ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 676 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 13501 - 13520 จากข้อมูลทั้งหมด 124012 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13501 | แผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562-2565) : กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม | ยธ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อการควบคุมยาเสพติด ๖ ประเทศ ระยะ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) : กัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา ไทย และเวียดนาม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดทิศทางความร่วมมือแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำร่วมกันเป็นระยะ ๔ ปี โดยใช้ยุทธศาสตร์การผนึกกำลังของสมาชิกทั้ง ๖ ประเทศ ในการปิดล้อมพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและกำหนดมาตรการดำเนินการ ๗ ประการ ได้แก่ (๑) การสกัดกั้นควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด (๒) การสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด (๓) การสกัดกั้นพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดน (๔) การปราบปรามเครือข่ายการผลิตและค้ายาเสพติด (๕) การสกัดกั้นยาเสพติดตามลำแม่น้ำโขง (๖) การสนับสนุนมาตรการและความช่วยเหลือ และ (๗) การพัฒนาศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยและการพัฒนาระบบ ๑.๒ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ในฐานะตัวแทนประเทศไทยจัดทำคำขอรายจ่ายงบประมาณประจำปี ทั้งงบประมาณภายในประเทศและต่างประเทศในการดำเนินงานตามภารกิจต่าง ๆ ตามแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าว ๑.๓ ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เนื่องจากปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระแห่งชาติและอยู่ในกรอบนโยบายของฝ่ายความมั่นคง และแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าว มีความเร่งด่วนมาก จะต้องเริ่มปฏิบัติการในห้วงเดือนมกราคม ๒๕๖๒ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม และ สำนักงาน ป.ป.ส. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การปฏิบัติการร่วมดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหน้าที่ของประเทศสมาชิกหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของตนในอาณาเขตของประเทศสมาชิกอื่น ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่อาจจะกระทบต่อสิทธิและอธิปไตยของไทยที่เกี่ยวกับเขตแดนตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และหากในอนาคตมีการจัดทำความตกลงเพื่อปฏิบัติการร่วมในพื้นที่ชายแดน ก็เห็นควรส่งร่างความตกลงดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาต่อไป รวมทั้งเมื่อแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ควรต้องตรวจสอบแผนปฏิบัติการร่วมดังกล่าวและปรับปรุงให้สอดคล้องกับแผนแม่บทดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรม โดย สำนักงาน ป.ป.ส. ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการโครงการปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัยของสำนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ให้สำนักงาน ป.ป.ส. จัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับภารกิจตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13502 | การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่น รวมทั้งค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น ตามพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2559 | นร08 | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติ คณะกรรมการ และผู้เคยเป็นสมาชิกเฉพาะกิจ (สมาชิกเฉพาะกิจ คือ รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านความมั่นคง หรือนักวิชาการด้านความมั่นคงที่สภาความมั่นคงแห่งชาติมีมติให้เชิญเข้าร่วมประชุมเป็นครั้งคราว ตามมาตรา ๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนั้น ผู้เคยเป็นสมาชิกเฉพาะกิจ คือ สมาชิกเฉพาะกิจที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีมติให้เชิญเข้าร่วมประชุมและที่ประชุมมีมติมอบหมายให้สมาชิกเฉพาะกิจพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง) ๑.๒ ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นของที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าตอบแทนและสิทธิประโยน์อื่นของที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยขอให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมของสมาชิกเฉพาะกิจของสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนอาจไม่สอดคล้องกับมาตรา ๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กำหนดให้สมาชิกเฉพาะกิจที่ได้รับเชิญและมาประชุมมีฐานะเป็นสมาชิกสภาความมั่นคแห่งชาติสำหรับครั้งที่ได้รับเชิญนั้น สมาชิกเฉพาะกิจจึงควรได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งและเมื่อรวมเบี้ยประชุมที่ได้รับในแต่ละเดือนต้องไม่เกินเบี้ยประชุมรายเดือนที่สมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับ รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประชุมของคณะกรรมการที่สภาความมั่นคงแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติสภาความมั่นคงแห่งชาติฯ โดยเทียบเคียงกับอัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการในคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ พ.