ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 46 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 901 - 920 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
901 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) | ปช. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
(Environmental Impact Assessment : EIA) ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
902 | ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม พ.ศ. .... | ปสส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม
พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
903 | การเพิ่มองค์ประกอบในคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูลและคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) | ดศ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพิ่มองค์ประกอบกรรมการในคณะกรรมการเฉพาะด้าน
ตามมาตรา ๑๓ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐
จำนวน ๒ คณะ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
ประธานกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. เพิ่มผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่
และผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
เป็นกรรมการในคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูล ๒. เพิ่มปลัดกระทรวงสาธารณสุข
เป็นกรรมการในคณะกรรมการเฉพาะด้านการขับเคลื่อนตามนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
904 | ร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568) | ปสส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
905 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) | นร.01 | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องและเงินยังชีพรายเดือนแก่บุตรเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคง
การรักษาความสงบเรียบร้อย และการปราบปรามยาเสพติดทั่วประเทศ
ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ (คทช.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
906 | รัฐบาลสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินีประจำประเทศไทย (นายเมาริซิโอ เมาโร เอปกัว โอบามา) | กต. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเมาริซิโอ เมาโร เอปกัว โอบามา (Mr. Mauricio Mauro Epkua
Obama) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิเควทอเรียลกินีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง
สาธารณรัฐประชาชนจีน สืบแทน นายมานูเอล โมโต โตโม (Mr. Manuel Moto
Tomo) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
907 | รัฐบาลสาธารณรัฐตูนิเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด ฏรอเบลซี) | กต. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด ฏรอเบลซี (Mr. Mohamed Trabelsi) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตูนิเซียประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สืบแทน นายริอาด ดริดิ (Mr.
Riadh Dridi) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
908 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงอุตสาหกรรม) | อก. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
จำนวน ๓ คณะ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า ๒.
คณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการปฏิบัติให้เป็นไปตามอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
909 | ขออนุมัติดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) | คค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย
(ระยะที่ ๒ ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) (โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒)
มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ (One Belt One Road : OBOR) โดยจะเป็นการเชื่อมโยงระบบคมนาคมทางรางจากสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมายังประเทศไทย
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
ในส่วนที่กระทรวงการคลังมีความเห็นว่า การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๒
จำเป็นต้องใช้เงินกู้ในการดำเนินโครงการเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งกระทรวงคมนาคมมีโครงการลงทุนในช่วงเวลาเดียวกันอีกหลายโครงการ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) ที่จะใช้ในการดำเนินโครงการอื่น
ๆ อันอาจทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเข้าใกล้กรอบร้อยละ
๗๐ นั้น กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยจะรับไปศึกษาความเหมาะสมของรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ ในส่วนของการเดินรถ การลงทุน ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล
รวมถึงในส่วนของการดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทาก่อนดำเนินการต่อไป
ซึ่งจะช่วยลดภาระในส่วนของวงเงินงบประมาณและเงินกู้ที่ใช้ในการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒
รวมทั้งจะพิจารณาปรับปรุงสมมติฐานที่ใช้ในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน
ตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ด้วย
โดยจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. อนุมัติในหลักการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินการในส่วนของการจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินและการก่อสร้างงานโยธาภายในกรอบวงเงิน
ดังนี้ ๒.๑
ค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สิน วงเงิน ๑๒,๔๑๘.๖๑ ล้านบาท ๒.๒
ค่างานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๒๓๗,๔๕๔.๘๖
ล้านบาท ๒.๓
ค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา วงเงิน ๖,๕๓๐.๐๑ ล้านบาท ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
สำหรับเป็นค่าจัดสรรกรรมสิทธิ์ที่ดินและชดเชยทรัพย์สินตามข้อ ๒.๑
โดยในส่วนค่างานก่อสร้างโยธาและค่าควบคุมงานก่อสร้างโยธา ตามข้อ ๒.๒ และข้อ ๒.๓
ให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันเงินกู้ให้ตามความเหมาะสม และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับเป็นค่าชำระค่าคืนต้นเงินกู้
ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ และค่าใช้จ่ายในการกู้เงินต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินการก่อสร้างงานโยธาให้เป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคที่เหมาะสมและใช้จ่ายงบประมาณอย่างประหยัด
มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญต่อไป ทั้งนี้
เพื่อเป็นการลดแรงกดดันทางการเงินการคลังของประเทศในภาพรวม ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ภายใต้โครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
ระยะที่ ๒ เช่น การลงทุนระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล การลงทุนเครื่องมือ/อุปกรณ์
และรถจักร ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา เป็นต้น ในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม
๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร
๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘)
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังก่อนดำเนินการต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเมื่อวันที่
๒๓ มกราคม ๒๕๖๘ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด
ที่ นร ๑๑๐๖/๔๐๕ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาลงทุนในโครงการที่มีความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก รวมถึงกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
ที่มีผลการดำเนินงานที่ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เป็นอย่างมาก
เพื่อให้การดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมายและเป็นไปตามสมมติฐานของอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
(EIRR) ในการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ
และป้องกันความเสี่ยงของต้นทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่รัฐต้องรับภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นด้วย
ตลอดจนให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งศึกษารูปแบบการให้เอกชนเดินรถช่วงกรุงเทพมหานคร
- นครราชสีมา และนครราชสีมา - หนองคาย
ตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ)
ให้แล้วเสร็จทันแผนการเปิดให้บริการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ระยะที่ ๑
และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการจัดหาผู้เดินรถกรณีที่ผลศึกษารูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนยังไม่แล้วเสร็จ
เป็นต้น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงคมนาคม
โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นลำดับแรก
เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณและภาระทางการคลังของภาครัฐในอนาคตเกินสมควร และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการศึกษารูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย รวมถึงศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา
ให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการ
และลดภาระงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว ๕.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค
ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย (ระยะที่ ๑ ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา)
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๘ (เรื่อง ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย
- จีน ครบรอบ ๕๐ ปี) ด้วย ๖.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ
(Project Feasibility) ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอายุของรายงานฯ
ที่จะนำไปใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบโครงการ
เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและสอดดล้องกับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาโครงการลงทุนที่จะดำเนินการในอนาคตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
910 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 | ปสส. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม
พ.ศ. .... พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๒ ครั้งที่
๑๔ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑๕ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
911 | รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น (นายดิญ หว่าง ลิญ) | กต. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายดิญ หว่าง ลิญ (Mr.Dinh Hoang Linh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ จังหวัดขอนแก่น
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ
กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด
สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายจู ดึ๊ก สุง (Mr. Chu Duc Dung) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
912 | ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... | กค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินของโลก
(Financial Hub) และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย
ผ่านกลไกในการส่งเสริม กำกับดูแล
และการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการที่เข้ามาประกอบธุรกิจเป้าหมายใน Financial
Hub เพื่อให้บริการแก่นิติบุคคลหรือบุคคลที่ไม่ได้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
(Non-residents) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
เช่น สำนักงาน ก.พ. เห็นควรคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจของหน่วยงาน
ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ และความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓
มีนาคม ๒๕๖๗ ที่มีเป้าประสงค์ในการนำงบประมาณรายจ่ายประจำที่ปรับลดได้ไปจัดสรรเป็นงบประมาณรายจ่ายลงทุนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
รวมถึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการเป็นหน่วยงานของรัฐ
และหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารที่ ก.พ.ร. กำหนด
ควรมีการวางแผนการบริหารจัดการและการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว
และนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน เพื่อให้การบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ
การควบคุมขนาดกำลังคนภาครัฐ และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการยกเว้นกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจทางการเงินหลายฉบับ
สมควรรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
เพื่อให้การกำกับดูแลสอดคล้องกัน และเพื่อพัฒนาระบบ Financial Services ของประเทศในภาพรวมให้ทันสมัยขึ้นด้วย
และการจัดตั้งสำนักงานขึ้นใหม่อาจสร้างปัญหาต่อระบบงบประมาณในระยะยาว และอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่จะลดขนาดภาครัฐ
กว่าจะจัดตั้งขึ้นได้ก็ต้องใช้เวลานาน
สมควรพิจารณาว่าการมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้วทำหน้าที่ดังกล่าวเพิ่มเติมจะเหมาะสมกว่าหรือไม่
เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้
ความเข้าใจ
และประโยชน์ที่จะได้รับของการจัดตั้งศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน
ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงยุติธรรม เห็นว่าการพัฒนาศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินควรคำนึงถึงการพัฒนาระบบการระงับข้อพิพาทควบคู่กันด้วย
ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมระบบการระงับข้อพิพาททางเลือกในประเทศไทย อาทิ
การอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะช่วยให้การระงับข้อพิพาทสามารถดำเนินการได้อย่างสะดวก
รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยสามารถเลือกผู้ชี้ขาดที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
อันจะนำไปสู่กระบวนพิจารณาที่มีประสิทธิภาพและคู่ความยอมรับคำชี้ขาดซึ่งนำไปบังคับตามกฎหมายต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
