ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 25 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 486 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | การจัดทำคู่มือการดำเนินการค้าแบบแลกเปลี่ยน (Barter Trade) | 27/09/2548 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับการจัด
ทำคู่มือการดำเนินการค้าแบบแลกเปลี่ยน (Barter Trade) โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปหารือกับรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ในฐานะประธานคณะกรรมการการค้าแบบแลก เปลี่ยน (Barter Trade) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานในเรื่องนี้ เพื่อให้มีหลักเกณฑ์และ แนวปฏิบัติที่เป็นระบบ เหมาะสม ชัดจน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | การติตดามผลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรณีพิบัติของจังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต | นร | 06/09/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปผลการติดตาม
การช่วยเหลือ และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบธรณีพิบัติภัย ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ใน จังหวัดภูเก็ต พังงา และกระบี่ โดยในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวมีพื้นที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด 14 อำเภอ 55 ตำบล 217 หมู่บ้าน ราษฎรและครัวเรือนได้รับความเสียหาย 57,917 คน 13,812 ครัวเรือน มีผู้เสีย ชีวิตทั้งหมด 5,226 คน บาดเจ็บ 11,279 คน และสูญหาย 2,914 คน ในส่วนของการป้องกันและอพยพ หนีภัยสึนามิ จังหวัดภูเก็ต ได้ซ้อมแผนอพยพที่หาดป่าตอง อำเภอกระทู้ไปแล้ว 1 ครั้ง โดยมีแนวปฏิบัติใน การซ้อมแผนอพยพปีละ 2 ครั้ง ได้ติดตั้งหอเตือนภัยแล้ว 3 จุดที่หาดป่าตอง รวมทั้งได้มอบหมายให้อำเภอ และท้องถิ่นทำแผนอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย กรณีเกิดภัย จังหวัดพังงา มีแผนที่จัดทำหอสัญญาณ เตือนภัย 20 จุด โดยศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ส่วนจังหวัดกระบี่ ได้จัดสรรงบยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดในการก่อสร้างหอเตือนภัยขนาดใหญ่ 6 หอ ขนาดเล็ก 13 หอ จัดให้มีไซเรนเตือนภัยอีก 35 แห่ง มีแผนซ้อมอพยพปีละ 3 ครั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 3 จังหวัด ได้ขอให้ส่วนกลางช่วยสนับสนุนเร่งรัดการดำเนิน การโครงการต่าง ๆ โดยโครงการที่ควรเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว ได้แก่ การก่อสร้างท่าเทียบเรือที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ การก่อสร้างปรับปรุงถนนที่บริเวณเขาหลักและการติดตั้งหอสัญญาณเตือนภัย ป้ายและเส้น ทางหนีภัยของทั้ง 3 จังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. .... (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย) | ศธ | 05/07/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3.1 (ฝ่ายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่าง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียน ในสถานศึกษา พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะ รัฐมนตรี คณะที่ 5 พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และเห็นชอบแนวปฏิบัติการจัดการศึกษาแก่ บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย โดยให้รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรม การกลั่นกรอง ฯ ไปดำเนินการดังนี้ เห็นควรอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่ออุดหนุนจัดการศึกษาแก่ นักเรียนนักศึกษาในความดูแลของสำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เป็นเงิน 6.5 ล้านบาท ไปก่อน โดยให้เบิกจ่ายตามจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่มีตัวเรียนจริงและเมื่อสำนักงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะ และสิทธิของบุคคล และสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มี สัญชาติไทยแล้วเสร็จ ให้กระทรวงศึกษาธิการรวบรวมเหตุผลและข้อเท็จจริงเพื่อทบทวนมาตรการอุด หนุนงบประมาณรายการนี้ต่อไป ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามยุทธ ศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะ และสิทธิของบุคคล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การกำหนดสถานะและยุทธศาสตร์การให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่บุคคล ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิให้สัมฤทธิ์ผลโดยด่วน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ของเด็กรับไปพิจารณาดำเนินการออกระเบียบให้สอดคล้องกับร่างระเบียบ ฯ รวมทั้งให้หน่วยงานฝึก อาชีพของทุกส่วนราชการยอมรับหลักฐานทางการศึกษาที่ออกให้แก่เด็กตามร่างระเบียบ ฯ นอก จากนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาที่ไม่หลักฐานทางทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย ให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 2 เดือน และให้กระทรวงกลาโหมสำรวจสถานศึกษา ที่ตั้งในหน่วยที่มีข้อจำกัดด้านการรักษาความปลอดภัย และมีผลกระทบต่อความมั่นคงเพื่อประสาน งานกับกระทรวงศึกษาธิการในการจัดนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | เอกสารคำชี้แจงของสำนักจุฬาราชมนตรี | นร | 19/04/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สำนักจุฬาราชมนตรีได้จัดทำเอกสารคำชี้แจง
เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามไว้เป็นจำนวนมาก หากได้นำข้อมูลดังกล่าวมาศึกษา และใช้ ประโยชน์ในการกำหนดกฎเกณฑ์ ปรับปรุงแก้ไขแนวปฏิบัติ หรือการดำเนินการใด ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องของ เจ้าหน้าที่และหน่วยงานภาครัฐได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง และมีความเข้าใจในหลักปฏิบัติทางศาสนาที่แตก ต่างกันอย่างถูกต้อง จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศความปรองดองและความสมานฉันท์ระหว่างกันได้อย่างดี จึง ขอมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) นำข้อมูลในเรื่องนี้ไปหารือร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนด แนวทางการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ที่ชัดเจน เหมาะสม แล้วดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปีงบประมาณ 2548 (1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2547) | สธ | 12/04/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับสรุปผลการดำเนินงานการ
สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2547 ประชา ชนไทยมีหลักประกันสุขภาพ รวมทั้งสิ้น 59.83 ล้านคน แยกเป็น ผู้มีสิทธิหลักประกันในระบบหลักประกันสุข ภาพถ้วนหน้า 47.07 ล้านคน สิทธิประกันสังคม 8.32 ล้านคน สิทธิสวัสดิการข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ 4.28 ล้านคน มีหน่วยบริการสังกัดต่าง ๆ เป็นหน่วยบริการประจำทั้งสิ้น 1,104 แห่ง และจากการสำรวจความคิด เห็นประชาชนเกี่ยวกับงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ร้อยละ 85.2 มีความพึงพอใจต่อการรักษา การ บริการของสถานพยาบาล ร้อยละ 75.1 มีความสะดวกในการเลือกใช้บริการสถานพยาบาลเพิ่มมากขึ้นเมื่อรัฐ ขยายให้โรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมในโครงการ ฯ และร้อยละ 74.9 คุณภาพชีวิตทางด้านสุขภาพดีขึ้น ในการ นี้กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการส่งเสริมคุณภาพมาตรฐานหน่วยบริการปฐมภูมิสู่ความเป็นเลิศ (PCU ในฝัน) เพื่อกระตุ้น และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของบุคลากรในศูนย์สุขภาพชุมชนให้เกิดการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง และดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์สุขภาพชุมชน (ศสช) เพื่อยกระดับมาตรฐานสถานีอนามัย สู่การเป็น ศูนย์สุขภาพชุมชนคุณภาพต้นแบบ ตลอดจนเร่งรัดพัฒนาแนวปฏิบัติการให้บริการสาธารณสุข และให้บริการ ตอบคำถามและรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนทางสายด่วน 1330 โดยสามารถให้บริการตอบคำถามรับเรื่อง ร้องเรียนในรอบ 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวน 190,948 เรื่อง ในจำนวนเรื่องร้องเรียนทั้ง หมดสามารถดำเนินการแก้ไขแล้วเสร็จ จำนวน 7,101 เรื่อง นอกจากนี้ ได้เตรียมการสำหรับการดำเนินการใน ช่วงไตรมาสต่อ ๆ ไป เช่น การจัดตั้งศูนย์บริการงานทะเบียนครบวงจรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การจัดโครง การสร้างเสริมสุขภาพ "สามวัยห่างไกลโรค" การเตรียมการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต้านไวรัสเอชไอวี การหาพื้นที่ นำร่องล้างไตวายเรื้อรัง การปรับระบบการเงินสำหรับโครงการ 30 บาท ให้มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะ ยาว โดยการใช้เงินจาก "ภาษีบาป" เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | การเตรียมการรักษาความปลอดภัยอาคารสถานที่ต่างๆ | นร | 05/04/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์วางระเบิดที่อำเภอเมือง
สงขลาและอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2548 ทำให้ประชาชนสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนทรัพย์สินของทางราชการและเอกชนได้รับความเสียหายเป็นอันมาก แม้ว่ารัฐบาลจะได้เร่งดำเนินการ ด้านต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่กลุ่มคนที่ก่อเหตุดังกล่าว ก็ยังคงที่จะลอบก่อเหตุร้าย จึงให้ดำเนินการดังนี้ (1) ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งถือปฏิบัติ และบังคับใช้กฎหมาย กฎ และระเบียบต่าง ๆ (law enforcement) อย่างถูกต้อง เคร่งครัด และจริงจัง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย (2) ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณ สถิตย์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับไปประสานสั่งการให้สถานที่ราชการ และหน่วยงานของรัฐทุก แห่งที่ไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ จัดให้มีห้องควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยที่มีโทรทัศน์วงจร ปิดควบคุมตรวจตราเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสถานที่ได้อย่างชัดเจนและทั่วถึง หากตรวจพบสิ่งผิดปกติต้องสามารถ ติดต่อสื่อสารกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อเข้าตรวจสอบได้ทันที ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดย เร็วที่สุด โดยอนุมัติในหลักการให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีกรณีพิเศษได้ตามความจำเป็น (3) ให้กระทรวงมหาดไทยขอความร่วมมือภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของ หรือผู้ประกอบการในสถานที่ที่มีความเสี่ยง และอ่อนไหวต่อการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ เช่น ห้างสรรพสินค้าและโรงภาพยนตร์ เป็นต้น ดำเนินการให้ มีระบบรักษาความปลอดภัย โดยในส่วนภูมิภาคให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งประสานและขอความร่วมมือจากภาค เอกชนเพื่อดำเนินการดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว (4) ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) รับ ไปพิจารณาร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณากำหนดหรือปรับปรุงแนวทางมาตรการ ตลอดจนกฎ ระเบียบในการควบคุม ดูแล