ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 4 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 74 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | รายงานความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง | อก | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕ ได้เกิดน้ำท่วมถนนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เนื่องจากมีฝนตกหนักเป็นเวลาติดต่อกันกว่า ๒ สัปดาห์ ทำให้น้ำในคลองรอบนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ได้แก่ คลองบึงบัว คลองลำแตงโม มีระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้เขื่อนดินที่มีอายุการใช้งานกว่า ๓๐ ปี เกิดยุ่ยตัวทำให้น้ำกัดเซาะมีความกว้างประมาณ ๓ เมตร เป็นเหตุให้น้ำไหลท่วมถนนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฯ ระดับความสูงประมาณ ๑๐-๒๐ เซนติเมตร แต่ไม่ได้เข้าท่วมในพื้นที่ของโรงงาน ๒. การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ๒.๑ ปิดต้นคลองลำแตงโมที่ต่อเชื่อมกับคลองบึงบัว โดยใช้เสาเข็มไม้ปักเป็น Sheet Pile พร้อม Big Bag กั้นน้ำทางตอนเหนือบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างคลองเพื่อกั้นน้ำไม่ให้เข้านิคมอุตสาหกรรม และซ่อมแซมแนวเขื่อนดินที่ยุ่ยตัวลงมาแล้วเสร็จ รวมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำพญานาคเพิ่มเติม จำนวน ๑๒ ชุด สามารถสูบน้ำประมาณ ๑๒,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เพื่อเร่งการลดระดับน้ำในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการระบายน้ำจนสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่เวลา ๐๓.๐๐ น. ของวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๒.๒ จัดให้มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงแนวทางการป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร และ กนอ. ร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการลดระดับน้ำในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ๒.๓ สั่งการให้นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เสี่ยงทุกแห่งดำเนินการตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อนและติดตามสถานการณ์น้ำและปริมาณฝนในเขตพื้นที่อย่างใกล้ชิด
|
||||||||||||||||||
42 | (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. 2555 - 2564) และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. 2555 - 2559) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เข้มแข็งและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สำหรับใช้ในการกำกับดูแล เฝ้าระวัง และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญของ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุขด้วยนาโนเทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยนาโนเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคนด้านนาโนเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ ๑.๒ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของมาตรการและกลไกการกำกับดูแลและบังคับใช้ และการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการออกฉลากผลิตภัณฑ์นาโน การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของประชาชน การรณรงค์ให้เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน โดยดำเนินการให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การวิจัย การผลิต การใช้ประโยชน์ จนถึงการกำจัดซากผลิตภัณฑ์และของเสียจากนาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การศึกษาวิจัยถึงผลกระทบและแนวทางการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้นาโนเทคโนโลยี การให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการจัดการมลพิษที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่ยุ่งยาก และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง การจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับสาระของมาตรการ และแก้ไขปัญหาการขาดกำลังคนที่ทำการวิจัยด้านความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี โดยจัดแบ่งระยะเวลาดำเนินการเป็นแต่ละช่วงที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนตัวชี้วัดเพื่อให้การดำเนินงานทั้งหมดบรรลุผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผนฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายตามกรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
43 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" | สสป | 24/04/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย ดินถล่ม หินถล่ม กรณีศึกษาภาคใต้" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงแรงงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และผู้แทนสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอสำหรับการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และปรับปรุงพัฒนาระบบเตือนภัยให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ๒. รัฐควรปรับปรุงวิธีการอนุมัติและสั่งจ่ายงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์ในการแก้ปัญหาอุทกภัยอย่างเร่งด่วนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่นั้น ๆ สามารถบูรณาการกิจกรรมต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. รัฐต้องบูรณาการเรื่องปรับปรุงและจัดทำผังเมือง โดยเน้นเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสม ๔. รัฐควรดำเนินการให้มีการบูรณาการแผนงานด้านการจัดการน้ำโดยมีการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นพื้นที่เป็นหลัก เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. รัฐควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจสั่งการ จัดตั้งศูนย์เตือนภัย กลุ่มอาสาสมัครเฝ้าระวังภัย สร้างเครือขายตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับประเทศ โดยการส่งเสริมให้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย อีกทั้งพัฒนาบุคลากรที่เป็นอาสาสมัครให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รัฐต้องป้องกันและแก้ไขไม่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ ป่าสงวน และพื้นที่เสี่ยงภัย ๗. รัฐควรมีมาตรการควบคุมการสัมปทานเหมืองแร่โดยเข้มงวด หรืองดการให้สัมปทานเพื่อใช้ประโยชน์ใด ๆ ในพื้นที่เสี่ยงภัย ๘. รัฐควรบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างเคร่งครัด ๙. รัฐควรส่งเสริมการปลูกป่าถาวร โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบำรุงรักษา
|
||||||||||||||||||
44 | นายกรัฐมนตรีนำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเข้าเฝ้าฯ | นร | 28/02/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีเรื่องสำคัญที่จะต้องเร่งรัดดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
๑. ปัญหาอุทกภัยมีสาเหตุสำคัญ คือ ความเสื่อมโทรมและการบุกรุกทำลายป่าไม้ โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สามารถเก็บกักน้ำตามแหล่งต้นน้ำลำธารตามธรรมชาติแล้วยังทำให้เกิดการกัดเซาะผิวดินและเกิดปัญหาดินโคลนถล่มด้วย จึงควรเร่งดำเนินการปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร โดยปลูกไม้ ๒ ประเภท ปลูกสลับกัน คือ ไม้เนื้ออ่อนที่โตเร็วแต่อาจจะยึดเกาะผิวดินได้น้อย และไม้เนื้อแข็งที่เป็นไม้มีคุณภาพและมีรากที่ลึกสามารถยึดเกาะผิวดินได้ดีกว่า ทั้งนี้ หากปลูกไม้แต่เพียงประเภทใดประเภทหนึ่งก็อาจจะไม่สามารถบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่จะฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำได้ ๒. ปัญหาการบริหารจัดการในการกักเก็บและระบายน้ำออกจากเขื่อนจะต้องบริหารจัดการบนพื้นฐานด้านข้อมูลทางวิชาการ โดยการปล่อยน้ำจะต้องปล่อยอย่างสม่ำเสมอ และต้องคำนึงถึงการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะแก่การเพาะปลูกของเกษตรกรและการใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาวะอากาศและภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ควรมีการทบทวนปริมาณน้ำที่ปล่อยออกจากเขื่อนหลักทุก ๆ เดือน ให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมและสามารถรองรับอุทกภัยได้ ๓. ปัญหาการระบายน้ำทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครที่จะต้องเร่งรัดแก้ไขอุปสรรคที่กีดขวางคูคลองที่จะระบายน้ำ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกที่จะใช้แก้มลิงบริเวณคลองสนามชัย/มหาชัยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยระบายน้ำในช่วงเวลาน้ำขึ้นและน้ำลงของระดับน้ำทะเล รวมทั้งปัญหาทางฝั่งตะวันออกที่มีโรงงานขนาดเล็กที่ก่อสร้างขึ้นในช่วงหลังและกีดขวางทางน้ำ ซึ่งอาจจะขยายการระบายน้ำในแนวลึก หรือใช้ท่อลอดเพื่อเร่งระบายน้ำไปสู่สถานีระบายน้ำชายทะเล เช่น สถานีระบายน้ำบริเวณใต้สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นต้น ๔. ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าในปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่แสวงประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ และละเลยในการแก้ไขฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าไม้ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||
45 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ การดำเนินการระยะที่ ๑ เป็นการระบายน้ำลงทะเล ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปัจจุบันการดำเนินการได้เสร็จสิ้นลงแล้วเนื่องจากสถานการณ์น้ำได้เข้าสู่ภาวะปกติสามารถไหลผ่านแม่น้ำและลำคลองได้ตามปกติ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๒๔,๔๘๗,๙๕๓ ลูกบาศก์เมตร ๑.๒ ศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๓ เครื่อง ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพุทธมณฑล ระบายน้ำจนแห้งแล้ว ๗๘ แห่ง เป็นปริมาณน้ำ ๒๑,๐๑๐,๕๓๔ ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันได้นำเครื่องสูบน้ำกลับแล้ว ๒๑๙ เครื่อง จำนวนเครื่องสูบน้ำที่มีการติดตั้งในจังหวัดนนทบุรีและนครปฐม จำนวน ๑๑๔ เครื่อง ได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๖๘ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๕๐๘,๐๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมมอบให้กรมอุตุนิยมวิทยาติดตามสถานการณ์ฝนและพายุอย่างต่อเนื่องเน้นการพยากรณ์ล่วงหน้า และให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้บริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม ๓. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้มีการนำเสนอปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำชี โดยเน้นการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นแก้มลิง ป้องกันน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และเสนอให้พิจารณาสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำชี เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำชี เช่น เขื่อนโปร่งขุนเพชร เขื่อนชีบน เขื่อนยางนาดี เขื่อนผาคะเฮ้า ๔. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป่าสักและสะแกกรัง และการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางการแก้ไขของจังหวัดนครสวรรค์ รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและเสนอแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการป้องกันภัยปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก และรายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง รวมทั้งการนำเสนอโครงการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ๕. การตรวจติดตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ซึ่งมีความเสียหายรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทรัพย์สินของประชาชน และของราชการเสียหายเป็นจำนวนมาก ๖. การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีหลายมิติได้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยขอให้ขุดลอกปรับปรุงคลองระบายน้ำให้ระบายลงทะเลได้มากขึ้น เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและพื้นที่รับน้ำในบริเวณต้นน้ำ และขอให้แก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำจากน้ำเสียชุมชน น้ำเสียอุตสาหกรรม และสารพิษปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||