ศ. ๒๕๔๗ อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวมีที่มาและลักษณะของการปฏิบัติงานในทำนองเดียวกับคณะอนุกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และเมื่อสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้กำหนดให้สมาชิกเฉพาะกิจได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๑,๖๐๐ บาท แล้ว เห็นควรกำหนดเงื่อนไขด้วยว่า เมื่อรวมเบี้ยประชุมที่ได้รับในแต่ละเดือนต้องไม่เกินเบี้ยประชุมรายเดือนที่สมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติประเภทอื่นได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน และไม่ควรกำหนดให้นำเงื่อนไขที่ให้สมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับเบี้ยประชุมเฉพาะเดือนที่มีการประชุมและได้รับไม่เกินเดือนละ ๑ ครั้ง มาใช้กับสมาชิกเฉพาะกิจเพราะจะมีผลให้ในกรณีที่สมาชิกเฉพาะกิจดังกล่าวได้รับเชิญและมาประชุมมากกว่าหนึ่งครั้งต่อเดือน มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างสิทธิของสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วยกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13503 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | กค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ [เรื่อง การบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)] โดยเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้เงินบาทภายในประเทศเพื่อชำระคืนหนี้สกุลเงินเยนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ก่อนถึงกำหนดชำระ (Prepayment) แทน รฟม. วงเงินเทียบเท่าไม่เกิน ๖๑,๒๘๘.๔๒ ล้านเยน ภายใต้สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXX-1 และ TXXXII-3 โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (ระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒) รวมทั้งให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้แก่ รฟม. เพื่อชำระคืนหนี้แก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาชำระเงินคืนระหว่างกระทรวงการคลัง และ รฟม. ซึ่งจะได้ตกลงกันในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ ให้ รฟม. นำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพื่อการชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๒ สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ (ระยะที่ ๑ และระยะที่ ๒) สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXX-1 และ TXXXII-3 มาสมทบกับวงเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหาให้ เพื่อใช้ชำระคืนหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระให้แก่ JICA และในกรณีที่ รฟม. มีแหล่งเงินอื่น ให้สามารถนำมาสมทบเพื่อชำระคืนหนี้ก่อนถึงกำหนดชำระให้แก่ JICA ได้ด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรคำนึงถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และพิจารณาป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำธุรกรรม Forward ในช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งคำนึงถึงภาวะตลาดตราสารหนี้ในขณะนั้นประกอบด้วย เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การบริหารจัดการต้นทุนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13504 | การขอกู้เงินของธนาคารอาคารสงเคราะห์ประจำปีงบประมาณ 2562 | กค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยการออกพันธบัตรวงเงินรวมไม่เกิน ๓๐,๖๐๐ ล้านบาท แบ่งเป็น (๑) การกู้เงินโดยการออกพันธบัตรใหม่ จำนวน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท และ (๒) การกู้เงินโดยการออกพันธบัตรเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่ครบกำหนด (Roll-over) จำนวน ๑๘,๖๐๐ ล้านบาท (การกู้เงินโดยการออกพันธบัตรของ ธอส. ในครั้งนี้ ไม่ได้ขอให้กระทรวงการคลังค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธอส. รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมีการจัดทำแผนการกู้เงิน การบริหารสินเชื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างเงินทุนและการพิจารณาแนวทางอื่นในการระดมทุน เพื่อให้สอดคล้องกับการปล่อยเงินกู้ สินเชื่อระยะยาว รวมทั้งจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาดำเนินการในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13505 | สถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2561/62 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๖๑/๖๒ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี ๒๕๖๑/๖๒ วงเงินงบประมาณ ๔๕ ล้านบาท โดยการสนับสนุนสินเชื่อให้กับสถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่ายออกสู่ตลาด ในวงเงินสินเชื่อ ๑,๕๐๐ ล้านบาท โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปีของวงเงินสินเชื่อให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และคิดจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน ๑๒ เดือน ระยะเวลาโครงการ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ (ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และกำหนดชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน ๑๒ เดือน นับแต่วันที่รับเงินกู้) โดยภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการคลังต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น แนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพื่อทำการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และใช้กลไกในการบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับกลุ่มเป้าหมายในการดำเนินโครงการเพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและสามารถดำเนินงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และควรมีการติดตามสถานการณ์ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดตลอดปีอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13506 | สถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปีการผลิต 2561/62 | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้ามันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๑/๖๒ รวมทั้งมาตรการและแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการเสนอสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และรับทราบและแผนการดำเนินงานตามแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๖๑/๖๒ จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๑๘.