และตรวจสอบการนำเข้า ครอบครอง และการนำไปใช้ซึ่งสารและวัสดุอุปกรณ์ที่ สามารถนำไปประกอบเป็นวัตถุระเบิด ให้เหมาะสม รัดกุม แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว (5) ให้กระทรวง กลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการพกพาอาวุธ และประ เภทอาวุธประจำตัวของทหาร และตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตชุมชนให้เหมาะสม (6) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบดูแลการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ สิทธิประ โยชน์ทั้งแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับความเดือดร้อน บาดเจ็บ และเสียชีวิต จากเหตุการณ์ความไม่ สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยประสานหารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) (7) ให้รัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบ และประสานงานในการจัด ระบบ และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั้งในและต่าง ประเทศในเชิงรุก โดยให้หน่วยงานด้านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐให้การสนับสนุน โดยประสานหารือรอง นายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์) และ (8) ให้รัฐมนตรีทุกท่านกำชับให้ข้าราชการและเจ้า หน้าที่ของรัฐถือปฏิบัติเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารแก่สื่อมวลชนให้ถูกต้องตามระเบียบ และข้อบังคับเกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนกลาง ผู้ให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลข่าวสาร ต่อสื่อมวลชนได้ควรเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงในระดับหัวหน้าส่วนราชการเท่านั้น ส่วนในภูมิภาค ให้ถือเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณา แนวปฏิบัติในการให้สัมภาษณ์ และให้ข่าวสารกรณีเกิดเหตุการณ์สำคัญ หรือภาวะวิกฤติ แล้วแจ้งให้ส่วนราช การและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | เรื่องที่เป็นการมอบอำนาจตามแนวปฏิบัติเดิม | นร | 15/03/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นการมอบอำนาจตามแนวปฏิบัติเดิม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะ
รัฐมนตรีเสนอ โดยเห็นชอบให้คงถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเดิม รวม 2 มติ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2520 เรื่อง ให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบ หรืออนุมัติเรื่อง ต่าง ๆ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2547 เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอใช้เงินงบกลาง ราย การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี รวม 4 มติ คือ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการมอบอำนาจของ คณะรัฐมนตรี มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2538 เรื่อง มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระจาย ความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น (เฉพาะเรื่องขั้นตอนการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายกระจายความ เจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เรื่อง มติคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ครั้งที่ กพอ.1/2538 และ กอพ.2/2538 (เฉพาะข้อ 3) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2542 เรื่อง มติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ ครั้งที่ กศร.1/2541 (เฉพาะข้อ 1) ทั้งนี้ มอบให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปว่า มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะ กรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก และคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ เรื่องใดสมควรจะอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2520 แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ หรือจะสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | แนวปฏิบัติและดำเนินการในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548) | นร | 25/01/2548 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวปฏิบัติและการดำเนินการในการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 โดยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมดวางตัว เป็นกลาง และปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเหมาะสม อย่างเคร่งครัด และให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) สั่งการให้หน่วยงานด้านสื่อต่าง ๆ ของรัฐทั้งสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เผยแพร่ข่าวสารการเลือกตั้งให้ต่อเนื่องและทั่วถึง รวมทั้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสั่งการให้หน่วย งานด้านวิทยุและโทรทัศน์ของฝ่ายทหารทั้งหมดประชาสัมพันธ์ข่าวสารการเลือกตั้งเพื่อเชิญชวนประชาชนให้ มาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานคณะกรรมการการเลือกตั้งว่ารัฐบาล ยินดีที่จะสนับสนุนการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการจัดการเลือกตั้ง หากมีเรื่องใดที่คณะ กรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า จำเป็นจะต้องขอการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านงบประมาณ บุคลากร การ ใช้สถานที่ หรือการใช้สื่อของรัฐทุกประเภทในการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความ เรียบร้อย บริสุทธ์ และยุติธรรม รัฐบาลยินดีสนับสนุนเต็มที่
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ | 07/12/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามความเห็นของกระทรวงการคลังให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดำเนิน
การเช่ารถยนต์ไว้ใช้ในการปฏิบัติราชการ โดยให้เบิกจ่ายค่าเช่ารถจากเงินงบประมาณ งบดำเนินงานของสำนัก งาน ฯ ที่ได้รับจัดสรร และให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามสัญญาเช่ารถ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 -2552 ดังนี้ รถประจำตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ จำนวน 2 คัน ในอัตราค่าเช่า 74,900 บาทต่อคันต่อเดือน รถประจำตำแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 1 คัน ใน อัตราค่าเช่า 50,600 บาทต่อคันต่อเดือน รถประจำตำแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้ตรวจราชการ กระทรวง ฯ จำนวน 16 คัน ในอัตราค่าเช่าไม่เกิน 35,500 บาทต่อคันต่อเดือน รถตู้โดยสารส่วนกลาง จำนวน 7 คัน ในอัตราค่าเช่าไม่เกิน 25,000 บาทต่อคันต่อเดือน ทั้งนี้ วงเงินงบประมาณเพื่อใช้เป็นค่าเช่ารถยนต์ในปี งบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2548 (10 เดือน) เป็นเงิน 9,434,000 บาท และให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549- 2552 (48 เดือน) เป็นเงิน 45,283,200 บาท รวม 58 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 54,717,200 บาท และให้สำนัก งาน ฯ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 19 คัน และรถตู้โดย สารส่วนกลาง จำนวน 7 คัน รวม 26 คัน เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-2552 ในวงเงิน 57,834,000 บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณปี พ.ศ. 2548 ของสำนักงาน ฯ แผนงานสนับสนุนการพัฒนา ระบบสุขภาพ งานพัฒนาระบบบริหารวิชาการ งบดำเนินงาน จำนวน 11,566,800 บาท ส่วนที่เหลือผูกพัน งบประมาณปี พ.ศ. 2549-2552 อีกจำนวน 46,267,200 บาท ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ฯ ดำเนินการจำหน่าย รถยนต์/รถตู้โดยสารคันเดิมที่ทดแทนด้วยการเช่าดังกล่าว แล้วให้นำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ตาม ความเห็นของสำนักงบประมาณ ในการนี้คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการของหน่วย งานต่างของรัฐ มีหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน จึงขอให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชี กลาง) รับไปจัดทำแนวทางดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การเช่ารถ ยนต์มาใช้ในราชการ ให้ละเอียดชัดเจน เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ถือปฏิบัติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาการจัดการศึกษาตามรัฐธรรมนูญ ฯ กรณีการจัดเก็บค่าใช้จ่ายทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน | นร | 02/11/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการกรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ เรื่อง ปัญหาการจัดการศึกษาตามรัฐธรรมนูญ ฯ กรณีการจัดเก็บค่าใช้จ่าย ทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาทิ ข้อเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการทบทวนคำสั่ง เรื่อง การเก็บค่าใช้จ่ายในสถาน ศึกษาขั้นพื้นฐานของค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมเสริมพิเศษเพิ่มเติม กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดแนวปฏิบัติ ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มเติมไว้ชัดเจนแล้ว จึงเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนคำสั่งดังกล่าว แต่ ควรกำหนดมาตรการที่จะดูแลนักเรียนที่ยากจนและมีปัญหาในการชำระเงินมากกว่า และข้อเสนอที่ให้เร่งรัดแก้ ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานให้สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ฯ นั้น ในการดำเนินการดังกล่าวจะต้องระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ ให้มีความเป็นธรรมและเกิดประสิทธิภาพ รวม ทั้งให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินและการคลังของภาครัฐโดยควรให้ผู้เรียนที่มีฐานะดีมีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่าย เพื่อรับบริการการศึกษาตามความต้องการ ส่วนผู้เรียนที่มีฐานะยากจน รัฐต้องสนับสนุนค่าใช้จ่ายในรูปแบบ ต่าง ๆ เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงบริการการศึกษา โดยไม่มีข้อจำกัดอันเนื่องมาจากความยากจนและความเสียเปรียบ ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยอาจพิจารณาแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฯ และพระราชบัญญัติการ ศึกษาแห่งชาติในบางมาตรา เช่น มาตรา 14(2) และ (3) มาตรา 60 และมาตรา 61 เพื่อให้มีความชัดเจน ในทางปฏิบัติ เป็นต้น ทั้งนี้ ควรปรับให้สอดคล้องกับความเห็นเพิ่มเติมตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | การซักซ้อมแนวปฏิบัติการจัดงานนิทรรศการเพื่อแสดงผลงานของรัฐบาลในรอบ 4 ปี | นร | 02/11/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การซักซ้อมแนวปฏิบัติ
