง และให้แรงงานต่างด้าวที่ปฏิบัติหน้าที่ให้กับบริษัท มารายงานตัวที่กรมการจัดหางาน แจ้งมัคคุเทศก์ทุกคนให้มารายงานตัว ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ จนถึงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ เพื่อสำรวจข้อมูลสถานะปัจจุบันของมัคคุเทศก์ ดำเนินมาตรการปราบปรามผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่มีการดำเนินการในลักษณะตัวแทนอำพราง (NOMINEE) และขยายผลไปสู่การดำเนินธุรกิจที่เข้าข่ายการกระทำความผิดที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ พิจารณาหลักสูตรอบรมมัคคุเทศก์ที่มีมาตรฐานและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างจิตสำนึกการเป็นเจ้าบ้านที่ดี โดยประชาสัมพันธ์ให้กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ในการไม่เอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว และพัฒนาส่วนรับเรื่องราวร้องทุกข์ โดยจัดตั้งเป็นศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาธุรกิจนำเที่ยว มัคคุเทศก์ และผู้นำเที่ยว เพื่อให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและแก้ไขปัญหาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ๑.๒ ระยะกลาง ได้แก่ แต่งตั้งคณะกรรมการทดสอบคุณภาพและความสามารถทางภาษาต่างประเทศของมัคคุเทศก์ และประสานผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวให้พนักงานเจ้าหน้าที่ร่วมสังเกตการณ์ตลอดการนำเที่ยวในกลุ่มตลาดต่าง ๆ ได้แก่ ตลาดรัสเซีย จีน เกาหลี เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถร่วมปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ ระยะยาว ได้แก่ สร้างเครือข่าย โดยเชิญผู้แทนของจังหวัด ผู้ประกอบการภาคเอกชน ดำเนินการตรวจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เร่งผลิตมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ และปรับปรุงพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งตรวจปฏิบัติตามกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เห็นว่าผู้เกี่ยวข้องควรเข้มงวดในการตรวจสอบการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมมากน้อยเพียงใด หากมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามที่กำหนด ควรเพิกถอนใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพและควรหามาตรการดำเนินการกับผู้ที่ไม่มีใบประกอบวิชาชีพดังกล่าว การให้ความสำคัญกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ อย่างจริงจัง ในขณะเดียวกันให้เร่งพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ควรใช้ประโยชน์จากสถาบันพัฒนาบุคลากรการท่องเที่ยวที่มีอยู่ โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา และพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของมัคคุเทศก์ไทยให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งพิจารณาเพิ่มเติมแนวทางปฏิบัติในการกำหนดจุดตรวจสอบใบสั่งงานมัคคุเทศก์ (Job Order) พื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญเบื้องต้น และบูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ ๓ ส่วน ประกอบด้วย ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจพื้นที่ และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อร่วมกันออกตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. ๒๕๕๑ อย่างจริงจังและเข้มงวด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับผิดชอบด้านงบประมาณและการประสานการปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานผลการดำเนินงานที่กำหนดให้มัคคุเทศก์มารายงานตัว ซึ่งได้ขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๘ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25187 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน (จำนวน 12 คน) | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนชุดเดิมที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ ดังนี้ ๒.๑ องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ จำนวน ๑๒ คน ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการ ก.พ.ร. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบดีกรมบัญชีกลาง นายวิสุทธิ์ มนตริวัต นายศานิต ร่างน้อย นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการกองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่กองกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ ๒.๒ อำนาจหน้าที่ ๒.๒.๑ พิจารณากลั่นกรองการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน โดยรวมถึงทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมายเฉพาะเพื่อการนั้นด้วย ๒.๒.๒ พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒.๒.๓ นำเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ๒.๒.๔ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียน ๒.๒.๕ ดำเนินการอื่นใดตามที่ได้รับมอบหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