๓๒๔ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยด และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑๔ ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา FDR+๑ ในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๘๒.๖๕ ล้านบาท (๕๐.๐๒๕+๓๒.๖๒๕) และให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามผลการปฏิบัติงานจริง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อโดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า การติดตามประเมินผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการในระยะต่อ ๆ ไป เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับราคามันสำปะหลังให้กับเกษตรกร เช่น การพัฒนาปรับปรุงดิน การให้ความรู้ในการคัดเลือกสายพันธุ์ที่มีมูลค่าและโอกาสทางการตลาด และการส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมพลาสติกที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยดำเนินการร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม (๑) เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกมันสำปะหลังในระบบน้ำหยดให้ชัดเจนและทั่วถึง และให้เสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการรับซื้อและการตรวจสอบคุณภาพของมันสำปะหลังให้แก่บุคลากรขอสถาบันเกษตรกรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และ (๒) เร่งกำหนดแนวทางการบริหารจัดการในขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดได้ตลอดปี โดยมีปริมาณที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13507 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันให้บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นวัตถุดิบให้กับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทฯ ที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี โดยสิ้นอายุวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๖ (๓ แปลง) และวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ (๑ แปลง) ตามคำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๑-๔/๒๕๕๓ รวม ๔ แปลง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น การกำกับให้มีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม การดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ความสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13508 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ ๓๙/๒๕๕๑ ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น เห็นควรให้บริษัท หินอ่อนฯ ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่และอุตสาหกรรมถลุงเหมืองแร่ให้ความเห็นชอบแล้วโดยเคร่งครัด และในระยะต่อไปกระทรวงอุตสาหกรรมควรเร่งผลักดันการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามมาตรา ๑๙ ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13509 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการบินพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ | นร09 | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์มีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๑๙ เพื่อกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการบินพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันการบินพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการของสถาบันการบินพลเรือนมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13510 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย - เวียดนาม (JCBC) ครั้งที่ 3 | กต | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation : JCBC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยในการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ เช่น ด้านการเมือง การทหารและความมั่นคง กฎหมาย การค้าและการลงทุน ความเชื่อมโยง (การคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ) การท่องเที่ยว และแรงงาน รวมทั้งหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ และในประเด็นความร่วมมือซึ่งเพิ่มเติมจากการประชุมครั้งที่ผ่านมาใน ๓ ประเด็นหลักให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่ (๑) การส่งเสริมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อป้องกันและต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) (๒) การขยายความร่วมมือด้านการเกษตร โดยจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการผลิตข้าว การวิจัย และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน ซึ่งรวมถึงมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) และ (๓) ความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในสาขาต่าง ๆ เช่น สาขาเกษตร สาธารณสุข และการศึกษา เป็นต้น ๑.๒ ให้คณะผู้แทนไทยหารือกับฝ่ายเวียดนามตามประเด็นที่อยู่ในกรอบการหารือเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของฝ่ายไทยและการส่งเสริมความสัมพันธ์กับเวียดนาม ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรมที่ขอแก้ไขปี พ.ศ. ของการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา จาก “พ.ศ. ๒๕๕๘” เป็น “พ.