ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 55 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 1081 - 1100 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1081 | แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป
ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมเสนอ สำหรับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการดังกล่าว
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการภาษี
การเงิน การคลัง ให้แก่องค์กรภาคประชาสังคมให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
จำเป็นต้องมีการกำหนดประเภทรูปแบบขององค์กรภาคประชาสังคมให้ชัดเจนและเหมาะสมกับการดำเนินการที่อาจจะมีความแตกต่างกัน
ซึ่งอาจจะต้องมีการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการขององค์กรภาคประชาสังคมที่ดำเนินการในปัจจุบัน
เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ชัดเจนครบถ้วน และนำมาใช้ในการกำหนดประเภทรูปแบบองค์กรภาคประชาสังคมได้ตรงตามเป้าหมาย
รวมถึงเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถพิจารณากำหนดมาตรการภาษี การเงิน
การคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป และหากจะมีการออกมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม
จะต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๗ และมาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งกำหนดให้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและพิจารณาถึงความเป็นธรรม
ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ
รวมทั้งการพัฒนาและสนับสนุนเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1082 | การศึกษามาตรการทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์
ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้นโยบายทางการค้าใหม่ เช่น
การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าสูงขึ้น (กำแพงภาษี)
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าประเภทอื่น ๆ รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมและการกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับผลกระทบและแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ทางการค้าของประเทศ โดยเมื่อวันที่ ๖
มกราคม ๒๕๖๘ ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาขึ้น
โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานคณะทำงาน มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านเป็นที่ปรึกษา
และมีหัวหน้า/ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงานด้วย จึงขอให้คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริการ่วมกับกระทรวงกลาโหม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการศึกษาและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับข้อดี
และข้อเสียของนโยบายทางการค้าใหม่ของสหรัฐอเมริกาดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการของไทยในการรับมือกับผลกระทบต่าง ๆ
รวมตลอดถึงแนวทางในการเจรจาต่อรองด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1083 | ร่างถ้อยแถลงว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อประชาชนและโลก | ดศ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างถ้อยแถลงว่าด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนเพื่อประชาชนและโลก
(Statement on Inclusive and
Sustainable AI for People and the Planet) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ในวันอังคารที่ ๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยร่างถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
การส่งเสริมความยั่งยืน และการปกป้องสิทธิมนุษยชนผ่าน AI ที่น่าเชื่อถือ
โปร่งใส และยุติธรรม นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันอย่างครอบคลุม
สนับสนุนการวิจัย และการสร้างมาตรฐาน เพื่อพัฒนาระบบ AI ที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยได้จัดลำดับความสำคัญและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างระบบ AI ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ
พร้อมทั้งผลักดันความร่วมมือระดับโลกในด้านการกำกับดูแล AI อย่างยั่งยืนและครอบคลุมทุกภาคส่วน
รวมถึงมีการระบุถึงกิจกรรมสำคัญด้านปัญญาประดิษฐ์ซึ่งจะรวมถึงการประชุม Global
Forum on the Ethics of AI ครั้งที่ ๓ ซึ่งจัดโดยประเทศไทย และ UNESCO ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1084 | ผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1085 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 24 | พณ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1086 | แผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระยะที่ 12 พ.ศ. 2568 - 2572 | อว. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
ระยะที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ ภายในกรอบวงเงิน จำนวน ๙๓๘,๗๘๗,๕๐๐
บาท
เพื่อสนับสนุนเฉพาะเป็นทุนการศึกษาและวิจัยให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย
สำหรับงบประมาณในการดำเนินการเพื่อการพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT)
ให้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จำนวนรวมทั้งสิ้น ๔๐๐,๒๒๐,๐๐๐ บาท โดยผูกพันงบประมาณเป็นเวลา ๕ ปีงบประมาณ
(พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒) หากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการ และมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณตามขั้นตอน
ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าในแผนงานผลิตบัณฑิต ควรมีแผนการผลิตบุคลากรที่มีองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญอย่างเป็นสากลในด้านการจัดทำนโยบายและแผนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ
เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืนไปพร้อมกับการพัฒนาระบบการศึกษา
การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมอันส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผลงานวิจัยของผู้ที่สำเร็จการศึกษาหรือบุคลากรที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันฯ
เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนา ต่อยอด และใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1087 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงศึกษาธิการ อาชีวศึกษาและการกีฬาแห่งราชอาณาจักรสเปนว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา | ศธ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1088 | ผลการดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม
เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ (เรื่อง
การดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดน)
มอบหมายให้เร่งดำเนินการจัดการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เพื่อพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงในเรื่องการใช้บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า
น้ำประปา ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่มีต้นกำเนิดจากฝั่งไทยของผู้ก่อปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง
ๆ เช่น การพนันออนไลน์ การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ให้ชัดเจนและรอบด้าน
แล้วพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อดำเนินการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคข้ามพรมแดนทุกประเภท
ในทุกพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยด่วน นั้น ในระยะเวลา ๕ วัน
หลังจากบังคับใช้มาตรการดังกล่าว มีผลการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้ ๑.