25188 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2556 | คค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ ซึ่งผ่านการตรวจสอบและรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ งบแสดงฐานะการเงิน มีสินทรัพย์รวม ๑,๑๔๘,๖๑๑,๐๘๓.๙๒ บาท มีหนี้สินรวม ๕๔๗,๒๑๐,๗๔๗.๔๒ บาท มีหนี้สินและส่วนของทุนรวม ๑,๑๔๘,๖๑๑,๐๘๓.๙๒ บาท ๑.๒ งบกำไรขาดทุน มีรายได้รวม ๔๙๒,๖๗๘,๘๙๕.๐๘ บาท มีค่าใช้จ่ายรวม ๓๙๑,๖๖๑,๙๑๙.๗๐ บาท มีกำไรสุทธิ ๑๐๑,๐๑๖,๙๗๕.๓๘ บาท ๑.๓ งบกระแสเงินสด มีเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานรวม ๔๗,๕๘๔,๖๔๕.๖๖ บาท เงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมลงทุนรวม ๘๐,๒๗๓,๔๔๖.๕๕ บาท มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ วันสิ้นงวด ๔๗,๑๙๐,๗๘๖.๙๑ บาท ๒. ในการรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ สบพ. ครั้งต่อไป ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการจัดทำรายงานดังกล่าวให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
25189 | รายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอกชนเพื่อร่วมเป็นสมาชิก เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๐ และบรรษัทได้มีการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ แต่เนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยของประเทศไทยปี ๒๕๕๔ ทำให้บรรษัทประสบภาวะขาดทุนอย่างมากในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกันวินาศภัยไทย จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ๒. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อนุมัติในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทย จำนวน ๓.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ประมาณ ๑๐๒ ล้านบาท) และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัท จำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครบ ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเจตนารมณ์ในการเพิ่มทุนของรัฐบาลไทย ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้โอนให้แก่บรรษัทแล้ว และเนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในการเพิ่มทุนครั้งที่ ๑ การเพิ่มทุนจำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องใช้เงินทั้งสิ้น ๒๒๔,๙๘๙,๕๖๐ บาท จึงยังคงค้างเงินที่ต้องชำระให้แก่บรรษัท จำนวน ๕,๙๘๙,๕๖๐ บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อชำระเงินให้แก่บรรษัทแล้ว ๓. ต่อมาบรรษัทได้มีหนังสือมายังกระทรวงการคลังเพื่อให้ยืนยันการรับเงินปันผลของรัฐบาลไทย อัตราร้อยละ ๓ ของจำนวนหุ้น Class B ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทสำหรับการถือหุ้นในปี ๒๕๕๖ แล้วในรูปแบบเงินสด จำนวน ๙๕,๓๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๐๘๘,๐๖๒ บาท และจะนำส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ จำนวนการถือหุ้นไม่มีผลต่อสิทธิในการออกเสียงของประเทศสมาชิก ซึ่งทุกประเทศจะมีเพียง ๑ สิทธิเท่านั้น ไม่ว่าจะมีจำนวนหุ้นเท่าใด
|
|||||||||||||||||||||||||||
25190 | ผลการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 6 (The 6th Asia - Europe Culture Ministers' Meeting - ASEM CMM 6) | วธ | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีวัฒนธรรมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๖ (The 6th Asia-Europe Culture Ministers’ Meeting-ASEM CMM6) ณ เมืองรอตเตอร์ดัม ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ โดยกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ภายใต้หัวข้อหลัก “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพื่อสังคม : ความสามารถพิเศษ เทคโนโลยี และการค้า (Creative industries for society : talent, technology and trade)” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ ๑ หัวหน้าคณะผู้แทนระดับรัฐมนตรีวัฒนธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้กล่าวถ้อยแถลง มีสาระสำคัญคือ รัฐบาลชุดปัจจุบันให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นฐานของประเทศ โดยการพัฒนานวัตกรรมมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มบนฐานความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญา และการใช้ดิจิทัลรองรับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ๒. การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องเมืองสร้างสรรค์ ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอภาพรวมด้านภาระงานและนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมที่ครอบคลุมด้านการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมทุกประเภทและส่งเสริมพัฒนาต่อยอดมรดกวัฒนธรรมทั้งหลายให้ตอบสนองความต้องการสังคมในปัจจุบัน และเพิ่มคุณค่าทางเศรษฐกิจด้วย สำหรับเมืองสามเมืองที่คัดเลือกมาเสนอเป็นกรณีตัวอย่างในการประชุมครั้งนี้ คือ (๑) เชียงใหม่ : เมืองสร้างสรรค์แห่งศิลปหัตถกรรม (๒) สุโขทัย : เมืองสร้างสรรค์แห่งการท่องเที่ยวและการจัดการแหล่งมรดกโลก และ (๓) ภูเก็ต : เมืองสร้างสรรค์ด้านศาสตร์และศิลป์แห่งอาหาร ๓. การประชุมเต็มคณะ ครั้งที่ ๒ มีการนำเสนอเกี่ยวกับโครงการเครือข่ายอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในภูมิภาคเอเชีย-ยุโรป และการนำเสนอเกี่ยวกับรายงานการประชุมเชิงปฏิบัติการ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้สาธารณรัฐเกาหลีเป็นเจ้าภาพของการประชุม ASEM CMM7 ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||