ศ. ๒๕๕๓” เพื่อให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ไปดำเนินการต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรอบการหารือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13511 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2562 | คค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (๒) ผลการศึกษาการจัดทำทิศทางและนโยบายการพัฒนาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (พื้นที่ต่อเนื่อง) ระยะที่ ๒ และ (๓) ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) การศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) โดย คจร. เห็นชอบในหลักการของผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ และให้บรรจุแผนการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลฯ ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๑ และ (๒) การศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบการจราจรและขนส่งอัจฉริยะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (Intelligent Transport System : ITS) เพื่อพัฒนาให้เป็น Smart Metropolis หรือ นครหลวงอัจฉริยะ โดย คจร. เห็นชอบแผนแม่บท ITS และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนแผนแม่บท ITS ไปสู่การปฏิบัติต่อไป ๓. เรื่องอื่น ๆ จำนวน ๑ เรื่อง ได้แก่ แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดย คจร. เห็นชอบในหลักการตามผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมฯ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมฯ ตามผลการศึกษาให้เป็นรูปธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13512 | การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย | กค | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๖/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งมีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยตามร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ และความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรยุบเลิกกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมารวมเข้ากับกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เดียวกันและสามารถดำเนินการร่วมกันได้ รวมทั้งจัดทำโครงสร้างการบริหารและอัตรากำลังอย่างเหมาะสมเพื่อรองรับการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย รวมถึงปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงาน และจัดให้มีกระบวนการติดตามการปฏิบัติงานตามแผนงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ควรกำหนดให้มีกรอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการบริหารเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและลดภาระงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งผลการพิจารณาการขอจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยตามร่างพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ ไปยังประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13513 | มาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | ปช | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริต กรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐ จากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ได้แก่ มาตรการด้านนโยบาย เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการแทรกแซงกลไกตลาดสินค้าข้าว และมาตรการด้านการดำเนินงานของหน่วยงานในขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งขั้นตอนก่อนการระบายข้าว วิธีการระบายข้าว ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และการเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้สาธารณชนรับทราบ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐจากโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และแนวทางการปฏิบัติงานในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ สำหรับเจ้าหน้าที่กรมการค้าต่างประเทศใช้ในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้จัดทำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวแล้ว โดยเกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาในขั้นตอนการดำเนินการ คือ ขั้นตอนการระบายข้าว ขั้นตอนการพิจารณาสัญญาก่อนลงนามในสัญญาระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และการชี้แจงเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้สาธารณชนทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13514 | ความคืบหน้าผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ครั้งที่ 2 | ยธ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ครั้งที่ ๒ ของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านระบบทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และมอบหมายกระทรวงยุติธรรมประสานงานให้สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินการปฏิรูปตามข้อเสนอแนะฯ ในเรื่องดังกล่าว โดยกำหนดกรอบระยะเวลาและรายละเอียดแผนการดำเนินงานของการปฏิรูปให้ชัดเจนเพื่อผลักดันการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบในรายละเอียดแนวทางการดำเนินการของเรื่องดังกล่าวกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เรื่องและประเด็นปฏิรูปที่ ๒ การพัฒนากลไกช่วยเหลือและเพิ่มเติมศักยภาพเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ข้อ ๑.๔ จัดให้มีทนายความหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพให้แก่ผู้เสียหายผู้ต้องหาและจำเลย ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๔ ก (เล่มที่ ๒) เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปฏิรูปประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมประสานงานกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อนำรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR) ต่อไป ๓. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ [เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง การปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน] จาก “...ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานติดตามผลการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน...” เป็น “...ให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานติดตามผลการดำเนินการและรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ผ่านระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)”