การจัดงานนิทรรศการเพื่อแสดงผลงานของรัฐบาลในรอบ 4 ปี "เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่ราก แก้ว" ซึ่งกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2547 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี ดังนี้ ให้กลุ่มการแสดงที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการแสดงของแต่ละกลุ่ม รวม ทั้งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและตรวจรับโดยให้กระทรวงที่อยู่ภายในกลุ่มการแสดงหารือตกลงเพื่อกำหนด สัดส่วนค่าใช้จ่าย สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างสามารถใช้วิธีพิเศษตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไปแล้ว และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 ในส่วนของค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหารทำการ นอกเวลา ค่าล่วงเวลา และสวัสดิการต่าง ๆ ของข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการจัดนิทรรศการ ให้เบิกจ่าย จากส่วนราชการต้นสังกัด นอกจากนี้ ให้รัฐมนตรีทุกท่านให้ความสำคัญและกำชับให้ข้าราชการในสังกัด ปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง พร้อมเพรียง และให้กระทรวงการต่างประเทศเชิญ และนำคณะทูตานุทูตจาก สถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยเข้าชมงานนิทรรศการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2547 (1 ตุลาคม 2546 - 30 มิถุนายน 2547) | สธ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2546-30 มิถุนายน 2547 ซึ่งมีผลการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้ จำนวนผู้ขึ้นทะเบียนสิทธิ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ เดือนมิถุนายน 2547 มีจำนวน 59.57 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรผู้ขึ้น ทะเบียนสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า จำนวน 47.02 ล้านคน และประชาชนที่ยังไม่มีหลักประกันสุขภาพ ใด ๆ จำนวน 3.3 ล้านคน จำนวนหน่วยบริการและเครือข่ายการให้บริการทางการแพทย์ทั้งของรัฐและเอกชน มีทั้งสิ้น 1,132 แห่ง จำนวนการรับเรื่องร้องเรียน มีทั้งสิ้น 7,116 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยว กับการมีสิทธิไม่ตรงตามจริง เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการลงทะเบียนและออกบัตร เป็นต้น จำนวนการให้ บริการตอบคำถามเกี่ยวกับงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีทั้งสิ้น 336,831 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็น คำถามเกี่ยวกับการทำบัตรประกันสุขภาพ และวิธีการใช้บริการตามสิทธิบัตรทอง เป็นต้น ในด้านความพึง พอใจของประชาชนต่องานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี พ.ศ. 2547 ประกอบด้วย ความพอพึงใจ ต่อการบริการของแพทย์ ร้อยละ 92.9 การบริการของพยาบาล ร้อยละ 91.2 การบริการของเจ้าหน้าที่ อื่น ๆ ร้อยละ 91.9 คุณภาพยา ร้อยละ 86.6 และคุณภาพของเครื่องมือ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ ร้อยละ 90.4 สำหรับผลการดำเนินงานในด้านการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการกรณีได้รับความเสียหาย จากการรักษาพยาบาล มาตรา 41 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2547 ได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ ผู้รับบริการไปแล้วทั้งสิ้น 40 ราย เป็นจำนวนเงิน 2,333,000 บาท จากผู้ยื่นขอรับเงินช่วยเหลือ ฯ ทั้งสิ้น 56 ราย ด้านการให้ความช่วยเหลือผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ตั้งแต่ ตุลาคม 2546 ถึง มิถุนายน 2547 ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 4 ราย รวมเป็นเงิน 115,000 บาท นอก จากนี้ ยังมีผลการดำเนินงานสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยได้ดำเนินการสร้างเครือข่ายองค์ กรภาคประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ กลุ่มผู้บริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง และกลุ่มที่สังคมควร ช่วยเหลือเกื้อกูล การพัฒนาระบบการลงทะเบียนผู้มีสิทธิโดยการเลือกหน่วยบริการโดยสมัครใจ ได้ขยาย หน่วยบริการปฐมภูมิให้ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพ ฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกหน่วยบริการสุขภาพให้แก่ประชา ชนผู้มีสิทธิ การส่งเสริมการให้บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาหน่วยบริการตติยภูมิเฉพาะด้าน โครงการส่งเสริมคุณภาพบริการปฐมภูมิสู่ความเป็นเลิศ (PCU ในฝัน) และการพัฒนาแนวปฏิบัติการให้บริการสาธารณสุข (Health Service Practice Guideline : HSPG) การพัฒนางานสร้างหลักประกันสุขภาพที่สำคัญ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 อาทิ การจัดตั้ง สำนักงานสาขาภูมิภาค การพัฒนาสำนักงานสาขาต้นแบบ ฯลฯ และการบริการส่งเสริมสุขภาพและป้อง กันโรคนอกหน่วยบริการในพื้นที่กรุงเทพ โดยเปิดโอกาสให้หน่วยบริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งรัฐและเอกชนร่วมให้บริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชาชนในเขตกรุงเทพ ฯ บริการแก่ ประชาชนทุกคน ทุกสิทธิ โดยการสำรวจภาวะสุขภาพประชาชนที่บ้าน การค้นหาและให้บริการผู้ป่วย อัมพาตพิการเรื้อรัง การให้คำปรึกษาและส่งเสริมสุขภาพในสตรีตั้งครรภ์ เด็ก ผู้สูงอายุ และประชาชน ทั่ว ๆ ไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ | นร | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29
พฤศจิกายน 2546 เห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งถือปฏิบัติว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป ให้รับหรือขอรับการช่วยเหลือทางการเงิน ตลอดจนความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ จาก ต่างประเทศได้เฉพาะความช่วยเหลือที่ไม่มีเงื่อนไข ข้อผูกพัน หรือพันธกรณีที่จะทำให้ประเทศไทยขาดสิทธิ ในการเจรจาต่อรองในฐานะคู่สัญญาที่เท่าเทียมกัน หรือให้กู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศได้เฉพาะกรณีที่ สัญญามีเงื่อนไขเป็นการกู้ยืมในการดำเนินธุรกิจทั่วไป (commercial purpose) และไม่มีเงื่อนไข ข้อผูกพัน หรือพันธกรณีที่จะทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบ เช่น การกู้ยืมเงินของรัฐวิสาหกิจมาใช้ในการลงทุนยก เว้นการให้การช่วยเหลือในลักษณะที่เกิดประโยชน์แก่ภูมิภาค และมิได้ผูกพันกับประเทศไทยโดยตรง รวมทั้ง การให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ นั้น โดยที่ยังมีการรับ/ขอรับความช่วยเหลือจากต่าง ประเทศในกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินค่าใช้จ่าย ไม่สูงมากนัก ซึ่งอาจขออนุมัติใช้งบประมาณประจำปีปกติในการดำเนินการแทนการขอรับความช่วยเหลือ จากต่างประเทศได้ จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดหากจำเป็นจะต้องรับหรือขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นกรณี ๆ ก่อนการดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | รายงานการจัดกิจกรรมการปฏิรูปการศึกษายุคใหม่ | ศธ | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการจัดกิจกรรมการปฏิรูปการศึกษา
