ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1260 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 25181 - 25200 จากข้อมูลทั้งหมด 124262 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25181 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปี พ.ศ. 2558 เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ | นร | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมในช่วงวันฉัตรมงคล ๒. ส่วนรัฐวิสาหกิจ และสถาบันการเงิน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง และธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||
25182 | การดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | กค | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการปรับปรุง พัฒนา หรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน ข้อมูลกรอบวงเงินงบประมาณดำเนินงานวิจัยของทุนหมุนเวียน กลุ่ม ๑ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ๖ ทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ วงเงินรวม ๓,๕๐๙.๔๐ ล้านบาท และสภาพคล่องของทุนหมุนเวียนทั้งหมด ซึ่งมีทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องส่วนที่เกินความจำเป็น จำนวน ๓๐ ทุน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ ๓๒,๗๐๘ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงการคลังวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการปฏิรูปทุนหมุนเวียนในกรณีที่จะต้องดำเนินการปรับปรุง พัฒนา ยุบรวม หรือยุบเลิกกองทุนตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) เช่น ๒.๑ เสนอแนวทางในการยุบรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งต้องปรับปรุงและพัฒนา รวม ๔๓ ทุน และทุนหมุนเวียนที่ได้รับผลการประเมินต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งต้องพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานโดยด่วน รวม ๕ ทุน ให้ชัดเจนและยุบทุนหมุนเวียนที่มีวัตถุประสงค์ใกล้เคียงกันมารวมกันเป็นทุนหมุนเวียนเดียวเพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนต่อไป ทั้งนี้ ในการยุบรวมหรือยุบเลิกดังกล่าวให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ๒.๒ การแบ่งกลุ่มทุนหมุนเวียนต้องให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในการนำทุนหมุนเวียนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ๒.๓ จัดทำแผนปฏิบัติการที่จะนำทุนหมุนเวียนที่มีสภาพคล่อง ส่วนที่เกินความจำเป็น จำนวน ๓๐ ทุน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ ๓๒,๗๐๘ ล้านบาท ไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินการสนับสนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในช่วงระยะเวลา ๑ ปี แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25183 | การประชุมมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีช่วยหรือเทียบเท่าว่าด้วยการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน (Extraordinary Friends of the Lower Mekong Initiative Sub-cabinet Level Meeting on Mekong Sustainability) | กต | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงตอนล่างสมัยพิเศษระดับรัฐมนตรีช่วยหรือเทียบเท่าว่าด้วยการพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน (Extraordinary Friends of the Lower Mekong Initiative Sub-cabinet Level Meeting on Mekong Sustainability) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการร่วมมือกันเพื่อจัดการกับปัญหาเรื่องน้ำ อาหาร พลังงาน และสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาแม่น้ำโขง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ และรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับถ้อยคำในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ควรเป็นไปในลักษณะตระหนักถึงความสำคัญร่วมกันของบรรดามิตรประเทศ กลุ่มประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งภายในและภายนอกลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ต่อการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาในหลากหลายมิติที่สำคัญ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25184 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโซมาเลียและเอริเทรีย | กต | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโซมาเลียและเอริเทรีย รวม ๗ ฉบับ ได้แก่ ข้อมติ ที่ ๑๙๐๗ (ค.ศ. ๒๐๐๙), ที่ ๑๙๗๒ (ค.ศ. ๒๐๑๑), ที่ ๒๐๒๓ (ค.ศ. ๒๐๑๑), ที่ ๒๐๓๖ (ค.ศ. ๒๐๑๒), ที่ ๒๐๙๓ (ค.ศ. ๒๐๑๓), ที่ ๒๑๑๑ (ค.ศ. ๒๐๑๓) และที่ ๒๑๘๒ (ค.ศ. ๒๐๑๔) ประกอบด้วยการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อโซมาเลียและเอริเทรีย การห้ามเดินทางต่อโซมาเลียและเอริเทรีย การอายัดทรัพย์สินต่อโซมาเลียและเอริเทรีย และการห้ามนำเข้าถ่านไม้จากโซมาเลีย ๒. มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25185 | การเพิ่มเงินสนับสนุนสมทบและการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพสำนักเลขาธิการ COBSEA | ทส | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้เพิ่มเงินสนับสนุนสมทบค่าธรรมเนียมสมาชิกองค์กรสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชียตะวันออก (Coordinating Body on the Seas of East Asia : COBSEA) จากเดิม ๒๐,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี เป็น ๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ๑.๒ ให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพสำนักเลขาธิการ COBSEA ๒. งบประมาณสำหรับเป็นเงินสนับสนุนสมทบค่าธรรมเนียมสมาชิกของ COBSEA ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้สำหรับเป็นค่าธรรมเนียมสมาชิกของ COBSEA จำนวน ๖๖๘,๘๐๐ บาท (๒๐,๙๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ) และส่วนที่จะต้องสมทบเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๒๑,๑๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดำเนินการโดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม |
