ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1531 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 30601 - 30620 จากข้อมูลทั้งหมด 124469 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30601 | เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัย โดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการส่งข้อมูลและรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ กบอ. รวบรวม จัดพิมพ์ และเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อทบทวนแผนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยต่าง ๆ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยใช้กรณีศึกษา (case study) จากปีที่ผ่านมาเป็นต้นแบบ แล้วนำไปปรับปรุงโดยผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ (Systematic thinking) เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการแจ้งเรื่องการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อทบทวนแผนการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยต่าง ๆ ดังกล่าวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานครในการจัดบุคลากรเข้าร่วมการฝึกอบรมดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30602 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช 2482 พ.ศ. .... | กษ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช ๒๔๘๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พุทธศักราช ๒๔๘๒ พระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๓ และพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. เห็นชอบให้ยุติการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30603 | ขอเพิ่มเติมผู้แทนองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย (คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้ง โดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงคมนาคม) | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เพิ่มเติมผู้แทนสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นองค์ประกอบกรรมการลำดับที่ ๑๖ ในคณะกรรมการแห่งชาติในการค้นหาและช่วยเหลืออากาศยานและเรือที่ประสบภัย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30604 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ปรับปรุงขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการโดยไม่ต้องเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเว้นแต่โครงการที่ กบอ. เห็นสมควรเสนอ กนอช. เห็นชอบในหลักการก่อน และกำหนดขั้นตอนการดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการบริหารจัดการน้ำหรือป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบ หรือเป็นโครงการที่มีลักษณะหรือสภาพเฉพาะเป็นพิเศษ ๑.๑.๒ กำหนดให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุหรือคณะกรรมการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาในกรณีที่ปรากฏปัญหาการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ กำหนดให้ กบอ. อาจมีมติให้ใช้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำหรือแนวทางการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยอื่นใดมีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับแผนปฏิบัติการ เพื่อให้ กบอ. สามารถกำกับโครงการของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบนี้ได้ครบถ้วน ๑.๒.๒ กำหนดให้ กบอ. อาจจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำหรือป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างเป็นระบบหรือโครงการอื่นใดเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติได้ ๑.๒.๓ กำหนดให้ กบอ. มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามมติของ กบอ. ด้วย ๒. ให้ กบอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาอนุมัติโครงการกรณีที่เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่อาจกระทบกับเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ให้ กบอ. พิจารณาปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30605 | ผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลักดันการส่งออกของประเทศ | พณ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อผลักดันการส่งออกของประเทศ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐและสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ๖๕ แห่งทั่วโลก สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายและมาตรการในการผลักดันการส่งออก ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการในระยะเร่งด่วน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจเตรียมการรับมือผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีการหารือร่วมกันและกำหนดมาตรการในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจยูโรโซนและอื่น ๆ ๑.๒ การดำเนินการในระยะยาว ให้มีการหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่องระหว่างกระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันในการหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ (blue ocean) โดยเฉพาะ ASEAN ควรอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของผู้ประกอบการไทย รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งอาศัยความได้เปรียบจากโครงสร้างภาษีที่เป็นศูนย์ และเพื่อมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและความแตกต่างให้กับสินค้าของไทยเพื่อให้ขายได้ราคาที่สูงขึ้น ตลอดจนการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม และการพิจารณาใช้มาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออก ทั้งนี้ ให้หน่วยงานของรัฐบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหา/อุปสรรคต่าง ๆ ร่วมกันและจัดทำเป็นแผนปฏิบัติงานที่ชัดเจนต่อไป ๒. ปัญหาอุปสรรคในการส่งออกของไทย สรุปได้ ๖ ประเด็นหลัก ได้แก่ ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะช่วงฟื้นฟูหลังน้ำท่วม ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อการผลิต ปัญหาการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าส่งออก ปัญหาการเชื่อมโยงและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และปัญหาด้านการตลาด ๓. ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อศึกษาวิเคราะห์ สรุปประเด็นปัญหา และแนวทางการแก้ไข รวม ๕ คณะ ได้แก่ คณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าและกฎระเบียบด้านภาษี คณะทำงานติดตามสถานการณ์และขับเคลื่อนการส่งออกไปตลาดในภูมิภาคยุโรป คณะทำงานแก้ไขปัญหาและผลักดันการส่งออกไปตลาดศักยภาพอื่น ๆ คณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และคณะทำงานแก้ไขปัญหาและผลักดันการส่งออกรายการสินค้า (อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร เกษตร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม) ทั้งนี้ คณะทำงานชุดต่าง ๆ จะมีการจัดประชุมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถดำเนินงานที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาอุปสรรคด้านการค้าและกฎระเบียบด้านภาษี และให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณารายละเอียดของคณะทำงานอีก ๔ คณะโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30606 | การแต่งตั้งประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์) | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี (นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์) ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๐/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30607 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (นายประดิษฐ์ เอกมณี) | ยธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายประดิษฐ์ เอกมณี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และกระบวนการดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญา ในคณะกรรมการคดีพิเศษ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30608 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ในสัญญาที่ ๑ - ๓ โดยกิจการร่วมค้า STEC - UNIQ (SU) เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ๒. เห็นชอบการปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต จำนวน ๗๔,๗๙๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท โดยปรับกรอบวงเงินในสัญญาที่ ๑ เพิ่มเติมจากจำนวน ๒๗,๑๓๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๒๙,๘๒๘,๒๕๙,๓๒๕ บาท สำหรับสัญญาที่ ๒ และ ๓ ให้คงตามกรอบวงเงินลงทุนเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญาที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญาในคราวเดียวกัน ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนรวมของทั้งโครงการจะต้องอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลและไม่สูงกว่าจุดคุ้มทุน ๓. ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำรายละเอียดของการปรับเพิ่มวงเงินในสัญญาที่ ๑ แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินให้ชัดเจน เพื่อจะได้พิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30609 | การจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 พ.ศ. .... | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30610 | แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณ ที่กระทรวงการคลังกำหนดให้กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ระยะเวลา ๒ ปี เริ่มตั้งแต่ในห้วงเวลาเริ่มต้นของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ให้สำเร็จเป็นรูปธรรมได้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานของรัฐเจ้าสังกัดเงินนอกงบประมาณ ในด้านการพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. ในด้านการพัฒนาโครงสร้างองค์กรให้มีความพร้อมในการกำกับและบริหารเงินนอกงบประมาณ เป็นต้น ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๓ ประเด็นยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล : กำหนดให้มีแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาระบบการบริหารเงินนอกงบประมาณ ประกอบด้วย แผนงานปรับโครงสร้างองค์กรและระบบงานภายในกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบด้านการบริหารเงินนอกงบประมาณให้มีขีดความสามารถในการบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ และประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แผนงานปรับปรุงพัฒนาและบูรณาการกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับแนวนโยบายในการบริหารเงินแผ่นดินในภาพรวม และแผนงานสร้างระบบการพิจารณากลั่นกรองการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่มีเงินนอกงบประมาณหรือการบริหารจัดการเงินในลักษณะที่เป็นเงินนอกงบประมาณ ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ด้านสารสนเทศ : เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารและประมวลผลข้อมูลสารสนเทศเงินนอกงบประมาณให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลสารสนเทศการเงินการคลังภาครัฐในภาพรวม ให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงลดปริมาณงานและความซ้ำซ้อนให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเงินงบประมาณ โดยการประมวลผลแบบเบ็ดเสร็จ และสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแผนงาน/โครงการที่รองรับระบบข้อมูลสารสนเทศเงินนอกงบประมาณ ประกอบด้วย แผนงานพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศเงินนอกงบประมาณโดยการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลในระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) และแผนงานพัฒนาระบบการจัดทำรายงานและการรายงานข้อมูลด้านเงินนอกงบประมาณที่มีความถูกต้อง ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ด้านพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากร : ในการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารบุคลากรรองรับการพัฒนาระบบบริหารเงินนอกงบประมาณจำเป็นต้องมีแผนงานปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง แบ่งออกเป็นแผนงานปรับปรุงระบบบริหารงานบุคคล ซึ่งสามารถอ้างอิงกับระบบบริหารงานบุคคลปกติของทางราชการ และแผนงานพัฒนาบุคลากรในส่วนของบุคลากรสังกัดกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ๑.