46 | การแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัย | นร | 13/09/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบการลงพื้นที่ในแต่ละจังหวัดกำกับติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดในการกู้วิกฤตจากสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ ขอให้รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านพิจารณาลงพื้นที่ต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่ง ตามแต่จะเห็นสมควร ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปตรวจสอบพื้นที่ที่มีแนวโน้มประสบปัญหาอุทกภัยต่อเนื่องยาวนาน และพิจารณาแนวทางการจัดหาพื้นที่อยู่ใหม่ทดแทนให้แก่ราษฎรที่ประสบอุทกภัยโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการซ่อมแซม ก่อสร้าง และจัดทำเส้นทางคมนาคมเข้าออกชุมชนและหมู่บ้านที่มีปัญหาถนนถูกน้ำท่วมสูงและประชาชนไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติ ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปประสานงานกับกรุงเทพมหานครเพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครและพื้นที่โดยรอบโดยด่วน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการช่วยเหลือและเยียวยาเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เกษตรกรสามารถได้รับความช่วยเหลือภายใต้โครงการรับจำนำข้าวอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ๖. ให้กระทวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องการระบายน้ำลงทะเล การควบคุมอัตราความเร็วของกระแสน้ำ การตรวจสอบระดับน้ำและเวลาเปิด - ปิดประตูระบายน้ำ ๗. แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการและบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย เพื่อทำหน้าที่ในการบูรณาการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งการกำหนดแนวทางการป้องกันและการจัดให้มีระบบเตือนภัยที่รวดเร็ว โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ)เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน ผู้แทนประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านการบริหารจัดการน้ำเข้าร่วมเป็นกรรมการด้วย
|
||||||||||||||||||
47 | รายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก | สธ | 30/08/2554 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย และโรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการบริหารสถานการณ์เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กรณีอุทกภัย มีดังนี้ ๑.๑.๑ ให้สถานบริการดำเนินการ ๔ แผน คือ แผนป้องกันโรงพยาบาล แผนสำรองทรัพยากร แผนส่งต่อผู้ป่วย และแผนการปรับระบบบริการหากเกิดน้ำท่วม ๑.๑.๒ การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์จากส่วนกลาง ยอดสะสม ยาชุดช่วยผู้ประสบภัย ๓๑๐,๕๐๐ ชุด ยาตำราหลวง ๒๐,๐๐๐ ชุด และยาแก้น้ำกัดเท้า จำนวน ๔๓,๐๐๐ ชุด เซรุ่มแก้พิษงู (งูเห่า ๑๐๐ หลอด งูแมวเซา ๑๐๐ หลอด งูเขียวหางไหม้ ๑๐๐ หลอด) ๑.๑.๓ การติดตามเฝ้าระวังในพื้นที่เห็นว่าควรแจ้งเตือนภัยสถานบริการสาธารณสุข ในระยะนี้โดยการโทรศัพท์ประสานกับสถานบริการสาธารณสุขของจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงโดยตรง และการออกหนังสือแจ้งเวียนให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ระดับน้ำสูงขึ้นและป้องกันสถานบริการ หากมีแผนอยู่แล้วให้ทบทวนแผนป้องกันโรงพยาบาลให้พร้อมนำมาใช้งานและเฝ้าระวังระดับน้ำอย่างใกล้ชิด ๑.๑.๔ การเผยแพร่แนวทางการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยของโรงพยาบาลที่เคยประสบปัญหาและได้จัดทำแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ๑.๒ รายงานสถานการณ์โรค มือ เท้า ปาก (Hand, foot and mouth disease) โดยสรุปขณะนี้โรค มือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อในเด็กเล็ก กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย คาดว่าปีนี้จะมีเด็กป่วยและเสียชีวิตมากกว่าปีก่อน ๆ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ประสานสั่งการ เร่งรัด การป้องกันและควบคุมโรคทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือจากหน่วยราชการและหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำลังติดตามสถานการณ์เพื่อประสานสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขขอการสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีในการมอบหมายกำชับ ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือและสนับสนุนการป้องกันและควบคุม เพื่อลดการป่วยและเสียชีวิตจากโรค มือ เท้า ปาก ของเด็กในประเทศไทย ให้ได้ผลดีที่สุด ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัย รวมทั้งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น น้ำกัดเท้า ไข้หวัด ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง และอาการปวดศรีษะ โดยเฉพาะโรค มือ เท้า ปาก ซึ่งได้ติดตามและเฝ้าระวังโรคนี้เป็นกรณีพิเศษ พร้อมทั้งได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ๓. เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการติดตามและเฝ้าระวังโรคต่าง ๆ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขแก่ประชาชนและผู้ป่วยในพื้นที่ประสบอุทกภัยต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