|||||||||||||||||||||||||||
25186 | ขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - 2562 รายการเช่ารถประจำตำแหน่ง | พน | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงพลังงานดำเนินการเช่ารถประจำตำแหน่งในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔,๘๙๘,๘๘๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงานเช่ารถประจำตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงาน จำนวน ๑ คัน ในวงเงิน ๑,๙๗๕,๖๘๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รายการค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๘๒,๒๔๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ อีกจำนวน ๑,๖๙๓,๔๔๐ บาท ๑.๒ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเช่ารถประจำตำแหน่งรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จำนวน ๒ คัน ในวงเงิน ๒,๙๒๓,๒๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ รายการค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๔๑๗,๖๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๒ อีกจำนวน ๒,๕๐๕,๖๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับข้อสังเกตของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจากเบิกค่าตอบแทนในลักษณะเหมาจ่าย เป็นการเช่ารถประจำตำแหน่ง เนื่องจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงานและรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติท่านใหม่ เมื่อเข้าดำรงตำแหน่งจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมาขอรับค่าตอบแทนในลักษณะเหมาจ่ายได้ จะต้องรอให้ครบสัญญาเช่ารถ (มกราคม ๒๕๕๘-กันยายน ๒๕๖๒) ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนการปฏิบัติจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25187 | โครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาวัสดุอ้างอิงรับรองด้านมาตรวิทยาเคมี | วท | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่าตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐได้เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาวัสดุอ้างอิงรับรองด้านมาตรวิทยาเคมี โครงการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการด้านนิวเคลียร์และรังสี (อาคารมาตรวิทยารังสีแห่งชาติ) และรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบูรพา นั้น การเสนอขอปรับเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันน่าจะเป็นผลจากความบกพร่องในการออกแบบ หรือความไม่รอบคอบในการดำเนินการ ส่งผลให้วงเงินการดำเนินโครงการเพิ่มสูงขึ้น และเป็นภาระต่องบประมาณ คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง สาเหตุของความล่าช้า รวมทั้งผู้รับผิดชอบต่อความบกพร่องใน ๓ โครงการดังกล่าว และนำเสนอผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีว่า จะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร
|
|||||||||||||||||||||||||||
25188 | ขออนุมัติปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณและขอขยายเวลา โครงการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการด้านนิวเคลียร์และรังสี (อาคารมาตรวิทยารังสีแห่งชาติ) | วท | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่าตามที่คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐได้เสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีว่า การดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการก่อสร้างอาคารพัฒนาวัสดุอ้างอิงรับรองด้านมาตรวิทยาเคมี โครงการก่อสร้างอาคารปฏิบัติการด้านนิวเคลียร์และรังสี (อาคารมาตรวิทยารังสีแห่งชาติ) และรายการก่อสร้างกลุ่มอาคารคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบูรพา นั้น การเสนอขอปรับเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันน่าจะเป็นผลจากความบกพร่องในการออกแบบ หรือความไม่รอบคอบในการดำเนินการ ส่งผลให้วงเงินการดำเนินโครงการเพิ่มสูงขึ้น และเป็นภาระต่องบประมาณ คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง สาเหตุของความล่าช้า รวมทั้งผู้รับผิดชอบต่อความบกพร่องใน ๓ โครงการดังกล่าว และนำเสนอผลการตรวจสอบและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีว่า จะดำเนินโครงการต่อไปอย่างไร
|
|||||||||||||||||||||||||||