ยุคใหม่ (Beyond Educational Reform) เนื่องในวาระครบรอบ 1 ปีของการปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิ การองค์กรหลักทั้ง 5 ของกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน สภาการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดม ศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ระหว่างวันที่ 17-18 กรกฎาคม 2547 ณ ศูนย์ประชุม แห่งชาติสิริกิติ์ โดยกิจกรรมภายในงานดังกล่าวประกอบด้วยการอภิปรายเกี่ยวกับการนำนโยบายการปฏิรูป การศึกษาสู่แนวปฏิบัติ การจัดกิจกรรมเปิดประตูสู่สถานศึกษา (Open House) ทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่าง จังหวัดของสถานศึกษาทุกสังกัดกว่า 5,000 แห่ง ทั้งนี้ ผลการจัดงานได้รับความสำเร็จ มีผู้ให้ความสนใจมา ร่วมกิจกรรมกว่า 3 ล้านคน ประชาชน ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการ ปฏิรูปการศึกษา แนวทางในการพัฒนาให้เกิดผลในทางปฏิบัติมากขึ้น และความสามารถในการพัฒนาคุณ ภาพและมาตรฐานการศึกษาให้ทัดเทียมกับสากลเพื่อการแข่งขัน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | การแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐ จังหวัดกาญจนบุรี | นร | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรับทราบและอนุมัติใน
หลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะ ความยากจนแห่งชาติ เสนอให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตาม โครงการของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ (ศตจ.) และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดย ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปเป็นแนวปฏิบัติด้วยดังนี้ ขั้น ตอนการพิสูจน์สิทธิ์การครอบครองที่ดินเมื่อสำนักงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐประจำจังหวัด (กบร. จังหวัด) พิจารณาเป็นประการใดแล้ว ให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ ดินของรัฐ (กบร.) และส่วนราชการที่รับผิดชอบที่ดินและส่วนราชการที่ใช้ประโยชน์พิจารณาในขั้นสุดท้ายเพื่อ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และเพื่อ ให้การดำเนินการในขั้นตอนการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มอบให้คณะเจ้าหน้าที่ หรือแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 ข้อ 8(7) เพื่อทำหน้าที่อ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศเป็นการเฉพาะ และดำเนินการเฉพาะจังหวัด กาญจนบุรีเพียงจังหวัดเดียว และเพื่อให้ขั้นตอนการออกโฉนดเป็นไปด้วยความรวดเร็ว กรณีการพิสูจน์สิทธิ์ การครอบครองที่ดินของรัฐของ กบร. เสร็จสิ้นแล้ว ควรพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นในการออกกฎ หมายกลางเพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามขั้นตอนหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายเฉพาะอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นปัญหา และอุปสรรคให้เกิดความล่าช้า ติดขัด ในการออกโฉนดด้วย นอกจากนี้ อนุมัติในหลักการงบประมาณ 134,026,709 บาท จากกรอบวงเงินของ ศตจ. จำนวน 7,009,706,400 บาท ซึ่งจะได้ขอจัดสรรเพิ่มเติม จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักย ภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป ส่วนงบประมาณในส่วนของกรมพัฒนาที่ดิน จำนวน 14,240,000 บาท ซึ่งมิได้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกรอบวงเงิน 7,009,706,400 บาท ให้กรมพัฒนาที่ดิน เสนอโครงการให้ ศตจ. พิจารณาก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | การจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2548 | กก | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอว่า ตามที่
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2547 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ชะลอการลงนาม ในสัญญา Host City Contract ออกไปก่อน จนกว่าจะมีการตกลงเงื่อนไขด้านสิทธิประโยชน์และจัดทำข้อตกลง Marketing Programme เสร็จสิ้น นั้น ประเด็นความเห็นดังกล่าว ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0201/11522 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2547 ข้อ (1)-(4) เป็นอำนาจและสิทธิของคณะกรรมการบริหารโอลิม ปิคแห่งเอเชีย (OCA) ที่ได้ระบุไว้ในข้อบังคับข้อที่ 1 ของธรรมนูญของ OCA ข้อที่ 42 และนำมากำหนดไว้ใน สัญญา Host City Contract ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นสากล (international practice) ที่ประเทศเจ้าภาพจัด การแข่งขันจะต้องถือปฏิบัติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีการประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง ในฐานะ ที่ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายการเงินและสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการจัดการ แข่งขันเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 1 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติสรุปได้ว่า กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่สัญญา Host City Contract เป็นไปตามที่กำหนดไว้ สำหรับประเด็นความเห็นของกระทรวงการคลังข้อ (5) เนื่องจากไม่ อยู่ภายใต้ข้อบังคับของธรรมนูญ OCA จึงสมควรให้มีการเจรจาต่อรองกับ OCA ต่อไปได้ และเห็นชอบตามที่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอร่างสัญญา Host City Contract for1st Asian Indoor Games 2005 เพื่อ จะได้ลงนามในสัญญาได้ทันตามกำหนดภายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2547 ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่ได้อยู่ในธรรมนูญ ข้อบังคับ ฯ จะได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายการเงินและสิทธิ ประโยชน์ เจรจากับ OCA เกี่ยวกับด้านสิทธิประโยชน์จากการจัดการแข่งขัน โดยให้รับความเห็นของกระทรวง การคลัง ไปดำเนินการเจรจาต่อรองกับ OCA ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการแข่ง ขันกีฬา ฯ ดังนี้ สัญญา Host City Contract เป็นสัญญาที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 1 (BAIGOC) เป็นฝ่ายเสียเปรียบทางกฎหมาย ซึ่งหากได้มีการลงนามในสัญญาก่อน โดยไม่ได้ตกลง เงื่อนไขด้านสิทธิประโยชน์ และจัดทำข้อตกลง Marketing Programme ให้เสร็จสิ้นก่อน ก็ย่อมเป็นการยากที่จะ ไปแก้ไขเรื่องสิทธิประโยชน์ภายหลัง และการเจรจาย่อมกระทำได้โดยยาก จึงเห็นควรชะลอการลงนามออกไป จนกว่าจะมีการตกลงเงื่อนไขด้านสิทธิประโยชน์และจัดทำข้อตกลง (Marketing Programme) ให้เสร็จสิ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | นายประสาน ยุวานนท์ ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ซึ่งซ้อนทับพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม เพื่อทำเหมืองแร่ ท้องที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา | อก | 18/05/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ (ซ้อนทับพื้นที่ป่า เพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม) เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่ 9/2545 ของนายประสาน ยุวานนท์ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้นายประสาน ฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไขมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม แห่งชาติในคราวประชุมครั้งที่ 1/2547 วันที่ 8 มกราคม 2547 อย่างเคร่งครัด ดังนี้ กำหนดให้พื้นที่บริเวณ ด้านทิศเหนือของคำขอประทานบัตรซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เปิดการทำเหมือง เนื้อที่ 36 ไร่ ให้เป็นพื้นที่เว้นการ ทำเหมือง (Buffer Zone) เพื่อป้องกันผลกระทบทางด้านทัศนียภาพจากแนวทางหลวงหมายเลข 2 (ถนน มิตรภาพ) และให้ผู้ประกอบการเร่งดำเนินการปรับปรุงเส้นทางขนส่งแร่ จากพื้นที่คำขอประทานบัตรไปยัง โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของ บริษัท สามัคคีซีเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องทันทีหลังจากได้รับการ อนุญาตประทานบัตร เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นละออง รวมทั้งให้คณะทำงานเฉพาะกิจ ฯ ซึ่งแต่งตั้งภาย ใต้คณะอนุกรรมการพิจารณารายงานการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อประกอบการขออนุมัติผ่อนผันการใช้ ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เพื่อการทำเหมืองแร่ ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตาม มาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินศักยภาพ ฯ และตามข้อคิด เห็นของคณะทำงาน ฯ โดยรายงานผลให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ทราบทุก 2 ปี ส่วนมาตรการ ฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแร่แล้ว โดยวิธีการปลูกป่าให้ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และเมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง แร่ ให้ผู้ประกอบการพัฒนาพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาตรความจุมากกว่า หรือเท่ากับปริมาณน้ำชั้นหินกัก เก็บได้ นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกต ตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ควรมีแนวปฏิบัติในการพิจารณาผ่อนผันการใช้พื้นที่ป่าไม้ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ให้มีความชัดเจนว่า ต้องมีลักษณะ พิเศษอย่างไรเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาผ่อนผันพื้นที่แปลงอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกันต่อไป และ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับทางเศรษฐกิจด้วย ส่วนการปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่ง ชาติ ขอให้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันปัญหาฝุ่นละอองและพื้นที่การทำเหมืองแร่ ถ้าหากพื้นที่ใดสามารถปลูกป่าได้ให้ดำเนินการทันที
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | ปัญหาการเบิกจ่ายค่าเบี้ยประชุมของกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค | นร | 07/04/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นของคณะกรรมการ