๒ มอบหมายและกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนดำเนินการตามประเด็นยุทธศาสตร์ พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรกำหนดกระบวนการการทำงานด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณอย่างเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ และมีการบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณที่ได้มาตรฐานสากล และป้องกันไม่ให้มีการจัดตั้งเงินนอกงบประมาณโดยไม่จำเป็น รวมทั้งมีการพิจารณาเปรียบเทียบกรอบแนวทางการบริหารจัดการและควบคุมติดตามประเมินผลของระบบเงินนอกงบประมาณตามแนวทางที่เป็นมาตรฐานสากลอื่น ๆ และจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ ระบบการเงินการคลังภาครัฐที่มีประสิทธิภาพสามารถเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างบูรณาการเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนการจัดทำข้อมูลฐานะการคลังในภาพรวมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30611 | การยกระดับหัวหน้าสำนักงานสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ เป็นเอกอัครราชทูต | กต | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกระดับหัวหน้าสำนักงานของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ สาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) และมีโครงการกรอบอัตรากำลัง ๗ คน (จากเดิม ๓ เดิม) ๑.๒ กรอบวงเงินเพื่อใช้เป็นงบประมาณในการกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่สำหรับตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ และตำแหน่งตามกรอบอัตรากำลังใหม่ โดยยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว และเสนอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30612 | มติคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เรื่องการเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อบรรจุไว้ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ของศูนย์มรดกโลก | ทส | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมติคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่เห็นชอบการเสนอวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อศูนย์มรดกโลก ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อบรรจุในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative List) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30613 | ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 45 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | กต | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนาม ประกอบด้วย ๑.๑.๑ เอกสารที่จะลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัฐบาลของรัฐภาคีของสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสหภาพยุโรป และร่างสารขยายจำนวนภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยสหราชอาณาจักร ๑.๑.๒ เอกสารที่จะรับรองโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ข้อเสนออาเซียน เรื่อง องค์ประกอบของแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ระหว่างรัฐสมาชิกอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสถาบันอาเซียนเพื่อสันติและความสมานฉันท์ และเอกสารอาเซียนว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนด้านความเชื่อมโยงอาเซียน+๓ ๑.๑.๓ เอกสารที่จะลงนามโดยเลขาธิการอาเซียน จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) กระทรวงการต่างประเทศสหภาพยุโรป (อีอีเอเอส) และสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าด้วยโครงการแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่และกิจกรรมอื่น ๆ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๑ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑.๑.๒ ๑.๔ อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๓ และให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการเห็นชอบให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในเอกสารดังกล่าวผ่านทางคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่สถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ได้มีการพิจารณารูปแบบการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของสถาบันเป็นข้อยุติแล้ว และมีผลให้รัฐบาลไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่าย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30614 | ร่างกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ | พม | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (Framework for Cooperation between ASEAN and UNICEF) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นแผนงานความร่วมมือระยะ ๕ ปี ในการดำเนินงานส่งเสริมให้เด็กได้รับสิทธิตามข้อบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษที่เกี่ยวกับเด็ก โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ได้แก่ การสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับเด็ก การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือทางด้านวิชาการในด้านสุขภาพ สวัสดิการสังคมและการพัฒนา และจัดทำมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติเพื่อปรับปรุงคุณภาพการให้บริการกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและการออกนโยบายที่เกี่ยวกับเด็กด้านสังคม ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามในร่างกรอบความร่วมมือฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งเรื่องการให้ความเห็นชอบของไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียน โดยดำเนินการผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30615 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2554 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑.๑ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๓๔.๘๙ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๙ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างดำเนินงานเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๖.๖๖ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๔.๙๕ เร็วกว่าแผนร้อยละ ๐.๐๗ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแบบรายละเอียดของสถานีวัดพระศรีมหาธาตุเพื่อแก้ไขปัญหาที่กรุงเทพมหานครไม่ยินยอมให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขนเพื่อก่อสร้างโครงการฯ และอยู่ระหว่างรอพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ (งานโครงสร้างพื้นฐานทางวิ่งรถไฟฟ้ายกระดับและสถานี) แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาและจัดทำราคากลางสำหรับการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (ระบบราง) การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ การดำเนินงานโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาฯ มีความล่าช้ากว่าแผนงานเล็กน้อย ๑.๑.