การสนับสนุนการดำเนินมาตรการระงับการให้บริการสาธารณูปโภคทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ๑.๑ กระแสตอบรับจากสื่อสังคมออนไลน์
เช่น Facebook X TikTok พบว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว
และมีความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนจำนวนมาก ๑.๒ นายสี
จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ได้ให้การสนับสนุนของรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ
โดยระบุว่าจีนมีนโยบายปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานในเมียนมา และพร้อมให้ความร่วมมือในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเต็มที่ ๒.
ความสามารถในการดำเนินกิจการของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ลดลง ๒.๑
นอกจากทางการไทยได้ระงับการให้บริการไฟฟ้าแล้ว ทางการลาวได้จำกัดการส่งกระแสไฟฟ้าให้จังหวัดท่าขี้เหล็ก
ประเทศเมียนมา จากเดิม ๓๐ เมกะวัตต์ เหลือเพียง ๑๓ เมกะวัตต์ ส่งผลให้ในพื้นที่ดังกล่าวเกิดภาวะขาดแคลนพลังงาน
โดยเฉพาะโรงแรม ห้องพัก บ้านเช่า และบ่อนการพนันที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์
โดยสภาพแวดล้อมในจังหวัดท่าขี้เหล็กในช่วงกลางคืนมืดลงอย่างชัดเจน ๒.๒ ในระหว่างวันที่
๖ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายความมั่นคงของเมียนมาได้ระดมกำลังออกปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กและหัวเมืองใกล้เคียง
โดยสามารถจับกุมเจ้าของและพนักงานได้จำนวนหนึ่ง ๒.๓
บ่อนการพนันออนไลน์และขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่ลักลอบเปิดกิจการอยู่ในพื้นที่จังหวัดท่าขี้เหล็กได้ให้พนักงานจำนวนกว่า
๑๐๐ คน เดินทางกลับประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณชายแดนตรงข้ามอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย เนื่องจากการขาดแคลนไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์และน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเป็นสำหรับเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า ๓.
สถิติคดีหลอกลวงออนไลน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายหลังการบังคับใช้มาตรการลดลง สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลดลงจากเดิมเฉลี่ยวันละ
๑,๒๐๐ คดี เหลือวันละ ๑,๐๐๐ - ๑,๑๐๐ คดี แสดงให้เห็นว่าแนวทางและมาตรการที่ได้ดำเนินการส่งผลกระทบต่อขบวนการคอลเซ็นเตอร์
และประชาชนมีความตื่นตัวต่อภัยอาชญากรรมออนไลน์มากขึ้น ๔.
