ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 672 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13421 - 13440 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13421 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13422 | ร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหอพัก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “ผู้พัก” และ “สถานศึกษา” เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการหอพักสามารถรับผู้พักที่อยู่ระหว่างการศึกษาในสถานศึกษาและบุคคลอื่นที่ไม่อยู่ระหว่างการศึกษา ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักกำหนด และให้สถาบันหรือมหาวิทยาลัยของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ภายใต้บังคับของร่างพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก คณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักจังหวัด ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาความสอดคล้องของบทบัญญัติต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติกับการแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “สถานศึกษา” ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13423 | ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เกี่ยวกับกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) | กสทช | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงกระบวนการสรรหาและคัดเลือกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเกี่ยวกับการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ไม่จำเป็นต้องสรรหาด้านละหนึ่งคน และควรต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านอื่นร่วมเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้การทำหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการแก้ไขมาตรา ๑๔/๒ (๖) และ (๗) ควรเพิ่มประสบการณ์การทำงานและประสบการณ์ด้านการบริหารจาก ๑๐ ปี เป็น ๒๐ ปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13424 | ร่างพระราชบัญญัติสิทธิบัตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13425 | การเสนอเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ 14 | นร02 | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารจากการประชุมรัฐมนตรีสารนิเทศอาเซียน ครั้งที่ ๑๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) แผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ ๒ (๒) ค่านิยมหลักของอาเซียนในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (๓) กรอบความร่วมมือว่าด้วยการร่วมผลิตสื่อโสตทัศน์อาเซียน และ (๔) การทบทวนคุณลักษณะเทคนิคของเครื่องรับ (ถอดรหัส) สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล DVB-T2 (IRD) ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ ๒ ในการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ในวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยกรมประชาสัมพันธ์จะประสานกระทรวงการต่างประเทศเพื่อแจ้งยืนยันความเห็นชอบของไทยต่อสิงคโปร์ในฐานะประธานคณะมนตรีปะสานงานอาเซียนอย่างเป็นทางการต่อไป ๓. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเอกสารทั้ง ๔ ฉบับดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง (กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่ามีการรับรองแผนแม่บทการสื่อสารอาเซียน ระยะที่ ๒ แล้ว ในที่ประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๒ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13426 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (International Federation of the Red Cross and Red Crescent Societies : IFRC) และเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ร่วมกับเลขาธิการ IFRC โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดขอบเขตและพื้นที่หลักของความร่วมมือระหว่าง IFRC กับอาเซียนในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งและการปรับตัวของชุมชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านการจัดการภัยพิบัติ ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินซี่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้แล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยกำหนดการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นขอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรส่งเสริม สนับสนุน แลกเปลี่ยน และแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์การดำเนินงานร่วมกับกรอบการดำเนินงานอื่นของอาเซียน และขยายผลไปสู่เมืองในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นประโยชน์และสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ของบันทึกความเข้าใจฯ ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในอาเซียนต่อไป และหากมีภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13427 | การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. 2562 -2566 | ทส | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ราชอาณาจักรไทยสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๒ วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ๑.๒ เห็นชอบให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการสมัครคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๒ วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียงและแลกเสียง สนับสนุนกับรัฐภาคีสมาชิกอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และการไขว้เสียงกับอนุสัญญาอื่น ๆ ๑.