๒ ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและเอกชนใช้พื้นที่บริเวณลานจอดรถของ รฟม. เป็นท่าจอดรถโดยสาร และที่จอดรถรับ - ส่งผู้โดยสาร เชื่อมต่อทางเดินระหว่างอาคารศูนย์การค้าและอาคารอื่น ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า รวมทั้งรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยภายในเขตระบบรถไฟฟ้า กำกับดูแลการเดินรถของผู้รับสัมปทานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ ๑๙๐,๙๔๑ คน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๒ ๑.๑.๓ ด้านการเงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รฟม. มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ ๑๑,๘๓๓.๑๕ ล้านบาท โดยมีรายได้รวม ๕๕๔.๕๔ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๒,๓๘๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๑.๔ ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อให้ รฟม. เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย การมอบทุนการศึกษา การปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตามแผนแม่บทเทคโนโลยีและการสื่อสาร การจัดทำแผนถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากที่ปรึกษา ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา และเอกชน ผู้ลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า และการจัดทำแผนวิสาหกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานขององค์กร ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ให้เปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงต่อเวลา การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษา รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการหลักที่สำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๒ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จตามแผนงานและจัดหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนและให้บริการเดินรถเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย และมีโครงข่ายที่เชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้น การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รวมทั้งเร่งจัดทำแผนธุรกิจและแนวการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรเพื่อรองรับการให้บริการโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางนำร่อง ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30616 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2555 | อก | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ (มกราคม - มีนาคม) พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ (มกราคม - มีนาคม) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หดตัวร้อยละ ๙.๐ หดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๗ และหดตัวจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๘ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวหดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ คือ การลดลงของอุปทาน เนื่องจากมหาอุทกภัยในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่งผลให้อุปสงค์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศหดตัวลง โดยการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือน การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล และการลงทุนหดตัว ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หดตัวร้อยละ ๒๑.๘ หดตัวจากไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ และหดตัวจากไตรมาสที่ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ขยายตัวร้อยละ ๔.๘ เป็นผลมาจากปัญหาอุทกภัยในเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างทำให้เกิดผลกระทบวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับผลกระทบสูง ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕ - ๖.๕ จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการผลิต ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าส่วนใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวร้อยละ ๓.๙ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๕๕) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และชิ้นส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๕ เนื่องจากช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นฤดูการขาย ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียนการศึกษาใหม่ ทำให้มีปริมาณความต้องการรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น โดยการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๘๖ และส่งออกร้อยละ๑๔ ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ การผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในเดือนเมษายนตัวเลขจะลดลงต่ำกว่าปกติ ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนทำให้ภาวะการก่อสร้างเริ่มชะลอตัว รวมทั้งการส่งออกมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยอยู่ในภูมิภาคนี้ย่างเข้าสู่ฤดูฝนคล้าย ๆ กับไทย จึงเป็นอุปสรรคในการก่อสร้างและการคมนาคม ขนส่ง ทำให้ยอดการผลิต การจำหน่ายและการส่งออกมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30617 | การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยได้จัดงาน Outlet เพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าช่วยค่าครองชีพส่งตรงจากโรงงาน” เมื่อวันที่ ๒ - ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ บริเวณกระทรวงอุตสาหกรรม โดยผู้ผลิตได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นมาจำหน่ายในราคาหน้าโรงงาน ผลการจัดงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีประชาชนเข้าร่วมซื้อสินค้าในงานรวม ๒๘,๓๘๐ คน ผู้ประกอบการ จำนวน ๔๗๑ ราย นำสินค้ามาจำหน่าย มียอดขายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๖๙,๒๑๓ บาท กลุ่มประเภทสินค้าที่ขายดี ๔ อันดับ ได้แก่ ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม อุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะและอื่น ๆ และจากการสุ่มสำรวจประชาชนที่เข้ามาซื้อสินค้า ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า สินค้าที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพ เช่น น้ำตาล ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช อาหารกึ่งสำเร็จรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น มีราคาถูกมากและถูกกว่าท้องตลาด ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๕๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๔๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๗๘๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖๑ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยมีบริษัท สหรัตนนคร จำกัด เป็นผู้บริหารฟื้นฟูฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๖ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๘๐ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม นวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๓๕ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๘๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30618 | ขออนุมัติเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 5 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 2 | กต | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ และร่างแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ โดยร่างแถลงการณ์ฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารระบุโครงการที่ญี่ปุ่นกับประเทศลุ่มน้ำโขงจะดำเนินการร่วมกันใน ๓ เสาหลักของความร่วมมือที่ระบุในยุทธศาสตร์กรุงโตเกียวเพื่อกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ได้แก่ เสาหลักที่ ๑ การเสริมสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เสาหลักที่ ๒ การพัฒนาไปพร้อมกัน และเสาหลักที่ ๓ การสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงของมนุษย์และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ๒. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ของประธานร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกสารผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๒ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกที่จะร่วมมือกันใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการพัฒนาชนบท และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งไทยรับเป็นประเทศผู้ประสานงานสาขาการเกษตรและการพัฒนาชนบท ซึ่งจะมีการดำเนินโครงการนำร่องหลายโครงการที่ประเทศสมาชิกได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เบื้องต้นแล้ว เช่น การตั้งสถาบันเกี่ยวกับการขนส่ง การทำโครงการร่วมระหว่างคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับ Korea Water Resources Corporation เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดทำโครงการร่วมกับสถาบันลุ่มน้ำโขงเกี่ยวกับการเจรจาการค้าในบริบทของการบูรณาการอาเซียนและการสร้างศักยภาพด้านโลจิสติกส์ ๒.๒ ระบุถึงแนวทางความร่วมมือและการดำเนินการในระยะยาว เช่น การจัดเวทีหารือภาคธุรกิจลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-ROK Business Forum) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การจัดทำแผนปฏิบัติการลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งมีกำหนดจะประกาศในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ การกำหนดปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และการตั้งกองทุนความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลีแยกต่างหากจากการให้ความช่วยเหลือของสาธารณรัฐเกาหลีที่มีอยู่แล้ว ๒.๓ ระบุถึงการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นของภูมิภาคและของโลกที่เป็นปัญหาร่วมกัน เช่น ภัยธรรมชาติ และความมั่นคงทางอาหาร ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30619 | ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีและแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข | สธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๗ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข) และให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จำนวน ๗ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ๒. ศาสตราจารย์ชัยเวช นุชประยูร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและบำบัดโรคมะเร็ง ศูนย์วิจัยจุฬาภรณ์ ๓. นายประยูร กุนาศล อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ ๔. ศาสตราจารย์อมร ลีลารัศมี ศาสตราจารย์ระดับ ๑๑ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ๕. นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการ ก.พ. ๖. นายนิพนธ์ ฮะกีมี รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๗. นางสาวรพีสุภา หวังเจริญรุ่ง นักวิจัยอาวุโส ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 30620 | เร่งรัดการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง) ที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงที่จะต้องดำเนินการในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะโครงการที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน (Flagship) ลงพื้นที่เพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ รวมทั้งให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบติดตามการปฏิบัติราชการในแต่ละจังหวัดลงพื้นที่เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ประสานการดำเนินงานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานและสายการบังคับบัญชาของศูนย์บัญชาการ (command center) ให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของ กบอ. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รวมทั้งกับข้อมูลการพยากรณ์อากาศของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย ๓. โดยที่นายกรัฐมนตรีจะจัดการประชุมเพื่อกำกับติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยทุกสัปดาห์ จึงขอให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ในกรณีที่ท่านใดไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ให้พิจารณามอบหมายผู้ที่สามารถตัดสินใจและชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เป็นผู้เข้าร่วมประชุมแทน ๔. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เร่งรัดการดำเนินการจัดทำประกาศเชิญชวนและขอบเขตงาน (TOR) ของการดำเนินโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการจัดการประชุมชี้แจงผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสถานทูตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญนำเสนอแผนงานโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศ เพื่อที่รัฐบาลจะได้พิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพดีที่สุดมาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