48 | ผลการดำเนินการของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ครั้งที่ 9/2553) | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รายงานสรุปผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางและมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ตามผลการศึกษาของคณะอนุกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (อทภ.) โดยให้ อทภ. รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการทุจริตในการช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เช่น การสวมสิทธิ์ และการจ่ายเงินชดเชยด้านการเกษตร เป็นต้น โดยให้ อทภ. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดขั้นตอนแนวทางการรับรอง ตรวจสอบ และการรับรองความเสียหาย รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจน และจัดทำประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นบังคับใช้โดยเร็วต่อไป ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เร่งรัดให้จังหวัดดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านที่พักอาศัยและเครื่องมือประกอบอาชีพตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ กรณีบ้านเสียหายทั้งหลังชดเชยให้หลังละ ๓๐,๐๐๐ บาท กรณีบ้านเสียหายบางส่วนชดเชยหลังละไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และกรณีเครื่องมือประกอบอาชีพเสียหายชดเชยให้ครอบครัวละไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ๓. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยใน ๑๖ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ตาก นครนายก นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี เพชรบูรณ์ มหาสารคาม สระแก้ว สิงห์บุรี สุรินทร์ หนองบังลำภู และอุทัยธานี ซึ่งขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือกรอบจำนวนครัวเรือนของจังหวัดตามมติคณะรัฐมนตรี รวมจำนวนทั้งสิ้น ๔๖,๔๙๔ ครัวเรือน โดยให้ ปภ. ประสานกับธนาคารออมสินดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สำหรับกรณีมีผู้ประสบภัยได้ร้องขอสิทธิเพิ่มเติมเนื่องจากตกสำรวจ ให้หน่วยงานในพื้นที่ส่งเรื่องให้ ปภ. ภายในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ส่วนกรณีประชาชนที่อยู่ในบริเวณที่ประสบอุทกภัย แม้ที่พักอาศัยจะไม่ถูกน้ำท่วมเนื่องจากอยู่ในที่สูง แต่ได้รับผลกระทบไม่สามารถเดินทางไปประกอบอาชีพได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี ให้หน่วยงานในพื้นที่ใช้ดุลพินิจพิจารณาเบื้องต้นว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรือไม่ อย่างไร สมควรได้รับการช่วยเหลือเพราะเหตุใด ๔. เห็นชอบแผนการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย ของคณะอนุกรรมการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย คณะที่ ๑ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะที่ ๒ พื้นที่ภาคใต้ และคณะที่ ๓ พื้นที่ภาคกลาง โดยให้คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง ๓ คณะ รับข้อสังเกตของประธาน คชอ. ที่เห็นว่าการดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูควรดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกจังหวัดภายในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ โดยการช่วยเหลือจะต้องดำเนินการให้ตรงจุดที่เกิดความเสียหาย และครบถ้วนทุกมิติ จุดใดที่ได้รับความเสียหายมาก งบประมาณในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะดำเนินการ ให้จังหวัดเสนอเรื่องต่อ คชอ. เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป ๕. เห็นชอบการปรับเวลาการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย เป็น วันปฏิบัติราชการ ระหว่างเวลา ๐๗.๓๐-๒๐.๐๐ น. แต่สามารถติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๖. ให้กรมชลประทานและ ปภ. เข้าไปดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี กรณีแพและเครื่องสูบน้ำที่ใช้ในการทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากกรณีน้ำในแม่น้ำมูลล้นตลิ่งไม่สามารถเปิดใช้งานได้
|
||||||||||||||||||
49 | กรอบนโยบายและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการพัฒนาทรัพยากรแร่ | ทส | 04/05/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบกับกรอบนโยบายและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุข ภาพจากการพัฒนาทรัพยากรแร่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบนโยบายและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการพัฒนาทรัพยากรแร่ และเป็นแนวทางในการสร้างกลไกในการเยียวยาและ แก้ไขปัญหาต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบในระยะยาว ถึงแม้ว่าโครงการพัฒนาจะสิ้นสุดลงแล้ว ประกอบด้วย 1.1.1 ยุทธศาสตร์และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจาก การพัฒนาทรัพยากรแร่ 4 ยุทธศาสตร์ คือ -ยุทธศาสตร์ที่ 1 การป้องกันปัญหา เป็นการจัดเตรียมกระบวนการเพื่อการทำเหมืองแร่ที่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการป้องกันปัญหาตั้งแต่แรกเริ่มโครงการ -ยุทธศาสตร์ที่ 2 การกระจายประโยชน์ที่เป็นธรรมและหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย เป็น ยุทธศาสตร์ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายตามลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้น -ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาโดยอาศัยกลไกราคา และความคุ้มค่าต่อสังคม โดยการสนับ สนุนกลไกตลาดให้เกิดการพัฒนาแหล่งแร่ที่ยั่งยืนและมีโอกาสที่จะเลือกทางเลือกที่เอื้อประโยชน์สูงสุด -ยุทธศาสตร์ที่ 4 การติดตาม ตรวจสอบ เฝ้าระวัง และฟื้นฟูพื้นที่ โดยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมากขึ้นในรูปแบบของการเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน 1.1.2 ข้อเสนอแนะมาตรการทางการคลังในการเยียวยาปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากการพัฒนาทรัพยากรแร่ ให้มีการศึกษาการนำมาตรการทางการคลังมาใช้ในการเยียวยาปัญหาผลกระทบและ สุขภาพจากการพัฒนาทรัพยากรแร่ เช่น ระบบกองทุน โดยให้ความสำคัญกับ -กองทุนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงสาธารณะด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ -ระบบเงินประกันความเสี่ยง -ระบบเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการเฝ้าระวังปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจาก การประกอบกิจการเหมืองแร่ -ระบบเงินประกันการฟื้นฟูพื้นที่จากการทำเหมืองแร่ 1.2 มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบภายใต้ยุทธศาสตร์และแนวทางการป้องกันและแก้ ไขปัญหาฯ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาการเหมืองแร่ สภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ นำกรอบนโยบายและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฯ ไป ดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวง สาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควร พิจารณาความจำเป็นในการพัฒนาแร่เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ปริมาณที่เหมาะสมใน การนำแร่มาใช้ประโยชน์ ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่รวมค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมและมูลค่าในอนาคต และทบทวน แนวทางการส่งออกแร่ในรูปวัตถุดิบที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) มีส่วนร่วมรับรู้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในภาย หลัง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
50 | ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 | มท | 16/02/2553 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่ง ชาติ (กปอ.) เสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างแผนหลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศน์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหน่วยงานรับผิดชอบ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการกับอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีระบบมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีวัฒนธรรมความปลอดภัยในวิถีชีวิตเพื่อลดความ สูญเสียทั้งในด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการ ป้องกันอุบัติภัย ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวังและเตือนภัย ยุทธศาสตร์การสร้างการ มีส่วนร่วมของภาคีต่าง ๆ ยุทธศาสตร์การบังคับและปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ และยุทธศาสตร์การ บริหารจัดการ 1.2 ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้ประสานงานในการจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับแผน หลักการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553-2557 2. ให้ กปอ. รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยให้ภาคประชาชน เอกชน องค์การสาธารณกุศล และสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ ทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงอุบัติภัยต่าง ๆ และให้สังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและแนวทางการป้องกัน รวมทั้งรัฐบาลและองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ และให้จัดตั้งเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ ของแต่ละจังหวัดเพื่อรณรงค์ป้องกันอุบัติภัยอย่างต่อเนื่อง มีการประกวดและมอบรางวัลแก่จังหวัดที่เกิดอุบัติภัยน้อย ที่สุด เพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการป้องกันมิให้เกิดอุบัติภัยในจังหวัด ส่วนยุทธศาสตร์การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคี ต่าง ๆ ซึ่งเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของ อปท. นั้น ต้องพิจารณาถึงศักยภาพและสถานะทางการคลังของ ท้องถิ่นเป็นหลัก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
51 | แผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ 2553 และขอความเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร | กษ | 29/12/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. รับทราบแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อ เป็นแนวทางการดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ของหน่วยงานในสังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการเตรียมรับสถานการณ์ป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากปัญหาภัยพิบัติ ด้านการเกษตร และให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลา ในการเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงเดือนตุลาคม 2552-มีนาคม 2553 และระยะที่ 2 ช่วงเดือนเมษายน 2553-กันยายน 2553 2. เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร โดยมีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกรรมการ และเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัย พิบัติด้านการเกษตร พัฒนาระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติด้านการเกษตร รวมทั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบ และบูรณาการแผนงาน/โครงการ งบประมาณในการป้องกันภัยพิบัติดังกล่าว
|
||||||||||||||||||
