ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 45 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 881 - 900 จากข้อมูลทั้งหมด 124440 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง  | 
									วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 881 | ข้อเสนอแนะยกเลิกข้อบทเกี่ยวกับเพดานการให้สินเชื่อในความตกลงว่าด้วยการสถาปนาธนาคารพัฒนาเอเชีย | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะยกเลิกข้อบทเกี่ยวกับเพดานการให้สินเชื่อในความตกลงว่าด้วยการสถาปนาธนาคารพัฒนาเอเชีย
(Asian Development Bank :
ADB) เพื่อที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ว่าการของไทยใน
ADB ลงคะแนนเสียงให้ความเห็นชอบต่อร่างมติสภาผู้ว่าการ
ADB ในเรื่องดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เห็นว่าหน่วยงานไทยที่เป็นสมาชิก
ADB ควรเน้นย้ำให้ ADB ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง
และประเมินความเสี่ยงอย่างเข้มงวดและรัดกุม โดยอาจอ้างอิงเกณฑ์ของธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและพัฒนา
(International Bank for Reconstruction and
Development : IBRD) ที่มีหน้าที่ใกล้เคียงกับ
ADB และได้มีมติยกเลิกเพดานการให้สินเชื่อไปเมื่อปี ๒๕๖๖ โดย
IBRD ได้กำหนด ๑) กรอบความเพียงพอของทุน (Capital Adequacy Framework : CAF) ที่ให้สินเชื่อได้สูงสุดไม่เกิน
๕ เท่าของทุนที่ชำระแล้วและทุนสำรอง และ ๒)
กำหนดอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกู้ขั้นต่ำ (minimum equity-to-loans
ratio) ในระดับที่เพียงพอและเหมาะสม
ที่จะไม่กระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของ ADB ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 882 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายบุญญฤทธิ์ วิเชียรพันธุ์) | กต. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายบุญญฤทธิ์ วิเชียรพันธุ์
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำตำแหน่งประเทศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 883 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายมงคล ตรีกิจจานนท์) | มท. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายมงคล ตรีกิจจานนท์ เป็นผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ ๔๗๐,๐๐๐ บาท
รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ
ทั้งนี้ ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 884 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 28 | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
											    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 885 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 | นร.11 สศช | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๒ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ในการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 886 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และการพิจารณาเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับ OPCAT | ยธ. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
											    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 887 | ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | นร.07 | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และเห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๙ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้ดำเนินการจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 888 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ | อว. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๑๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป
เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
ในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ๕ แห่ง ในลักษณะโครงการนำร่อง
ของมหาวิทยาลัยมหิดล ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 889 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม | กห. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐาน
(แม่น้ำปิง และแม่น้ำกก) ระยะเร่งด่วน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๕,๓๓๔,๑๐๐ บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย ต่อไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 890 | ขอความเห็นชอบการต่ออายุกรอบข้อบังคับของกลุ่มต่อต้านการฟอกเงินเอเชียแปซิฟิก (Asia/Pacific Group on Money Laundering: APG) แบบไม่มีกำหนด | ปปง. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 891 | การเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 892 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2568 และครั้งที่ 2/2568 | นร.04 | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 893 | การเข้าร่วมงาน International Horticultural Expo 2027 | กต. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบและอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงาน International Horticultural Expo 2027
ระหว่างวันที่ ๑๙ มีนาคม - ๒๖ กันยายน ๒๕๗๐ ณ เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น
โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงานดังกล่าว และให้อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
โดยตำแหน่งเป็น Commissioner General of Section (CG)
ของประเทศไทย เป็นผู้ลงนามในสัญญาต่าง ๆ สำหรับการเข้าร่วมงาน International
Horticultural Expo 2027 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของกรอบวงเงินสำหรับการเข้าร่วมการจัดงาน
มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่งให้เหมาะสม คุ้มค่า
และเกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตร)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการเข้าร่วมการจัดงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการให้ครอบคลุมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงโครงการในอนาคต
ทั้งนี้ ในส่วนของกรอบงบประมาณในการดำเนินการ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๔๙๗,๔๙๑,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - พ.ศ. ๒๕๗๑ เพื่อใช้จัดงาน International Horticultural Expo 2027
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 894 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภทประหยัดพลังงาน แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขอัตราภาษีรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
๑๐ คน ประเภทประหยัดพลังงาน
แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้าที่สามารถเสียบปลั๊กประจุไฟฟ้าได้ (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) โดยยกเลิกเงื่อนไขขนาดถังน้ำมัน (Fuel
Tank) และให้คงพิจารณาเฉพาะระยะทางการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าต่อการประจุไฟฟ้า
๑ ครั้งเท่านั้น เพื่อให้รถยนต์ PHEV ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาเทคโนโลยีและสอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์
PHEV ในระดับสากล และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมยานยนต์ประเภทสันดาปภายในไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต
(Future Mobility) โดยยังคงจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าร้อยละ
๕ และร้อยละ ๑๐ และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 895 | รายงานผลการเข้าร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายชูศักดิ์ ศิรินิล) รายงานว่า
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชามอบหมายกระผมเป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยเข้าร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน
นั้น ขอรายงานผลการร่วมพิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสดังกล่าว โดยสรุป
ดังนี้ เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน
๒๕๖๘ กระผมในฐานะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทย พร้อมด้วยนายธเนศ กิตติธเนศวร เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และนางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ (ว่าที่) เอกอัครราชทูตประจำนครรัฐวาติกัน
ได้เข้าร่วมพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันชิส ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์
นครรัฐวาติกัน โดยมีนายธัชสิทธิ์ ประสิทธิรัตน์ อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูต
ประจำนครรัฐวาติกันและคณะ เข้าร่วมพิธีในส่วนของคณะทูตานุทูตด้วย พิธีพระศพจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ
โดยเริ่มขึ้นในเวลา ๑๐.๐๐ น. ด้วยการเคลื่อนย้ายโลงพระศพ จากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ออกมายังหน้ามหาวิหาร
ตามด้วยการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายพระศพไปฝังที่มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร
(Santa Maria Maggiore Basilica) ณ กรุงโรม
และเสร็จสิ้นเมื่อเวลา ๑๒.๑๐ น. โดยมีพระคาร์ดินัลโจวานนี บัตตีสตา เร (Cardinal
Giovanni Battista Re) ประธานคณะคาร์ดินัลทั่วโลก (Dean of
the College of Cardinals) เป็นประธานในพิธีพระศพ
และมีผู้แทนระดับสูงจากนานาประเทศเข้าร่วมกว่า ๑๕๐ ประเทศ/องค์การระหว่างประเทศ
รวมถึงเชื้อพระวงศ์ ประมุขของรัฐ และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ
จำนวนมาก รวมทั้งยังมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมงาน และผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลประเทศต่าง
ๆ จำนวนมาก รวมทั้งยังมีประชาชนผู้มีจิตศรัทธาเข้าร่วมงานอีกกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน ในโอกาสนี้
กระผมและคณะได้เข้าพบพระคาร์ดินัลปิเอโตร ปาโรลิน (Pietro
Parolin) เลขาธิการสันตะสำนักในสมัยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
และพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ที่นครรัฐวาติกันด้วย ประเทศไทยและนครรัฐวาติกันได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่
๒๘ เมษายน ๒๕๑๒ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนครรัฐวาติกันเป็นไปอย่างราบรื่น
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิสได้เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๐ - ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมทั้งได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายกด้วย การที่ประเทศไทยมีผู้แทนพิเศษระดับรัฐบาลเข้าร่วมพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรันซิส
เป็นการแสดงมิตรไมตรีและความเคารพอย่างสูงต่อคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิก
และแสดงให้เห็นว่าถึงแม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
แต่ก็ยังให้คุณค่าและความเคารพต่อศาสนาอื่น ๆ และพิธีกรรมทางศาสนา
โดยการเข้าร่วมพิธีพระศพในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวระหว่างศาสนาต่าง
ๆ บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนครรัฐวาติกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 896 | ปัญหาการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดสกลนครและนครพนม | นร. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดสกลนครและนครพนม
เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๘ พบว่า การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ยังมีปัญหาในด้านการบูรณาการและการติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้