กฤษฎีกา (คณะที่ 6) ในปัญหาข้อกฎหมายเรื่อง ปัญหาการเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมของกรรมการการประปา ส่วนภูมิภาค กรณีที่อธิบดีกรมอนามัยมอบหมายให้ นายเชษฐพันธุ์ กาฬแก้ว ผู้อำนวยการสำนักอนามัยสิ่งแวด ล้อม กรมอนามัย เข้าร่วมประชุมแทน โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 6) เห็นว่า พระราชบัญญัติการ ประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ได้บัญญัติให้อธิบดีกรมอนามัยเป็นกรรมการการประปาส่วนภูมิ ภาคโดยตำแหน่ง ไม่มีถ้อยคำในกฎหมายระบุห้ามการมอบอำนาจไว้โดยชัดแจ้ง และพระราชบัญญัติดังกล่าวก็ ไม่ได้มีบทบัญญัติรับรอง กรณีบุคคลอื่นที่ไม่ใช่กรรมการการประปาส่วนภูมิภาคเข้ามาดำเนินการในการประชุม กรรมการ ฯ ประกอบกับหลักเกณฑ์การมอบอำนาจ ตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราช การแผ่นดิน พ.ศ. 2534 บัญญัติถึงตำแหน่งที่อธิบดีอาจมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนได้อันรวมถึงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองด้วย ดังนั้น กรณีนายเชษฐพันธุ์ ฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม ได้ เข้าประชุมแทนอธิบดีกรมอนามัยโดยมีหนังสือแต่งตั้งโดยถูกต้อง จึงถือว่า นายเชษฐพันธุ์ ฯ เป็นกรรมการการ ประปาส่วนภูมิภาค ในขณะที่ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย และอยู่ในข่ายที่จะได้รับเบี้ยประชุม สำหรับ การตอบข้อหารือเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยประชุมดังกล่าว ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาห กิจ เนื่องจากการประปาส่วนภูมิภาคเป็นรัฐวิสาหกิจ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาการตามกฎหมาย ดังนั้น การที่การประปาส่วนภูมิภาคได้ขอหารือเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเบี้ยประชุม กรรมการการประปาส่วนภูมิภาคต่อกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้สำนักงาน คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในกระทรวงการคลังตอบข้อหารือของการประปาส่วน ภูมิภาค การตอบข้อหารือของกระทรวงการคลังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบโดยถูกต้องแล้ว จึงสามารถ ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | กระทู้ถามที่ 1305 ร. เรื่อง ปัญหาของครูที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม | สผ | 02/03/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1305 ร. เรื่อง
ปัญหาครูที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ของนายระวัง เนตรโพธิ์แก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีมาตรการในการป้องกันมิให้มีกรณีครูมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้น ประกอบ ด้วย มาตรการป้องปราม โดยรวบรวมคำสั่ง ระเบียบและแนวปฏิบัติเดิม ๆ มาสังเคราะห์ปรับเปลี่ยนใหม่ ให้สามารถกำหนดใช้เป็นมาตรการป้องปราม และมาตรการปราบปราม จะใช้อำนาจการบังคับบัญชา โดยแจ้งให้ผู้บริหารทุกระดับทราบว่าหากมีเหตุที่ครูมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้ดำเนินการลงโทษที่เฉียบ ขาด รุนแรง รวดเร็ว ให้มีมาตรฐานที่รับได้ หากเป็นกรณีเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด จะถือว่าเป็นเรื่องของ ประสิทธิภาพในการสอดส่องดูแลผู้อยู่ในบังคับบัญชา กำหนดให้มีการนำมาเป็นเรื่องการดำเนินการทาง วินัยผู้บังคับบัญชาด้วย สำหรับการปลูกฝังจิตสำนึกให้ครูตระหนักในบทบาทและภาระหน้าที่ จริยธรรม จรรยาบรรณของครู มีหลักสูตรในการอบรมพัฒนาผู้บริหาร เช่น ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การ ศึกษา และรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งการพัฒนาอบรมผู้บริหารสถานศึกษาในการเข้าสู่ ตำแหน่งต่าง ๆ ส่วนการกำหนดมาตรการให้โรงเรียนต่าง ๆ เข้มงวดกับนักเรียนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะ สม นั้น รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมี แผนงาน/โครงการในการจัดกิจกรรมพัฒนาวินัยนักเรียน นักศึกษา ประกอบด้วย แผนงานที่ 1 แผนงาน พัฒนาความรู้ สติปัญญา แผนงานที่ 2 แผนงานพัฒนาฝีมือในการประกอบอาชีพ แผนงานที่ 3 แผนงาน เสริมสร้างจริยธรรม และศิลปะวัฒนธรรม แผนงานที่ 4 แผนงานด้านการให้คำปรึกษาแนะแนวในสถาน ศึกษา และแผนงานที่ 5 แผนงานพัฒนาสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ธรรมชาติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | การกำหนดวันเวลาเปิด - ปิด สถานบริการ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. 2509 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | นร | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ การกำหนดวัน เวลาเปิด-ปิดสถานบริการ โดยให้สถาน
บริการที่ตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (zoning) ที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานบริการอยู่ ก่อนวันที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาต ฯ ยังคงมีกำหนดเวลาเปิด-ปิด ตามที่กฎหมาย เดิมกำหนดไว้ เช่นเดียวกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาต ฯ หากยังคงได้รับอนุญาตจากพนัก งานเจ้าหน้าที่ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเวลาเปิดสถานบริการควรเปิดเวลา 18.00 นาฬิกา และ เวลาปิดสถานบริการควรปิดเวลา 24.00 นาฬิกา และให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการออกกฎกระทรวง ที่เกี่ยวข้องให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2547 ต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาอบายมุขและการจัดระเบียบกิจการอาบอบนวด รวมถึงกิจ การอื่น ๆ ที่มีการค้าประเวณีแอบแฝง (พ.อ.) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำเอกสารข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับสถานบริการแต่ละประเภท และแนวปฏิบัติสำหรับเป็นคู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้อง และเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้กับเจ้าของผู้ประกอบการ และผู้สนใจอื่น ๆ ได้ทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึงด้วย |