52 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหาการรุกป่า" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหา การบุกรุกป่า" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 กำหนดให้ปัญหาทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องนำไปสู่ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและกระบวนการในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ดิน นโยบายปฏิรูป ระบบราชการมาพิจารณาในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติใหม่ 1.2 นำยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ตามแนวทาง "การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ในการอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสันติ และเกื้อกูล ด้วยการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสงวน อนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ใช้ ประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น" ซึ่งกำหนดไว้ใน แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ และดำเนินการ ทันทีในพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน 1.3 บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมด ร่วมกับชุมชนในการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกป่า และการรักษาพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ทั้งประเทศ โดยการทบทวนมาตรการ และแนวทางการป้องกันรักษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.4 ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินในเขตป่าทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งใน ระหว่างการตรวจสอบจะต้องมีมาตรการยับยั้งไม่ให้ผู้อ้างสิทธิกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และให้เพิก ถอนสิทธิทันทีหากพบว่าที่ดินนั้นได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย 1.5 แก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราช บัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ สวนป่า พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทำให้เกิดการ บูรณาการระหว่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ 2 มาตรการระยะกลางและระยะยาว 2.1 จัดตั้งหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ในการจัดระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้แผนที่ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าไม้ และทำหน้าที่ประสานกับคณะกรรมการด้านทรัพยากรทุกชุด และเข้าร่วมกับ ชุมชนในการทำวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัด การป่าไม้ของประเทศ 2.2 สำรวจและจัดทำข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่มีอยู่จริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั้งวางแผนการใช้ ที่ดินทั้งประเทศ และแบ่งเขตการใช้ (Zoning) ที่ชัดเจน 2.3 กำหนดแนวทางและวางมาตรการในการดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยว ข้องกับการนำนโยบายป่าไม้แห่งชาติไปปฏิบัติโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
|
||||||||||||||||||
53 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน" | สสป | 21/04/2552 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน" สรุปได้ดังนี้ 1.1 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องสร้างความพร้อมของชุมชนให้สมาชิกของชุมชน มีจิตใฝ่รู้ ใฝ่พัฒนา มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาชุมชนของตนเอง การพัฒนาชุมชนที่ได้รับความสำเร็จจะต้อง เกิดจากภายในจากประชาชนในชุมชน 1.2 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมมีการพัฒนาอย่าง ครบวงจรและบูรณาการในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จิตใจ วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 1.3 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องมียุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ที่ถูกต้องและเหมาะสม กล่าวคือ มียุทธศาสตร์การเสริมสร้างทุนทางสังคมในชุมชน ยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความ สามารถในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชน ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน และ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งรัฐบาลควรส่งเสริมสนับสนุนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักย ภาพของชุมชนทั้ง 4 ด้าน เป็นยุทธศาสตร์ของชาติในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและพึ่ง พาตนเองได้ 1.4 ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนให้แพร่หลาย กว้างขวาง ยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกของชุมชนได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา การฝึกอบรม และการพัฒนาศักยภาพของตนเอง 1.5 ควรมีการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานการพัฒนาชุมชน รวมทั้งการขับเคลื่อนยุทธ ศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค โดยให้มีการนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้า ให้แก่ประชาชน สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อ เสนอแนะแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||
54 | แผนแม่บทป้องกันและบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) | มท | 15/01/2551 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงมหาดไทยเสนอแผนแม่บทป้องกัน