๔ เห็นชอบให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานในการรณรงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลก ในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๒ วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัชชารัฐภาคีแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๒ วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปดำเนินการสนับสนุนการสมัครเข้ารับการคัดเลือกดังกล่าว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อไป เห็นควรให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13428 | ขออนุมัติโครงการศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ของกรมการขนส่งทางบก | กค | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13429 | โครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) | กค | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ ๑.๑ ผลการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐบนที่ดินราชพัสดุ (โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ) ซึ่งพบว่าในส่วนของโครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ. ๒๖๐ และพบ. ๒๖๑ ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ยื่นจองสิทธิ์เพียง ๘๙ ราย อีกทั้งกระทรวงการคลังได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังว่า ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการบนที่ดินราชพัสดุเฉพาะบนแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ.๒๖๑ เพียงแปลงเดียวเท่านั้น จำนวน ๔๓ ราย เนื่องจากแปลงหมายเลขทะเบียนที่ พบ.๒๖๐ อยู่ระหว่างปรับสภาพพื้นที่จึงยังไม่สามารถสรุปยอดจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการที่แน่นอนได้ ซึ่งจากการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนจองสิทธิเข้าร่วมโครงการพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีหรือเคยมีกรรมสิทธิ์บ้านมาแล้ว ซึ่งไม่เป็นไปตามคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยมาก่อน จึงส่งผลให้โครงการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมโครงการไม่เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ ๑.๒ การปรับเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ ในส่วนของโครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) จากเดิม เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ปัจจุบันไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย เป็น (๑) ประชาชนผู้ได้รับสิทธิ์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (๒) ประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน (Gross Income) (๓) ประชาชนทั่วไป โดยให้พิจารณาสิทธิผู้เข้าร่วมโครงการแก่ผู้ที่มีคุณสมบัติตามลำดับก่อนหลัง ทั้งนี้ ไม่บังคับใช้กับผู้ที่ขอเข้าร่วมโครงการก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะเห็นชอบตามที่เสนอในครั้งนี้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินโครงการโดยคำนึงการเข้าถึงของประชาชนผู้ได้รับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นสำคัญ และความเสี่ยงหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย นอกจากนี้ ควรนำปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐไปใช้ประโยชน์ประกอบการพิจารณากำหนดโครงการอื่น ๆ ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13430 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ 115 เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนการจ่ายไฟของสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๓๓ เควี ที่มีอายุการใช้งานครบ ๓๐ ปี ในปี ๒๕๖๐ และสายเคเบิลใต้น้ำระบบ ๑๑๖ เควี ชนิด Oil Filled ที่ชำรุด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า และเพื่อลดความเสียหายเนื่องจากไฟฟ้าดับ ระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓) วงเงินลงทุนรวม ๒,๑๓๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๑,๕๙๗ ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน ๕๓๓ ล้านบาท ตลอดจนขอผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศ) ที่มีมาตรการห้ามขุดร่องน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ท้องทะเลในระยะ ๑ กิโลเมตร จากแนวปะการัง ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เสนอ สำหรับการกู้เงินในประเทศในกรอบวงเงิน ๑.๕๙๗ ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนของโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำ ๑๑๕ เควี เพื่อทดแทนและเพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟไปยังเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้ กฟภ. จัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อให้โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟผ. ร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการผลิตไฟฟ้าจากระบบพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้ในพื้นที่ห่างไกลหรือเกาะต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานน้ำ ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น รวมทั้งให้พิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) ด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เช่น ให้ กฟภ. ดำเนินโครงการภายใต้ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตาม ตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และ กฟภ. ควรกำหนดมาตรการการดำเนินงานการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงฯ โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้และการกระจายภาระการชำระหนี้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้ดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13431 | โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2561 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๖๑ ของ กปภ. จำนวน ๒ โครงการ วงเงินรวม ๑,๗๔๙.๑๖๙ ล้านบาท ได้แก่ (๑) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพนมสารคาม-บางคล้า-(แปลงยาว)-(คลองนา)-(เทพราช) (รองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) และ (๒) โครงการก่อสร้างปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเวียงเชียงของ อำเภอเวียงเชียงของ จังหวัดเชียงราย (รองรับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกระทรวงการคลังเห็นชอบให้ใช้แหล่งเงินทุนของทั้ง ๒ โครงการ จากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๓๑๑.