913 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (นายธิรินทร์ ณ ถลาง) | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายธิรินทร์ ณ ถลาง
เป็นผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท
รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการองค์การคลังสินค้าในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๗ และครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
914 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นปรับปรุงรายการสินค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ และพิกัดอัตราศุลกากร
ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าต้องมีการปรับแก้ไขรายละเอียดของประเภทย่อยและคำอธิบายความตามประเภทพิกัดอัตราศุลกากร
ทั้งภาษาไทย (รายการ) และภาษาอังกฤษ (Description)
ในบัญชีท้ายร่างประกาศดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ
โดยเห็นควรตัดการอ้างวรรคหนึ่งของมาตรา ๕ ออก และระบุเป็น มาตรา ๕ (๑) และวรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
เนื่องจากมาตรา ๕ ไม่มีอนุมาตราในวรรคอื่น และร่างข้อ ๕ เห็นควรใช้คำว่า
“พิกัดอัตราศุลกากร” เพื่อให้เป็นไปตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าเมื่อร่างประกาศมีผลบังคับใช้แล้ว
เห็นควรประสานกรมศุลกากร
เพื่อบรรจุพิกัดอัตราศุลกากรของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรในระบบค้นหาพิกัดอัตราศุลกากร
เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะนำเข้าได้รับทราบและปฏิบัติ
และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถกำกับดูแลให้เป็นในแนวทางเดียวกัน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดกฎหมาย
และกลไกการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกำจัด
และนำขยะอิเล็กทรอนิกส์กลับมาใช้ประโยชน์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
915 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ยางรถใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
ให้ยางรถใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงมาตรการควบคุมการนำเข้ายางรถที่ใช้แล้ว
โดยยกเลิกการควบคุมการนำเข้ายางรถที่ใช้งานแล้วหรือยางรถที่หล่อดอกใหม่ รวมถึงเศษ
เศษตัดและของที่ใช้ไม่ได้ที่เป็นยางรถชนิดที่ใช้กับรถบัสหรือรถบรรทุก
เพื่อลดความซ้ำซ้อนของกฎหมาย และปรับปรุงการอ้างอิงพิกัดอัตราศุลกากร
โดยกำหนดให้อ้างอิงรหัสสถิติด้วยเพื่อความชัดเจนในการดำเนินพิธีการศุลกากร เพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ
ควรให้ตัดการอ้างวรรคหนึ่งของ มาตรา ๕ ออก และระบุเป็น มาตรา ๕ (๑) (๒) (๓) (๖)
และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากตามมาตรา ๕ ไม่มีอนุมาตราในวรรคอื่น และตัดวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างประกาศฯ
ออก เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ไม่ต้องระบุไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าเพื่อลดความซ้ำซ้อนของกฎหมายควบคุมการนำเข้ายางรถใช้แล้วของกระทรวงพาณิชย์
และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมควรหารือร่วมกันเพื่อกำหนดให้ยางรถที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
916 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง
ครั้งที่ ๓ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ
นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญ คือ ๑)
การเน้นย้ำความสำคัญของการร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพื่อรับมือกับความท้าทายของสถานการณ์โลกปัจจุบัน
๒) การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและนโยบายในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงระบบเกษตรอาหาร
และ ๓) การรับรองกรอบยุทธศาสตร์คุนหมิง สำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบเกษตรอาหาร ภายใต้
GMS 2030
นอกจากนี้ยังมีการหารือทวิภาคีกับนาย Zhang Zhili รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทจีน
ในการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านเกษตร
การขอให้จีนสนับสนุนและผลักดันการพิจารณาการขอยื่นการเปิดตลาดสินค้าเกษตรเพิ่มเติม
จำนวน ๖ รายการ และคาดว่าในปี ๒๕๖๘ จะมีการลงนามพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร
ด้านการสัตวแพทย์ การปกป้องพืชเพื่อการส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้ง ระหว่างไทยและจีน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
917 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | คค. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ
ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท
ถนนสาย ก ๗ ถนนสาย ง ๘ และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมอุดรธานี และถนนต่อเชื่อม
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
918 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ 86) พ.ศ. 2541 พ.ศ. .... | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๘๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๔ ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์
ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๘๖) พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งกำหนดให้ถ่านหินทุกชนิดที่เป็นก้อน
ผงหรืออัดเป็นก้อนที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักร
เป็นสินค้าที่ห้ามส่งออกไปนอกราชอาณาจักรและอนุญาตให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเฉพาะกรณีเป็นถ่านหินที่นำเข้ามาจากต่างประเทศแล้วส่งกลับออกไปในลักษณะเดิม
หรือนำเข้ามาแปรรูปในประเทศแล้วส่งออกไปนอกราชอาณาจักร เนื่องจากปัจจุบันได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง กำหนดชนิดและสภาพแร่ที่ห้ามส่งออกนอกราชอาณาจักรหรือเขตไหล่ทวีป พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยกำหนดมาตรการห้ามส่งออกถ่านหินที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรและเขตไหล่ทวีปออกนอกราชอาณาจักรหรือเขตไหล่ทวีปไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
โดยให้กระทรวงพาณิชย์แก้ไขการระบุวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เป็นปัจจุบัน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
919 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร.09 | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมประชาสัมพันธ์
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและหน้าที่และอำนาจของกรมประชาสัมพันธ์
สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวไปยังสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม และประกาศในราชกิจกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
920 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1.นายรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ ฯลฯ จำนวน 3 ราย) | พณ. | 04/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายรัชวิชญ์ ปิยะปราโมทย์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวจิตติมา ศรีถาพร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|