25191 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดยกฟ้อง ในคดีระหว่าง นางกุหลาบ เครือบสุวรรณ์ ที่ 1 กับพวกรวม 208 คน ผู้ฟ้องคดี นางกมลทิพย์ ธีรานนท์ ที่ 1 กับพวกรวม 163 คน ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 1645 ตำบลบางคูวัด (บางคูวัดใต้) อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี (ที่ตั้งโรงงานสุราบางยี่ขัน แห่งที่ 2) | อส | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๒๐๒/๒๕๕๓ ระหว่าง นางกุหลาบ เครือบสุวรรณ์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๒๐๘ คน ผู้ฟ้องคดี นางกมลทิพย์ ธีรานนท์ ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๖๓ คน ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๘ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.๔๕๖/๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||
25192 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการจดแจ้งในโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคหรือที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะ และห้ามการโอนที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภค กำหนดหลักเกณฑ์การพ้นจากหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคของผู้จัดสรรที่ดิน และการให้ทรัพย์สินอันเป็นสาธารณูปโภคตกเป็นของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แก้ไขบทบัญญัติที่กำหนดชื่อตำแหน่งในคณะกรรมการจัดสรรที่ดินให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน รวมทั้งแก้ไขระยะเวลาการค้างชำระค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25193 | ขอความเห็นชอบให้สัตยาบันภาคผนวกแนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง | คค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้สัตยาบันภาคผนวกแนบท้ายความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Agreement : CBTA) รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑ ภาคผนวก ๑ การขนส่งสินค้าอันตราย ๑.๒ ภาคผนวก ๔ การอำนวยความสะดวกสำหรับการขนส่งข้ามแดน ๑.๓ ภาคผนวก ๕ การข้ามแดนของบุคคล ๑.๔ ภาคผนวก ๖ กฎเกณฑ์ในการผ่านพิธีการศุลกากรสำหรับสินค้าผ่านแดนและสินค้าผ่านแดนในประเทศ ๑.๕ ภาคผนวก ๘ การนำเข้ารถยนต์ชั่วคราว ๑.๖ ภาคผนวก ๑๔ กฎเกณฑ์ศุลกากรสำหรับคอนเทนเนอร์ ๒. เห็นชอบให้นำภาคผนวก ๔, ๕, ๖, ๘ และ ๑๔ รวม ๕ ฉบับ เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำสัตยาบันสารเพื่อดำเนินการให้สัตยาบันภาคผนวกดังกล่าวรวม ๖ ฉบับให้มีผลผูกพันประเทศไทยต่อไป และให้ดำเนินการให้สัตยาบันภาคผนวก ๔, ๕, ๖, ๘ และ ๑๔ ได้เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบ และพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามภาคผนวกดังกล่าวได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
25194 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและทักษะของไอร์แลนด์และกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย | ศธ | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการและทักษะของไอร์แลนด์และกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทย โดยบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นความร่วมมือทางการศึกษาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบความร่วมมือในการเสริมสร้าง ส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือในด้านการศึกษาในทุกระดับ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาการศึกษาของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแลกเปลี่ยนนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบโครงสร้างทางการศึกษา เทคโนโลยีทางการศึกษา และสิ่งตีพิมพ์ทางวิชาการ การรับรองคุณภาพทางการศึกษา และการเทียบโอนหน่วยกิตในระดับอุดมศึกษา ตลอดจนการส่งเสริมข้อริเริ่มในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเฉพาะทาง เทคโนโลยีการอาหาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ สาธารณสุขศาสตร์ และการศึกษาทางไกล เป็นต้น ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25195 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแลกเปลี่ยนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระยะที่ 4 สำหรับปี 2557 - 2558 | กต | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียนและร่างความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระยะที่ ๔ สำหรับปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ โดยร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ มีสาระเป็นการตอบรับข้อเสนอของฝ่ายเยอรมนี โดยแจ้งว่า อาเซียนเห็นชอบกับข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายเยอรมนีที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการเสริมสร้างศักยภาพแก่สำนักเลขาธิการอาเซียน ระหว่างปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ เป็นมูลค่ารวม ๑,๙๕๐,๐๐๐ ยูโร โดยให้สมาคมเยอรมันเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (Deutsche Gesellschaft fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) และสำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ดำเนินโครงการ ส่วนร่างความตกลงฯ เป็นความตกลงระหว่าง GIZ กับอาเซียน โดยระบุรายละเอียดของการดำเนินโครงการ อาทิ การสนับสนุนทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง การจัดหาสถานที่ การบริหารจัดการโครงการ การประเมินผล การปรับแก้และบอกเลิกความตกลง รวมทั้งการระงับข้อพิพาทและการตีความ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายอาเซียน และความตกลงว่าด้วยการดำเนินโครงการฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยให้ความยินยอมแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
25196 | โครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี | มท | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๑,๐๖๙ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศวงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. วงเงิน ๒๖๙ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการปรับสัดส่วนการกู้เงินโดยใช้เงินรายได้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น การกำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินโครงการ ให้สามารถดำเนินการเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ การให้ความสำคัญในการวางแผนทางการเงินและการบริหารการลงทุนของโครงการอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ การกำหนดแนวทางในการแสวงหารายได้อื่นเพื่อชดเชยผลขาดทุนของโครงการที่เกิดขึ้น การบูรณาการโครงการและแผนงานต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะให้สามารถดำเนินการได้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของ กฟภ. ในอนาคต การประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน และ/หรือรัฐวิสาหกิจที่ศึกษาและดำเนินโครงการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเพื่อนำความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษาและการดำเนินโครงการมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อต่อยอดในการดำเนินการในโครงการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะของ กฟภ. ในระยะอื่น ๆ ต่อไป การประเมินผลโครงการก่อนเสนอขอขยายการดำเนินงานในระยะถัดไป เพื่อพิจารณาข้อดี ข้อจำกัดและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25197 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 1) และมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 146) | พน | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑) เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เป็นเรื่องเพื่อทราบ รวม ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๘ (Power Development Plan : PDP 2015) (๒) การแยกกิจการระบบส่งก๊าซของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการเปิดให้ใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจีแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access Regime : TPA Regime) (๓) แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff และ (๔) การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ๑.๒ มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑๔๖) เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นเรื่องพิจารณา ๑ เรื่อง ได้แก่ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวม ๗ ฉบับ (๗ ผลิตภัณฑ์) และเรื่องเพื่อทราบ รวม ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑) และ (๒) อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๗ ฉบับ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดรถจักรยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องยนต์แก๊สโซลีนขนาดเล็กระบายความร้อนด้วยอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉนวนใยแก้วเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... ๒.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องซักผ้าที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องสูบน้ำในครัวเรือนที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒.๗ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กแบบลูกสูบที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... |
|||||||||||||||||||||||||||