25189 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมมายุ 5 รอบ 60 พรรษา โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๘ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (นับระยะเวลาตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ๒๕๕๘ โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ รวมทั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบท ระหว่างรับราชการแล้ว และข้าราชการซึ่งเคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยไม่ถือเป็นวันลา) สามารถจะลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน ร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. เพื่อให้การปฏิบัติและการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เป็นไปอย่างสมพระเกียรติ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเสนอแผนงาน โครงการ และงบประมาณค่าใช้จ่ายต่อคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติในชุดนั้น ๆ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และในกรณีที่จะต้องนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนให้ถูกต้อง โดยผ่านสำนักราชเลขาธิการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25190 | โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง | กษ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ดำเนินโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง โดยมีเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ คือ พื้นที่เกษตรที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗/๒๕๕๘ จำนวน ๓,๐๕๒ ตำบล ๕๘ จังหวัด จากบัญชีรายชื่อพื้นที่คาดการณ์ความแห้งแล้งในพื้นที่เกษตร ปี ๒๕๕๘ ตามแผนเตรียมการรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการ จำนวน ๓,๑๕๑,๙๙๒,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนกิจกรรมเกษตรชุมชนในพื้นที่เป้าหมาย ตำบลละไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓,๐๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ จำนวน ๙๙,๙๙๒,๐๐๐ บาท เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะงบดำเนินงาน ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ขออนุมัติดำเนินโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง) ในการกำหนดรายละเอียดโครงการให้ชัดเจน รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลให้การจัดทำโครงการของชุมชนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สนับสนุนให้ชุมชนจัดทำแผนบริหารโครงการของชุมชนหลังเสร็จสิ้นโครงการเพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนา ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรที่เกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า และในการประเมินผลโครงการที่ควรศึกษาถึงผลประโยชน์และผลกระทบของโครงการด้วย รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมชี้แจง/สัมมนา ค่าใช้จ่ายในการจัดเวทีตำบล และค่าใช้จ่ายในการให้คำแนะนำ รายงาน ติดตาม ประเมินผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในการดำเนินโครงการในพื้นที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงกลาโหมเพื่อให้ทหารร่วมสนับสนุนประชาชนในการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การขุดลอกคูคลอง การก่อสร้างถนน ทั้งนี้ ในส่วนของการติดตามโครงการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อดำเนินการติดตามและตรวจสอบโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ รวมทั้งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๕. เนื่องจากการช่วยเหลือที่ผ่านมาได้ดำเนินการเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ที่งดส่งน้ำในเขตพื้นที่ชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำแม่กลอง และการช่วยเหลือในพื้นที่แล้งซ้ำซาก ทั้งนี้ ยังมีเกษตรกรอีกส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและการช่วยเหลือยังไม่ครอบคลุมกลุ่มดังกล่าว จึงเห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังเร่งรัดโครงการที่จะสนับสนุนด้านอุปกรณ์เครื่องมือ และปัจจัยการผลิตทางการเกษตร ซึ่งรวมทั้งมาตรการด้านภาษีให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25191 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25192 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... | ทส | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เพื่อการอนุรักษ์ การปกป้อง และการฟื้นฟูบูรณะต้นยางนาและต้นขี้เหล็ก ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
25193 | การทำหนังสือสัญญาที่หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร09 | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๖) เกี่ยวกับเรื่องการทำหนังสือสัญญาที่หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (เรื่องเสร็จที่ ๘๔/๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สรุปได้ว่า การจัดทำหนังสือสัญญาจะถือขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนเริ่มต้นการจัดทำ และขอบเขตความหมายของคำว่า "หนังสือสัญญา" ที่ระบุในมติคณะรัฐมนตรีคืออะไร หากเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ต้องจัดทำขึ้นระหว่างรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกอย่างไร อันได้แก่ บันทึกความเข้าใจ ความตกลง หรือความร่วมมือ ย่อมเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันรัฐบาลที่จะต้องเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี โดยจะเป็นการเสนอเพื่อพิจารณาหรือเพื่อทราบก็ได้ แต่หากหนังสือสัญญานั้นเข้าข่ายที่ต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๓ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จะต้องเสนอหนังสือสัญญานั้นให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบทุกกรณี นอกจากนี้ การกำหนดให้จัดทำแนวปฏิบัติในการทำหนังสือสัญญาที่ต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีมีขอบเขตครอบคลุมเพียงใด ซึ่งอาจมีอยู่จำนวนมากและอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไป อีกทั้ง ในการทำหนังสือสัญญาเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในรายละเอียดเป็นรายกรณีไป ดังนั้น การกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญาที่หน่วยงานสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นหลักการทั่วไปที่ใช้ได้กับการทำหนังสือสัญญาในทุกกรณีจึงเป็นเรื่องที่กระทำได้ยาก ๒. เห็นชอบเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้นกรณีการจัดทำความตกลงที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องสามารถดำเนินการได้ตามอำนาจหน้าที่โดยไม่ต้องนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องเป็นความตกลงที่เข้าเงื่อนไขครบทั้ง ๗ ประการ ดังนี้ ๒.๑ ไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๒๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวคือ ต้องไม่ใช่ความตกลงที่ทำขึ้นระหว่างรัฐหรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศที่มุ่งหมายจะให้มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ๒.๒ ทำขึ้นตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ของส่วนราชการในระดับกรม ๒.๓ ไม่ได้มีเนื้อหาเป็นเรื่องสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับนโยบาย เช่น ไม่มีเนื้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ทางสังคมหรือเศรษฐกิจการค้า หรือไม่กระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิในพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่อาจทำให้ไทยสูญเสียผลประโยชน์ ๒.๔ ไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันงบประมาณนอกเหนือจากงบประมาณที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐได้รับจัดสรรโดยความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ๒.๕ สามารถดำเนินการได้ภายใต้กฎหมายหรือกฎระเบียบที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ทำความตกลงนั้น ๆ ๒.๖ รัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบในการจัดทำความตกลงฯ แล้ว ๒.๗ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องได้เสนอร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของการจัดทำความตกลงฯ ขึ้น โดยให้มีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมเป็นกรรมการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
25194 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2557 และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2557 และแนวโน้มปี 2558 | อก | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และสรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ลดลงหรือหดตัวร้อยละ ๓.๕ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ รถยนต์ เครื่องประดับเพชรพลอย และผลิตภัณฑ์ยาง ๒. ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น ๑,๓๘๘ โครงการ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน ๑,๖๒๗ โครงการ ร้อยละ ๑๔.๖๘ และมีเงินลงทุน ๗๖๖,๒๐๐ ล้านบาท น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีวงเงินลงทุน ๘๓๑,๐๐๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗.๘ ๓. สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี ๒๕๕๗ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะลดลงหรือหดตัวเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๖ สำหรับแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมไทยปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้นจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในปี ๒๕๕๘ การฟื้นตัวของการลงทุนการปรับฐานสู่ภาวะปกติของอุตสาหกรรมรถยนต์ปี ๒๕๕๗ และการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งทำให้คาดการณ์ในปี ๒๕๕๘ GDP อุตสาหกรรมจะขยายตัวร้อยละ ๒-๓ และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๓-๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
25195 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคง ด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 | สผ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังและกระทรวงแรงงานรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการปฏิรูปสังคม ชุมชน เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง หลักประกันความมั่นคงด้านรายได้เพื่อการยังชีพของผู้สูงอายุ : การเร่งรัดการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งมีข้อเสนอแนะให้เร่งปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ เนื่องจากการไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน เช่น กรณีการเลื่อนเวลาการเปิดรับสมาชิก ก่อให้เกิดผลเสียโดยตรงกับแรงงานนอกระบบที่มีความตั้งใจจะสร้างหลักประกันยามชราภาพ และสิทธิของสมาชิกตามกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติจะมุ่งเน้นไปที่การมีระบบบำนาญที่จ่ายเป็นรายเดือนแก่ผู้สูงอายุ ในขณะที่สิทธิของสมาชิกตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามมาตรา ๔๐ กฎหมายประกันสังคมจะเปิดโอกาสให้สมาชิกเลือกได้ทั้งบำเหน็จชราภาพและบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังในเรื่องการเปิดให้สมาชิกสามารถรับบำเหน็จได้เพราะอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนการออมเพื่อวัยสูงอายุควรอยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับดูแลเดียวกันเพื่อให้เกิดเอกภาพในด้านนโยบายและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