ทั้งในส่วนของการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค
การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง
ที่ยังไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้อย่างเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ดังนั้น
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) รับเรื่องนี้ไปประสาน/กำกับให้หน่วยงานด้านการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
เร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติแล้ว
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
เพื่อให้ความเดือดร้อนของประชาชนจากปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในพื้นที่จังหวัดสกลนครและและนครพนม
รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงหมดสิ้นไปโดยเร็ว 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 897 | โครงการสลากการกุศล | กค. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ ดังนี้     ๑.๑
เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย
ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย วงเงิน ๒๕๐ ล้านบาท
เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว ล่วงเลยระยะเวลาตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เห็นชอบ เนื่องจากปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอเช่าที่ดินแปลงอื่น     ๑.๒ เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการฯ
จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๕,๓๐๘.๑๔ ล้านบาท     ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบบาล ดำเนินการดังนี้           ๑.๓.๑
เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศลตามข้อ ๑.๒           ๑.๓.๒
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) ของกฎกระทรวงมหาดไทย
ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓)           ๑.๓.๓
จัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้     ๑.๔
มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้           ๑.๔.๑
ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงินขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน
หรือขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณาแล้วเห็นว่า
โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว          
๑.๔.๒ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒ เป็นในส่วนของทุนการศึกษา
จึงเห็นควรให้ดำเนินการสนับสนุน ตามจำนวนผู้รับทุนการศึกษาที่หน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนเท่านั้น
โดยให้นำเงินเหลือจ่ายโอนเข้ารายได้แผ่นดิน ทั้งนี้
ในกระบวนการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุน ควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ
และรัดกุม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนอย่างเท่าเทียมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษา
หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ
อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เห็นควรให้ทุกหน่วยงานร่วมวางแผนวิจัยติดตามประเมินผลความคุ้มค่าหรือวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของการดำเนินการโครงการสลากการกุศลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการระยะยาวของรัฐบาลที่เหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลแล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการประเมินผลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศล
ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 898 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ๒ (นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2568 และวันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568 | นร.11 สศช | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๒ (นครพนม สกลนคร และมุกดาหาร) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๘ และวันจันทร์ที่
๒๘ เมษายน ๒๕๖๘ และเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตอนบน ๒ จำนวน ๔ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม
ความคุ้มค่าของโครงการและความเหมาะสมของวงเงินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ. กลุ่มจังหวัด)
จำนวน ๕ โครงการ กรอบวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐
บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า
และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดฯ
ของภาคเอกชน ในส่วนที่เหลือจำนวน ๒๑ โครงการ
เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติที่ประชุมไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สำหรับวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้หน่วยรับงบประมาณที่เป็นเจ้าของโครงการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ 
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 899 | นายกรัฐมนตรีลาป่วยในวันที่ 25 เมษายน 2568 | นร.05 | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า
นายกรัฐมนตรีได้ลาป่วยในวันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
| 900 | รัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียประจำประเทศไทย (นายเฟสเซฮา ชาเวล เกเบร) | กต. | 29/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||
| 
		           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเฟสเซฮา ชาเวล เกเบร (Mr. Fesseha Shawel Gebre) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปียประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นางทีซีทา มูลูเกทา ยีมาม (Mrs.
Tizita Mulugeta Yimam) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 
											    												    		
  | 
											    ||||||||||||||||||||||||||||||