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13515 | การศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชุมพร - ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี - นครศรีธรรมราช | นร11 | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช (การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน หรือ Southern Economic Corridor : SEC) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประกอบด้วยโครงการจำนวนรวม ๑๑๖ โครงการ กรอบวงเงินปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ รวม ๑๐๖,๗๙๐.๑๓ ล้านบาท และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนเป็นลำดับแรกให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ ช่วงชุมพร-ระนอง และโครงการศึกษาแนวทางการรวบรวมและกระจายสินค้าเกษตรของสถาบันเกษตรด้วยโซ่ความเย็น (Cold Chain) เป็นต้น ๒. ในส่วนของโครงการจำเป็นเร่งด่วนที่ส่งผลสำคัญต่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืนและมีความพร้อมดำเนินการได้ทันทีในปี ๒๕๖๒ (Quick-win) จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๔๔๘.๖๙๗๓ ล้านบาท ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท) ในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงบประมาณ เช่น ควรนำผลการศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการพิจารณาในพื้นที่ดังกล่าวในแต่ละด้านเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน (Project Feasibility Study) และควรตรวจสอบรายละเอียดแผนงาน/โครงการ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งแสดงรูปแบบการเชื่อมโยงหรือบูรณาการการดำเนินการ เป้าหมาย ตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินการไปสู่เป้าหมาย และในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ควรพิจารณาถึงประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13516 | คำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของ (๑) สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวน ๒,๖๑๔,๑๐๓,๒๐๐ บาท (๒) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน ๑๐,๓๑๓,๔๔๔,๑๐๐ บาท (๓) สำนักงานศาลปกครอง จำนวน ๓,๔๑๙,๒๙๘,๓๐๐ บาท (๔) สำนักงานอัยการสูงสุด จำนวน ๑๓,๗๘๕,๔๗๘,๔๐๐ บาท (๕) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน ๕,๓๕๙,๓๒๑,๔๐๐ บาท (๖) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จำนวน ๓๒๓,๓๙๔,๙๐๐ บาท (๗) สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวน ๕๒๖,๐๒๒,๐๐๐ บาท และ (๘) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน ๓,๔๐๙,๖๐๙,๓๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พร้อมทั้งให้หน่วยงานดังกล่าวยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังกล่าว ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13517 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเปลี่ยนชื่อส่วนราชการภายใน ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13518 | ร่างกรอบเจรจากรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างกรอบเจรจากรณีการจัดทำตารางข้อผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ของสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร อันเป็นผลเนื่องมาจากการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) เพื่อกระทรวงพาณิชย์จะได้ใช้เป็นแนวทางในการเจรจาร่วมกับสหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรต่อไป โดยมีสาระสำคัญคือ เจรจาเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์โดยรวมที่ไทยจะได้รับหลังจากสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปไม่น้อยไปกว่าที่ไทยเคยได้รับโดยรวมเมื่อครั้งสหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า หากผลการเจรจาทำให้เกิดข้อตกลงที่เห็นชอบร่วมกันแล้ว กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาส่งร่างกรอบเจรจาดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาประเด็นที่อาจเข้าข่ายมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาการเจรจาเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการสินค้า ปริมาณโควตา การนำเข้า และอัตราภาษีที่จะดำเนินการร่วมกับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกไก่แปรรูปให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทยมากที่สุด และกรณีที่สหราชอาณาจักรออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรป (Brexit) อาจมีพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งไทยได้เคยจัดทำไว้กับสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรที่มีความจำเป็นต้องแก้ไข ปรับปรุง หรือจัดทำขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรปหรือสหราชอาณาจักรในปัจจุบันที่สหราชอาณาจักรกำลังจะแยกตัวเป็นเอกเทศจากสหภาพยุโรป จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรตามแต่กรณี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13519 | การเข้าร่วมร่างแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ WTO | พณ | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ WTO (Joint Statement on Electronic Commerce) ที่จะมีการรับรองในช่วงการประชุมรัฐมนตรี WTO อย่างไม่เป็นทางการ (Informal WTO Ministerial Gathering : IMG) ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๒ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส และให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องในรายละเอียด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13520 | การพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร) | นร52 | 22/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ
|
.....