ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1255 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 25081 - 25100 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
25081 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. .... | พม | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานและระบุอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสมกับสภาพของงาน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25082 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก พ.ศ. .... | สธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25083 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 15 - 19 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25084 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน 2557 และวันที่ 1 - 4 ธันวาคม 2557) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤจิกายน 2557 และวันที่ 1 - 4 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25085 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 8 - 12 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25086 | รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" | พศ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ” และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานในช่วง ๔ เดือนแรก (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๗) มีหมู่บ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๙,๖๗๑ หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๓๕,๙๒๔ คน ทุกจังหวัดได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในแต่ละจังหวัด จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ และเชิญชวนให้ประชาชนประพฤติตามหลักศีล ๕ ครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประเมินผลโครงการฯ ครั้งแรกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อโครงการฯ ที่เสริมสร้างความเข้าใจ ความปรองดองสมานฉันท์ และการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติต่อตนเองและสังคมในระดับดีมาก ๒. การดำเนินงานตามโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เน้นการรณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนทุกคนรักษาศีล ๕ ขยายไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๗,๒๕๕ ตำบล ๗๔,๖๙๓ หมู่บ้าน ๖๑,๕๖๑,๙๓๓ คน โดยแบ่งระยะการดำเนินงานเป็น ๒ ระยะ คือ ๒.๑ ระยะเร่งด่วน มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการประชุมชี้แจงคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เกิดจิตสำนึกรักถิ่นฐานของตนเอง หันหน้ามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีความตระหนัก รักเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกทางพระพุทธศาสนา คือ หลักศีล ๕ ให้ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ๒.๒ การดำเนินงานปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแผนงานในการขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ในระยะ ๔ ปีงบประมาณ คือ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เชิญชวน ให้พุทธศาสนิกชนสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวรักษาศีล ๕ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ สถานศึกษารักษาศีล ๕ และหน่วยงานรักษาศีล ๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25087 | รายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา | สธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในวันที่ ๑๔-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร และผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม เรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ประกอบด้วย การประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีประเด็นผลการประชุมเจรจาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ คือ ๑.๑ คำแถลงการณ์ร่วมของสมาชิกอาเซียนบวกสาม เน้นนโยบาย ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศ (๒) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค และ (๓) ร่วมกับประชาคมโลกในการหยุดยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๒ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนบวกสาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) เพิ่มความร่วมมือด้านการป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อข้ามพรมแดนต่าง ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล การฝึกอบรมบุคลากร และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น (๒) สร้างกลไกการเตรียมความพร้อมตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาและโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก (๓) จัดช่องทางสื่อสารการเตือนภัยล่วงหน้า มีสายด่วนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสาธารณสุข และ (๔) ความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาและเพิ่มความพร้อมเครื่องมือในการป้องกันโรค ตรวจจับสัญญาณการระบาด การรักษาพยาบาล และการควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะจากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประเทศไทยควรมีการดำเนินงานตามข้อแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน เรื่อง การเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ได้แก่ (๑) พัฒนาศักยภาพของการเฝ้าระวังและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และท้องถิ่น เช่น การอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนามและผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาโปรแกรมในการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การซ้อมแผนเมื่อมีการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นต้น (๒) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางระบาดวิทยาผ่านกลไกของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations : IHR) ความร่วมมือของบุคลากรในหลายภาคส่วน การแบ่งปันการใช้ทรัพยากร ทั้งอุปกรณ์ป้องกันตนเองส่วนบุคคล เวชภัณฑ์และโลจิสติกส์ต่าง ๆ เป็นต้น และ (๓) สร้างระบบเครือข่ายและพัฒนาแนวทางในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ๒. ผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทยจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมเงินทุนภายในประเทศ โดยมีการประชาสัมพันธ์และจัดให้มีการเปิดรับเงินบริจาคผ่านรายการปันน้ำใจต้านภัยอีโบลาทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ หรือโอนเงินทางบัญชีกระแสรายวัน ๓ ธนาคาร สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ชื่อบัญชี “พลังน้ำใจเพื่อหยุดยั้งอีโบลา” ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย โดยรับบริจาคถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25088 | โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา) ในการร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อเป็นองค์กรในการขับเคลื่อนโครงการฯ และกรอบแผนการดำเนินการโดยสังเขป (Timeline) ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ด้วยความเรียบร้อยและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างคุ้มค่า สมประโยชน์ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25089 | แจ้งเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จำนวน 1 ราย | อื่นๆ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งเรื่อง แจ้งเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จำนวน ๑ ราย คืนสำนักงานคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงรายชื่อประธานกรรมการหรือกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนั้น ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ดังนั้น ในกรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25090 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. .... | สว | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. .... และผลการดำเนินการตามข้อสังเกต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ควรประสานความร่วมมือกันเพื่อรวบรวมและจัดประเภทของกฎหมายที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ชัดเจน เพื่อให้ส่วนราชการที่มีภารกิจตามกฎหมายว่าด้วยการอนุญาตได้เตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น การจัดทำคู่มือสำหรับประชาชน จัดตั้งศูนย์บริการร่วม การจัดระบบและกระบวนการในการทำงาน รวมทั้งรีบเร่งพัฒนาระบบงานเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานทางระบบสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่บุคลากรที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์บริการร่วมหรือศูนย์รับคำขออนุญาต เป็นต้น โดยควรจัดทำให้แล้วเสร็จก่อนที่พระราชบัญญัตินี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ประชุมร่วมกันเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการตามข้อสังเกตคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยวางแผนการดำเนินงานเป็นสามระยะ คือ ระยะที่หนึ่ง จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและจัดทำฐานข้อมูลกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาต ฯลฯ รวมทั้งกิจกรรมที่ต้องมีการอนุมัติ อนุญาต ฯลฯ ทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ระยะที่สอง จะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือประชาชนตามแบบที่กำหนดเพื่อเตรียมจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มและข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และระยะที่สาม ตรวจสอบความถูกต้องของคู่มือประชาชนแล้วให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันครบกำหนดระยะที่สอง สำหรับการพัฒนาระบบการทำงานของส่วนราชการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะได้มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โดยประสานข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อให้การบริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามมาตรฐาน (Platform) เดียวกัน ส่วนการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรที่เป็นพนักงานประจำ ศูนย์บริการร่วมหรือศูนย์รับคำขออนุญาต สำนักงาน ก.พ.ร. ได้เตรียมแผนการฝึกอบรมดังกล่าวไว้แล้ว ๒. มอบหมายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบหลักสำหรับการพัฒนาระบบการทำงานของส่วนราชการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25091 | รายงานผลการดำเนินงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ "Harmony World Puppet Carnival in Bangkok Thailand 2014" | วธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ “Harmony World Puppet Carnival in Bangkok Thailand 2014” ที่จัดขึ้น ณ ท้องสนามหลวง และโรงละครรอบบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ระหว่างวันที่ ๑-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตลอดการจัดงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ มีผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจเข้าร่วมชมการแสดงทั้ง ๑๓ พื้นที่ รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ได้แก่ ท้องสนามหลวง (เวทีใหญ่ ๑ เวที และเวทีเล็ก ๒ เวที) โรงละครแห่งชาติ (โรงเล็กและโรงใหญ่) โรงละครวังหน้าสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ถนนเจ้าฟ้า หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนิน ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ โรงมหรสพหลวงศาลาเฉลิมกรุงฯ โรงละครศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และศูนย์การค้าสยามพารากอน รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ รวมจำนวนมากกว่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน เกิดรายได้หมุนเวียนในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า ๑๐๐ ล้านบาท ๒. จากผลสำเร็จการจัดงานเทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ และภาพความประทับใจในศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทำให้มีคณะหุ่นนานาชาติหลายประเทศได้ร่วมกับคณะหุ่นไทย กำหนดจัดกิจกรรมและเข้าร่วมแสดงหุ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ได้แก่ (๑) เทศกาลหุ่นนานาชาติ 2014@เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม และโรงละครหอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (๒) เทศกาลหุ่นสายนานาชาติ ณ จังหวัดภูเก็ต “Phuket Harmony Puppet” วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ โรงเรียนสามกอง และถนนคนเดินหลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต และ (๓) คาราวานหุ่นไทยสัญจรคืนสุข ๔ ภูมิภาค ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภาคใต้ จังหวัดตรัง ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ภาคเหนือ จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ มกราคม ๒๕๕๘ และภาคกลาง จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25092 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 147) | พน | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ (ครั้งที่ ๑๔๗) เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับการประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนปี ๒๕๕๘ เพื่อใช้เป็นราคาเริ่มต้นในการแข่งขันทางด้านราคา โดยให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการประกาศหยุดรับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลถัดจากวันที่ กพช. มีมติ และให้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๘ และดำเนินการประกาศรับข้อเสนอขอขายไฟฟ้าภายใต้กลไกการแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) ภายในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากระบบ Adder เป็น FiT และมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานรับไปดำเนินการ ๑.๒ เห็นชอบหลักการและแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๗๙ (PDP 2015) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปจัดทำร่างแผน PDP 2015 ในรายละเอียด รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงานนำร่างแผน PDP 2015 ไปรับฟังความคิดเห็นก่อนนำเสนอ กพช. ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยราคาพลังงานต้องสะท้อนต้นทุนแท้จริง ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคขนส่งควรจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใกล้เคียงกัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมพลังงานทดแทน ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (Cross Subsidy) ค่าการตลาดควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกันตามค่าความร้อน และมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในรายละเอียด ภายใต้กรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ประกอบด้วย (๑) การปรับอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากระบบ Adder เป็น FiT ควรมีการกำหนดปริมาณไฟฟ้าขั้นต่ำที่ต้องการอย่างชัดเจนในแต่ละชนิดวัตถุดิบ และกำหนดให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้สามารถจ่ายเข้าสู่ระบบสายส่งได้โดยไม่ต้องมีการรอให้สายส่งมีพื้นที่ว่างก่อน ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนให้รูปแบบ FiT สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ (๒) แผนอนุรักษ์พลังงานกับแผนพัฒนากำลังไฟฟ้า (PDP 2015) ควรมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน พร้อมทั้งกลไกในการขับเคลื่อนแผน และการติดตามและประเมินผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (๓) การพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ควรดำเนินนโยบายต่างประเทศให้เหมาะสม และมีแผนสำรองถ้าเกิดข้อขัดแย้ง/ข้อพิพาททางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจทำให้ไม่สามารถนำเข้าไฟฟ้าได้ (๔) การปรับโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคขนส่ง และควรมีการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการปรับอัตราจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ของเชื้อเพลิงบางประเภทให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และ (๕) การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตไฟฟ้า ควรมีการกำหนดเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยไฟฟ้า และประสิทธิภาพขั้นต่ำของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทให้ชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25093 | ขอความเห็นชอบร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ จำนวน 8 ฉบับ | ทก | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๗ ฉบับ เพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. ให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. .... มาตรา ๖ (๓) และมาตรา ๙ (๔) ที่กำหนดรายรับและการใช้จ่ายกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องจัดสรรเพื่อสมทบให้แก่กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ จะต้องเป็นการส่งเสริม สนับสนุนโดยไม่ขัดแย้ง และซ้ำซ้อนกับการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พ.ศ. .... ที่กำหนดให้จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน ไม่ควรกำหนดให้สำนักงานดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการถือหุ้น เข้าเป็นหุ้นส่วน เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคล และการกู้ยืมเงิน รวมทั้งการจัดตั้งหน่วยงานควรคำนึงถึงการควบรวม ทบทวนภารกิจ หรือยุบเลิกโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว ให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ เพื่อไม่ให้มีการจัดตั้งหน่วยงานภาครัฐขึ้นใหม่เกินความจำเป็นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการใช้จ่ายงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... เป็นกฎหมายที่จัดทำขึ้นใหม่ มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายคล้ายคลึงกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวให้อยู่ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติเดียวกัน ตลอดจนควรกำหนดให้มีความเชื่อมโยงของนโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการเฉพาะด้าน ตามร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. .... กับคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่กำหนดให้มีขึ้นตามร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศทั้ง ๘ ฉบับ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมภาคเศรษฐกิจดิจิทัลและการวางรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลให้แก่ประชาชนและภาคเอกชนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25094 | รายงานข้อเสนอการปฏิรูประเทศไทย | นร11 | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทย ประกอบด้วย (๑) ประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้เอง และ (๒) ประเด็นที่ควรเสนอให้สภาปฏิรูปแห่งชาติดำเนินการ และให้นำรายงานข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของสภาปฏิรูปแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการหรือองค์กรใหม่เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ควรพิจารณาถึงบทบาทในการสร้างความสอดคล้องเชิงนโยบายเป็นสำคัญ และควรพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนของอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่มีอยู่ในปัจจุบัน การปฏิรูปเพื่อพัฒนาความเข้มแข็งของภาคการผลิตและภาคบริการ ควรให้มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างของระบบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารจัดการ วทน. ให้สามารถกำหนดนโยบายและแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล การผลักดันกฎหมายที่ส่งผลต่อการลดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและปฏิรูปการเรียนรู้ควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน การพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพโดยให้มีการร่วมจ่ายค่าบริการสุขภาพระหว่างรัฐและผู้ใช้บริการตามเศรษฐานะ ควรเป็นการจ่ายแบบล่วงหน้า (Pre-payment) ไม่ใช่การร่วมจ่าย ณ จุดรับบริการ การปฏิรูปด้านการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายข้อบังคับ/กฎระเบียบที่เกี่ยวกับการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดิน และการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน ควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศทั้งมิติด้านการพัฒนา และด้านการรักษาความมั่นคงอย่างประสานสอดคล้องและสมดุลกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการปรับแก้ไขในรายละเอียดในส่วนของข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันทีให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ แล้วแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเริ่มดำเนินการตามข้อเสนอฯ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๓. เพื่อให้การดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นไปในแนวทางที่สอดคล้องกัน จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประชุมชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูปประเทศไทยดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25095 | รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช 2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 | สม | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะนโยบาย และข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานของหน่วยงานราชการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรรับไปดำเนินการ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ โดยมีผลการพิจารณาในภาพรวม ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) รับข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๒ ข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในประเด็นอื่นที่นอกเหนือจากข้อ ๒.๑ ในชั้นนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการกำหนด แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก แต่ประการใด ๒.๓ สำนักนายกรัฐมนตรี โดย กอ.รมน. ควรรับข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุดไปแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในการพิจารณานำผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเข้าสู่กระบวนการอบรมเพื่อประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดำเนินคดีอาญาในชั้นสอบสวน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในการตรวจสอบความถูกต้องของการสอบสวนและความเห็นของพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ เพื่อให้การนำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้อย่างจริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25096 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานศาลปกครอง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) | นร | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พนักงานราชการศาลปกครองซึ่งมีวาระการจ้างไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ผู้อำนวยการและผู้ปฏิบัติงานในหน่วยบริการรูปแบบพิเศษซึ่งมีวาระการจ้างไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25097 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | พศ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ วัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ของวัดเพลง แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้แก่กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์กับถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25098 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี และผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (จำนวน 3 ราย 1. นายอยุทธ์ หรินทรานนท์ ฯลฯ) | กษ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายอยุทธ์ หรินทรานนท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมปศุสัตว์ ๒. นายสุรเดช เตียวตระกูล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายธนิตย์ เอนกวิทย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25099 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (จำนวน 8 คน 1. นางสุวณี รักธรรม ฯลฯ) | พม | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ จำนวน ๘ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ มกราคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ นางสุวณี รักธรรม ๑.๒ รองศาสตราจารย์สุรสิทธิ์ วชิรขจร ๑.๓ รองศาสตราจารย์พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร ๑.๔ รองศาสตราจารย์เดชา สังขวรรณ ๑.๕ นายสมชัย จิตสุชน ๑.๖ นายวิชัย อัศรัสกร ๑.๗ นายมณเฑียร บุญตัน ๑.๘ นายพรเทพ พัฒธนานุรักษ์ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคม ให้มีการวางแผนและกำหนดประเด็นที่จะต้องดำเนินการ โดยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการปฏิบัติให้มีความสอดคล้องกันตามประเด็นที่ได้กำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25100 | แต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 | กต | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ จำนวน ๒ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการเพื่อวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ มีปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ และนายวีรชัย พลาศรัย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีกัมพูชาขอให้ศาลฯ ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ เพื่อจัดทำคำอธิบายคำพิพากษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อเสนอต่อรัฐบาลไทย ศึกษา วิเคราะห์ผลของคำพิพากษาฯ ในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางกฎหมาย เสนอแนะการดำเนินการต่อไปของรัฐบาล รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ๑.๒ คณะกรรมการแปลเอกสารในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี ๒๕๐๕ มีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมสารนิเทศ เป็นรองประธานกรรมการ และเลขานุการกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการจัดทำคำแปลและตรวจสอบความถูกต้องของคำแปลเอกสารที่เกี่ยวข้องในคดีตีความคำพิพากษาปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ ดำเนินการประชาสัมพันธ์คำแปลเอกสารที่เกี่ยวข้องในคดีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ ให้สาธารณชนรับทราบ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานเพื่อปฏิบัติงานตามความเหมาะสม พิจารณาการจัดทำรูปเล่มและตีพิมพ์ พิจารณาดำเนินการต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุผลตามอำนาจหน้าที่ดังกล่าว รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย ๒. หากคณะกรรมการเพื่อวิเคราะห์คำพิพากษาและแนวทางการดำเนินการ และคณะกรรมการแปลเอกสารในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี ๒๕๐๕ จะมีการดำเนินการในเรื่องใด ๆ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบก่อนทุกครั้ง
|
.....