และบรรเทาภัยจากคลื่นสึนามิ (ระยะ 5 ปี) ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 27 กลยุทธ์ 127 กิจกรรมหลัก มีหน่วย งานร่วมบูรณาการ จำนวน 66 หน่วยงาน เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการเตรียมความพร้อมและการปฏิบัติงาน ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดจากภัยคลื่นสึนามิ และมอบหมายกระทรวงมหาดไทย (กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานประสานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและ แผนงบประมาณระยะ 3 ปี (ปี พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2554) ภายใต้แผนแม่บทดังกล่าว โดยรับความเห็นของหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องอาทิ ความเห็นของกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิ ภาพ โดยให้ความสำคัญในประเด็นการสร้างองค์ความรู้และเผยแพร่เกี่ยวกับธรรมชาติของคลื่นสึนามิ การพิจารณา แนวทางการป้องกันพื้นที่ของชุมชนด้วยตนเอง การฝึกซ้อมการเตือนภัยและการหนีภัยอย่างสม่ำเสมอ การประกาศ เตือนภัยที่ถูกต้องชัดเจน และบูรณาการด้านการสื่อสาร รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรกำหนดเป้าหมายให้มีลักษณะเป็นรูปธรรม หรือเป้าหมายเชิงปริมาณมากขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในขั้นตอนการแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติ และกระบวนการจัดทำงบประมาณ ส่วนยุทธศาสตร์ การจัดการในภาวะฉุกเฉินและการจัดการหลังเกิดภัย ควรปรับกิจกรรมให้มีลักษณะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อ รับมือกับสถานการณ์อย่างทันท่วงทีเพื่อให้การกำหนดเป้าหมาย การดำเนินการ และการประเมินผลมีความชัดเจน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา และดำเนินการตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (หากจำเป็น) แล้วให้นำ เสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
55 | ร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่าผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล สำหรับฤดูการผลิตปี 2550/2551 | อก | 30/10/2550 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอร่างประกาศคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล
ทราย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายได้ การกำหนดและการชำระราคาอ้อยและค่า ผลิตน้ำตาลทราย และอัตราส่วนของผลตอบแทนระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล สำหรับฤดูการผลิตปี 2550 /2551 และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดย ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นไม่ควรกำหนดราคาไว้สูงเกินกว่าประมาณ การรายได้ รวมทั้งได้เสนอแนวทางการป้องกันความเสี่ยงจากการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้น โดยให้มีการแบ่งจ่ายเงิน ค่าอ้อยขั้นต้นเป็น 2 งวด ในสัดส่วนร้อยละ 80: 20 โดยทำการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำตาลภายใน ประเทศและต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพื่อนำมาคำนวณประมาณการราคาอ้อยขั้นต้น ใหม่ เมื่อสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หากประมาณการราคาอ้อยขั้นต้นที่ประมาณการใหม่ไม่ แตกต่างจากที่ประมาณการไว้ต้นฤดูการผลิต ก็ให้ดำเนินการจ่ายส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 ได้ ในทางตรงกันข้าม หากประมาณการราคาอ้อยขั้นต้นที่ประมาณการใหม่ที่ได้ต่ำกว่าที่ได้ประมาณการไว้ต้นฤดูการผลิต ก็ให้ดำเนินการ จ่ายส่วนที่เหลือตามประมาณการครั้งใหม่เพื่อลดความเสี่ยงของภาครัฐ ไปพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
56 | การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกในบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | สธ | 03/07/2550 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกใน
บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ของกระทรวงสาธารณสุข สรุปได้ดังนี้ ด้านการป้องกันและควบคุมโรค ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และมีการจัด ตั้งทีม SRRT ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น ซึ่งเมื่อมีการระบาดของโรคทีมดังกล่าวจะข้ามเข้าไป ดำเนินการในฝั่งประเทศกัมพูชาโดยพ่นเคมีเพื่อควบคุมโรคและกำจัดลูกน้ำยุงลายในพื้นที่ที่มีการระบาดในประเทศ กัมพูชาทันที ส่วนด้านการรักษาผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองบริเวณชายแดนจะทำหน้าที่ตรวจคนเข้าออก ประเทศของประชาชน 2 ฝั่ง หากมีผู้ป่วยแสดงอาการให้เห็น เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจะส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรง พยาบาลที่ใกล้เคียงให้การรักษาทันที และด้านการประสานงานระหว่างประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ จัดประชุม เพื่อวางแผนแนวทางการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออกและโรคมาเลเรีย และจัดทำรายงาน แบบฟอร์ม รายงาน วิธีการควบคุม ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งจัดทำ SOP ของการควบคุมโรคเพื่อสร้างความเข้ม แข็งระหว่างประเทศร่วมกัน
|
||||||||||||||||||
57 | แนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2550 | รง | 10/04/2550 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศ
กาลสงกรานต์ พ.ศ. 2550 ของกระทรวงแรงงาน สรุปได้ดังนี้ กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจจราจร ตำรวจทางหลวง ขนส่งจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ จัดฝึกอบรมให้ประชาชนทั่วไป ได้มีความรู้ความเข้าใจในการขับขี่อย่างถูกวิธี การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และฝึกอาชีพยกระดับฝีมือแรงงานให้ แก่ผู้มีหน้าที่ให้บริการผู้ขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจจราจร ตำรวจทาง หลวง และหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ให้มีความรู้ด้านช่างยนต์ สามารถวิเคราะห์และช่วยแก้ไขปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องใน เบื้องต้นได้ และมอบให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาค (สพภ.) และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.) จัด ทำโครงการให้บริการตรวจสภาพซ่อมบำรุงรักษารถยนต์และรถจักรยานยนต์ในเส้นทางต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม ทั้งได้ขอความร่วมมือกับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง อู่ซ่อมรถยนต์ หรือผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ หน่วยงานภาค รัฐของจังหวัดจัดตั้งศูนย์บริการตรวจสภาพ ซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ทั้งก่อนและระหว่างเทศ กาลในสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและเหมาะสม นอกจากนี้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดฝึกอบรมหลักสูตร การขับขี่อย่างปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการส่งเสริมการรณรงค์ช่วยลดอุบัติเหตุอีกทางหนึ่งด้วย