๘๗๗ ล้านบาท (ร้อยละ ๗๕) และเงินกู้ในประเทศ จำนวน ๔๓๗.๒๙๒ ล้านบาท (ร้อยละ ๒๕) โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันเงินกู้ทั้ง ๒ โครงการ รวมวงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๔๙.๑๖๙ ล้านบาท และทั้ง ๒ โครงการ ได้บรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ แล้ว ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้ เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป สำหรับสำนักงบประมาณแจ้งว่าทั้ง ๒ โครงการ เป็นโครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ รองรับไว้แล้ว ประกอบด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๑๙๙.๒๐๒ ล้านบาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๓๒๑.๐๐๑ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กปภ. ควรมีแผนงานเพื่อกำกับดูแลบริหารโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมการดำเนินงานของโครงการ โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ กปภ. เร่งดำเนินการและเบิกจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งพิจารณาหาแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์โดยเร็ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13432 | ขอความเห็นชอบการดำเนินงานโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล ช่วงที่ 3 ระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 - 2566) | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ช่วงที่ ๓ ระยะ ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) และอนุมัติกรอบแผนการขยายศูนย์การเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสุขภาพในโรงพยาบาล และกรอบอัตรากำลังการจ้างครูอัตราจ้าง ๙๙ ศูนย์ ๗๗ จังหวัด ๒๙๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอขอปรับเปลี่ยนชื่อโครงการ จากเดิม “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล” เป็น “โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กในโรงพยาบาล” เพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ๒. สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒๙๑,๑๔๘,๔๘๐ บาท เพื่อเป็นค่าจ้างครูอัตราจ้าง ค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับศูนย์การเรียนฯ เดิม และศูนย์การเรียนฯ ที่มีแผนจะจัดตั้งใหม่ นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๒๘,๐๓๑,๕๐๐ บาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดำเนินการภายใต้มาตรการด้านงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ในโอกาสแรกด้วย ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีแผนการขยายศูนย์การเรียนฯ ในแต่ละปีงบประมาณ ควรมีการจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็น ความพร้อม และศักยภาพการดำเนินการของโรงพยาบาลที่ประสงค์จะจัดตั้ง รวมทั้งการจ้างครูอัตราจ้างตามกรอบอัตราที่ขออนุมัติ จำนวน ๓ คน ต่อ ๑ ศูนย์ ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับจำนวนนักเรียนของศูนย์การเรียนแต่ละแห่ง โดยในกรณีที่ศูนย์การเรียนบางแห่งมีผู้เรียนจำนวนมาก อาจพิจารณาให้โรงพยาบาลใช้งบประมาณเพื่อจ้างครูเพิ่มเติม และควรมีการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานโครงการในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของศูนย์การเรียนดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และคุ้มค่ายิ่งขึ้น รวมถึงจำนวนเด็กที่รับบริการและเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และผลที่ได้รับ เพื่อพัฒนาโครงการให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13433 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน รายการค่าหนังสือเรียน ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๑ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ หน่วยงานหลัก งบประมาณรวม ๙๕๙,๘๙๘,๘๐๐ บาท ได้แก่ (๑) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) จำนวน ๔๕๕,๖๕๗,๗๐๐ บาท และ (๒) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๕๐๔,๒๔๑,๑๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุมกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรมีกลไกในการกำกับ ตรวจสอบ และติดตามการดำเนินงานและการใช้งบประมาณดังกล่าวให้มีความโปร่งใสและก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบระมาณโดยตรง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13434 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 เพิ่มเติม | กษ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายกรอบวงเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติม จากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรอบวงเงิน ๓,๑๓๖.๗๓๕ ล้านบาท เป็น ๓,๒๑๑.๐๔๘ ล้านบาท เพิ่มเติมอีก ๗๔.๓๑๓ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี ๒๕๖๐ ครัวเรือนละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ คำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ถือว่าเป็นคำขออนุมัติจัดสรรงบประมาณของธนาคารเพื่อเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามที่กระทรวงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดติดตามการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบเวลาที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดไว้ด้วย (๑๕ วันทำการ) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในภาพรวมของการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและการจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างโปร่งใส ไม่ซ้ำซ้อน รวดเร็วและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนจัดให้มีการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายและผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องและเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย รวมทั้งควรมีการพิจารณาทบทวนแนวทางและขั้นตอนดำเนินการการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติในระยะเร่งด่วนให้เกิดความรวดเร็ว และทันกับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13435 | ขออนุมัติจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย และขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป | พม | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ดำเนินการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองจากสถาบันการเงินในกลไกตลาดปกติได้ ภายในกรอบวงเงิน ๕,๒๐๗ ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีงบประมาณให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาความพร้อมและความสามารถในการใช้จ่าย ความคุ้มค่า ความไม่ซ้ำซ้อน ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ และความเสี่ยงหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยไม่เข้าข่ายเป็นการจัดตั้งทุนหมุนเวียนตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปพิจารณาเพื่อปรับชื่อกองทุนดังกล่าวให้เหมาะสมและชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13436 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วงเงินรวม ๔๐๔,๔๒๖,๗๐๐ บาท เพื่อบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และให้จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าวให้สำนักงบประมาณพิจารณาดำเนินการตามปฏิทินการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับการกำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมทางการค้าที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การติดตามพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาด การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค สะดวก และรวดเร็ว เพื่อสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13437 | การกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 1 | กค | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการกู้ยืมเงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของ สพพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑ ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรจัดทำแผนการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากความไม่สอดคล้องกันของอายุเงินกู้และอายุเงินให้กู้ยืม รวมทั้งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวด้วยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความสามารถในการชำระหนี้ การกระจายภาระการชำระหนี้ รวมถึงเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการเงินของ สพพ. ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13438 | การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2561/2562 | อก | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ในอัตราอ้อยตันละ ๗๐๐.๐๐ บาท ณ ระดับความหวานที่ ๑๐ ซี.ซี.เอส หรือเท่ากับร้อยละ ๙๗.๒๙ ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศที่ ๗๑๙.๔๗ บาทต่อตันอ้อย และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ ๔๒.๐๐ บาท ต่อ ๑ หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิต ปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ เท่ากับ ๓๐๐.๐๐ บาทต่อตันอ้อย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งรัดแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะการยกระดับผลิตภาพอ้อยและน้ำตาลทราย รวมทั้งส่งเสริมการนำผลผลิตจากอ้อยและน้ำตาลทรายไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศ และควรพิจารณาดำเนินการทบทวนระเบียบมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการจัดเก็บรายได้เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงพอในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และพิจารณาถึงความจำเป็นและภารกิจของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับ ฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จากปัญหาราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นต่ำกว่าต้นทุนการผลิต โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิตและการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับพันธกรณีและข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) รวมทั้งเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13439 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช | อก | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามคำขอประทานบัตรที่ ๖/๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ของโครงการ การจัดการด้านความปลอดภัยตามเทคโนโลยีการทำเหมือง การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูสภาพพื้นที่ภายหลังการทำเหมืองแร่แล้ว และการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กำกับให้บริษัท ศิลาอารี จำกัด ดำเนินการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13440 | ขอเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี | ศธ | 29/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) และเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๓ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) เพื่อเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าชายเลนหนองจิก ท้องที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวนเนื้อที่ ๙ ไร่ ๒ งาน ๑๒ ตารางวา เพื่อใช้เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียนบ้านปากบางตาวา จังหวัดปัตตานี โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติทั้งหมดที่รับผิดชอบให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นอายุการอนุญาต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนไม่น้อยกว่า ๒๐ เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์ คิดเป็นเนื้อที่ไม่น้อยกว่า ๑๙๐ ไร่ ๒ งาน ๔๐ ตารางวา รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๒,๓๒๓,๔๑๔ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการโดยปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป
|
.....