25198 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินงาน การจัดเก็บรายได้ และการใช้จ่ายงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และเห็นชอบแผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ แผนการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีเป้าหมายจะต่อยอดพัฒนาการกำกับกิจการพลังงานเพื่อสู่ความเป็นเลิศด้านกำกับกิจการพลังงาน มีมาตรฐานระดับสากล และสอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ แผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ และแผน AEDP รวมถึงตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการกำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสมและเป็นธรรมและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม และสนับสนุนการวิจัย พัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อรองรับแผนดำเนินงานประจำปีฯ จำนวน ๗๙๓.๗๓ ล้านบาท ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและควบคุมงานอาคารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นการถาวรไว้แล้ว จำนวนประมาณ ๕๖.๕๐ ล้านบาท และกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานมีเงินที่จะต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นการถาวรตามแผนที่ได้นำเสนอไว้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานขอนำเงินดังกล่าวกันเป็นภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อจัดสรรเป็นค่าก่อสร้างอาคารสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจนกว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ๑.๓ ประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จะมีวงเงินรวมประมาณ ๗๙๓.๘๒ ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมการประกอบกิจการพลังงานรายปี ๒. ในการจัดทำงบประมาณในปีต่อไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจัดทำแผนบริหารงบประมาณ โดยมุ่งเน้นให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างประหยัดและคุ้มค่าโดยเฉพาะรายจ่ายด้านบุคลากรและการจัดการและบริหารสำนักงาน ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน) เพื่อนำงบประมาณในส่วนที่ประหยัดได้ไปใช้พัฒนาความรู้ในการปฏิบัติภารกิจหลักของสำนักงานให้แก่บุคลากร รวมทั้งปรับลดสัดส่วนการใช้งบประมาณระหว่างรายจ่ายกิจกรรมตามยุทธศาสตร์ รายจ่ายด้านบุคลากร และการจัดการและบริหารสำนักงานให้มีความสมดุลและเหมาะสมยิ่งขึ้น ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หัวข้อที่ (๒) ส่งเสริมกิจการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ควรมีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าทุกประเภทในการที่ภาครัฐจะซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนด้วย และหัวข้อที่ (๓) คุ้มครองสิทธิของผู้ใช้พลังงานและผู้มีส่วนได้เสีย ควรเพิ่มการส่งเสริมการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายพลังงาน และการวิจัยและพัฒนาด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและใช้พลังงานด้วย และเห็นควรรายงานสรุปปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา และให้มีการประเมินองค์กรจากหน่วยงานภายนอก เพื่อความน่าเชื่อถือและโปร่งใสในการดำเนินงานและการประเมินผลองค์กรต่อไป นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างอาคารสำนักงานถาวรของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานควรเป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงบประมาณ และใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัดและคุ้มค่า โดยในส่วนของการก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานควรพิจารณาดำเนินงานในรูปแบบที่ไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25199 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2558 ครั้งที่ 1 | กค | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๙๖,๕๕๗.๗๒ ล้านบาท จากเดิม ๑,๒๕๕,๑๑๖.๐๘ ล้านบาท เป็น ๑,๓๕๑,๖๗๓.๘๐ ล้านบาท ๑.๒ การกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการลงทุน และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ปรับปรุงครั้งที่ ๑ ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ ๑.๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามผูกพันการกู้เงินและหรือการค้ำประกันเงินกู้และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒. รับทราบการปรับปรุงแผนบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติคณะรัฐมนตรีภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ครั้งที่ ๑ ที่มีวงเงินปรับเพิ่มขึ้น ๑๔,๑๘๖.๓๔ ล้านบาท จากเดิม ๑๔๑,๓๒๐.๙๗ ล้านบาท เป็น ๑๕๕,๕๐๗.๓๑ ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||
25200 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักร ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. .... | มท | 23/12/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ซึ่งเข้ามาเพื่อทำงานในราชอาณาจักร ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับคนต่างด้าวทั้งสามสัญชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
.....