ทางการเมียนมามีท่าทีตอบรับและดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมอย่างจริงจังมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1089 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เพื่อขยายระยะเวลาตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนและการขอทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชน | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ
ดังนี้ ๑. ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม
ดังนี้ ๑.๑
ขยายระยะเวลาการตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนจาก “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗” เป็น “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐” ๑.๒
มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาทบทวน ปรับปรุงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนในกรณีที่ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังภาพรวม
เพื่อให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม ๒. ให้เพิ่มอัตรากำลังแก่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) จำนวน ๑๖ อัตรา และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
จำนวน ๔๖ อัตรา โดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติและมีเงื่อนไขว่า
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ต้องควบคุมกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
หากมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ให้คืนอัตรากำลังดังกล่าวภายใน ๑ ปี โดยพิจารณาระยะเวลาของสัญญาจ้างให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
สอดคล้องหรือรองรับหลักเกณฑ์การคืนอัตรากำลังตามเงื่อนไขข้างต้น ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
สำนักงาน ก.พ.ร. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นว่าหากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน) ได้รับมอบภารกิจซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาล
หรือรับผิดชอบการบริหารโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ให้หน่วยงานสามารถจัดสรร
หรือเกลี่ยอัตรากำลังบุคลากรทั้งที่ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนและปฏิบัติภารกิจหลักได้อย่างยืดหยุ่นสอดคล้องกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายใต้กรอบอัตรากำลังภาพรวม
จำนวน ๓๑๐ อัตรา
ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๒๐๓/๓๑๑
ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1090 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
จากเดิม อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนเองของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๗ เป็น ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี
๒๕๗๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่า
ให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1091 | การดำเนินการตามข้อบท 22 วรรค 3 (บี) ของอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน การแจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้) โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม | ทส. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
ดำเนินการตามข้อบท ๒๒ วรรค ๓ (บี) แจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก เอ (การเลิกใช้)
โดยบรรจุรายชื่อสาร Dechlorane Plus และ UV-328 เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้การแก้ไขภาคผนวกดังกล่าวมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยและให้ภาคอุตสาหกรรมที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีมีระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนการใช้สารทดแทน
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการมีหนังสือแจ้งองค์การสหประชาชาติ (ผู้เก็บรักษาอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ)
ก่อนการแก้ไขภาคผนวกเพิ่มเติมนี้จะมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านเทคนิคและการเงินในการจัดการสารทั้ง
๒ ชนิด และสร้างขีดความสามารถให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามพันธกรณีก่อนการยอมรับการแก้ไขภาคผนวกให้มีผลบังคับใช้และเกิดผลผูกพันทางกฎหมายกับไทยต่อไปด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งดำเนินการเลิกใช้สารเคมีทั้งสองชนิด
เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานอย่างยั่งยืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1092 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - มองโกเลีย | คค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1093 | มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25 - 31 มกราคม 2568 ภาคการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการตามมาตรการวงเงิน 190.43 ล้านบาท | คค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๐.๔๓
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม
และกรุงเทพมหานครในการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ
ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๘ ตามปริมาณผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง
โดยไม่เกินกรอบวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1094 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรตองกาว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1095 | มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน | กค. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non - Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย และหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non - Banks ของธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงการคลัง
กำกับ และติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ Non-Banks ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับ ติดตาม และประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ
“คุณสู้ เราช่วย” และให้รายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1096 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ในเขตป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยศาลาพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรีท้องที่ตำบลไพรพัฒนาอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ | มท. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชีและข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ)
และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑
เอ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน
ในการดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรี ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1097 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววรางคนา เวชวิธี) | สธ. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววรางคนา เวชวิธี
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย
ให้ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1098 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑)
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓ เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี
๒๕๖๗ ๒) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวและระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ อยู่ที่ร้อยละ -๐.๗๙ และ ๐.๗๘
ตามลำดับ ซึ่ง กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นเข้าสู่กรอบเป้าหมายในไตรมาสที่
๔ ปี ๒๕๖๗ และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี
๒๕๖๗ เช่น (๑) กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๕๐ (๒)
ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจากสิ้นปี ๒๕๖๖ กนง. เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินและผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเลี่ยน
และ (๓) กนง. สนับสนุนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
และเห็นว่ากระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ควรเกิดขึ้นต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการที่สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1099 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 | ทส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1100 | ผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | มท. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว
และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำระยะยาวอีกด้วย ๒. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง กรุงเทพมหานครได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง
(เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร
และกระทรวงคมนาคมได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะระบบระบายน้ำ ๓. การย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครราชสีมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลางระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ๔. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา เช่น การจัดทำ Sea barrier การขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา
และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต (Foresight) ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี
เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ๕. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมาที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติและศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่น
เป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
|