25196 | ขอปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช โดยเพิ่มผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว ๑ คน เป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25197 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล รอบ 2 เดือน (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2557) | นร | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล รอบ ๒ เดือน (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗) ซึ่งมีเนื้อหาสาระครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปประเทศ การบริหารราชการแผ่นดินทั้ง ๑๑ นโยบาย รวมทั้งปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นควรให้ส่วนราชการพิจารณาจัดทำรายงานผลการดำเนินงานโดยให้เน้นการรายงานในระดับผลผลิต ผลลัพธ์ หรือผลกระทบให้มากขึ้น เพื่อให้สะท้อนภาพการทำงานของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม ๑.๒ เร่งรัดส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ เร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้ผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามแผนที่กำหนดในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยเฉพาะแผนงาน/โครงการขนาดใหญ่ที่มีส่วนในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในความรับผิดชอบว่าการดำเนินงานมีความคืบหน้าเป็นร้อยละเท่าไรเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยให้พิจารณาจากตัวชี้วัดตามแผนปฏิบัติการ ประจำปี ๒๕๕๘ (Action Plan) มีการรายงานการประเมินผลความสำเร็จทุกเดือน ทั้งนี้ ให้รายงานปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการด้วย ๒. ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เห็นว่าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้กำหนดกรอบและแนวทางการดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลนำไปสู่การขับเคลื่อนและสามารถบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ภารกิจบางส่วนยังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ การปรับปรุงการจัดตั้งองค์กรและการบริหารจัดการ ซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จที่ชัดเจนมากขึ้นในระยะต่อไป และเพื่อให้การรายงานดังกล่าวสะท้อนถึงผลสำเร็จที่ชัดเจน สมควรเชื่อมโยงและนำเป้าหมายในแต่ละไตรมาสภายใต้รายงานแผนปฏิบัติราชการระยะ ๑ ปี (ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ของส่วนราชการ ซึ่งกำหนดแผนงานและโครงการสำคัญมาประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบด้วย นอกจากนี้ การขับเคลื่อนเรื่องการบริหารการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ควรให้ความสำคัญต่อเป้าหมายอย่างจริงจัง และในด้านความโปร่งใส ควรมีการดำเนินการปลูกฝัง ป้องกันและปราบปรามในเรื่องการต่อต้านการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
25198 | การอนุมัติองค์ประกอบคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย - อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี 2558 | กต | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติองค์ประกอบคณะกรรมการฝ่ายไทยในคณะกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาไทย-อเมริกัน (ฟุลไบรท์) ประจำปี ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นการคงรายชื่อคณะกรรมการฝ่ายไทยประจำปี ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายมนัสพาสน์ ชูโต ประธานกรรมการ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ๒. อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ หรือผู้แทน กรรมการ ๓. ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือ กรรมการ เพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ หรือผู้แทน ๔. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ กรรมการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๕. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กรรมการ ๖. ผู้แทนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรรมการ ๗. นายกสมาคมฟุลไบรท์ไทย กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25199 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งและกำหนดเงินเดือนของผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร) | คค | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน ๓๗๐,๐๐๐ บาท ค่าตอบแทนพิเศษประจำปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับ ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
25200 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (เพิ่มเติม) (จำนวน 3 คน 1. นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ฯลฯ) | ยธ | 27/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (เพิ่มเติม) จำนวน ๓ คน แทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรี (๒๗ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. พลตำรวจโท ธีรจิตร์ อุตมะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา ๓. พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
|
.....