|
||||||||||||||||||
58 | การนำเสนอมาตรการแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทในเด็กและเยาวชนต่อคณะรัฐมนตรี | พม | 20/03/2550 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติเห็น
ชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอมาตรการแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา การทะเลาะวิวาทในเด็กและเยาวชน รวม 6 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับสถาบัน ครอบครัว มาตรการส่งเสริมศักยภาพประคองผ่านวัยในเด็กและเยาวชน มาตรการจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนัก เรียนในสถานศึกษา มาตรการปรับปรุงระบบการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนอาชีวศึกษาให้มีคุณ ภาพ และมาตรการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาแบบมีส่วนร่วมเพื่อการแก้ไขปัญหาเชิงรุก และให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่า มาตรการ ฯ ที่เสนอควรขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงเด็กและเยาวชนที่ฝึกอบรมฝีมือแรงงานหรืออาชีพ อยู่นอกระบบการศึกษา รวมทั้งเด็กและเยาวชนที่มีปัญหาทางข้อกฎหมายซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของสถาน พินิจและคุ้มครองเด็กด้วย และนำมาตรการอื่น ๆ อาทิ นโยบายคุณธรรมนำความรู้ การสร้างสันติภาพการทำแผน ที่ความดี การส่งเสริมในเรื่องจิตปัญญาศึกษา เป็นต้น มาบูรณาการกับมาตรการ ฯ โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ บูรณาการกิจกรรมและงบประมาณและจัดทำแผนปฏิบัติตามมาตรการ ฯ ที่ชัดเจน หากมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน่วย งานอื่น ๆ ก็ให้หน่วยงานหลักทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพดำเนินการบูรณาการกิจกรรมและงบประมาณร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการให้เกิดกิจกรรมที่นำไปสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน นอกจากนี้ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือกับนายจ้างหรือสถานประกอบการเพื่ออนุญาตให้ผู้ปกครองซึ่งทำงานใน สถานประกอบการไปประชุมผู้ปกครองได้โดยไม่ถือเป็นวันลาและให้ได้รับเงินค่าจ้างด้วย ไปประกอบการพิจารณา ดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
59 | แนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2549 | รง | 21/03/2549 | |||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและลดอุบัติ
เหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2549 โดยได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมและฝึกอาชีพด้านช่างยนต์ให้แก่ ผู้เกี่ยวข้องก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2549 เป็นต้นไป และให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ภาค (สพภ.) และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด (ศพจ.) จัดทำโครงการให้บริการตรวจสภาพ ซ่อมบำรุง รักษารถยนต์และรถจักรยานยนต์ก่อนการเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ณ ที่ตั้ง สพภ./ศพจ. ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2549 ถึงช่วงเทศกาล รวมทั้งประสานและร่วมมือกับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง อู่ซ่อมรถยนต์ ผู้ แทนจำหน่ายรถยนต์ หน่วยงานภาครัฐของจังหวัด จัดตั้งศูนย์บริการตรวจสภาพ ซ่อม บำรุงรักษารถยนต์ และรถจักรยานยนต์ก่อนและหลังเทศกาลสงกรานต์ในสถานที่ต่างๆ และประสานงานจังหวัดเพื่อขอความร่วม มือสถานประกอบการหรืออู่ซ่อมรถยนต์ ร้านขายอุปกรณ์อะไหล่ เพื่อผลัดเปลี่ยนกันให้บริการผู้เดินทางโดย แจ้งชื่อที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ให้ สพภ. และ ศพจ. ทราบ และรวบรวมส่งให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัย ทางถนนประชาสัมพันธ์ให้ผู้เดินทางทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
60 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. .... | กค | 30/08/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอดังนี้ เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการ
คลังว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการพัสดุที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ จำนวน 13 ฉบับ และให้ส่งสำนักคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยรับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตลอดจนประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะ รัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (ฝ่ายกฎหมายฯ) พร้อมทั้งความเห็นของคณะรัฐมนตรี โดยในส่วนของคณะรัฐมนตรี มีความเห็นว่า ร่างระเบียบ ฯ ที่เสนอมีผู้เกี่ยวข้องมากทั้งส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ในภาค รัฐและภาคเอกชน หากนำร่างระเบียบเผยแพร่ในเว็บไซต์โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องหรือ ผู้สนใจได้มีโอกาสเสนอปัญหาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องต่าง ๆ รวมทั้งแนวทางการป้องกันการ ทุจริต ก็จะเป็นประโยชน์และรัดกุมยิ่งขึ้น และกำหนดให้มีคณะกรรมการกลางทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเบื้องต้นในการซื้อหรือจ้าง สำหรับกรณีที่จำเป็นจะต้องมีการคัดเลือกผู้ที่มี ความสามารถเฉพาะให้มีมาตรฐานสอดคล้องกันเพื่อป้องกันมิให้มีการกำหนดคุณสมบัติและการคัดเลือกที่ ไม่เป็นธรรม ซึ่งจะนำไปสู่การทุจริตและประพฤติมิชอบและการสมยอมกันในการเสนอราคาต่อไปได้ และ ให้มีการกำหนดราคากลางโดยองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หลักการทั้งสองเรื่องดังกล่าวอาจกำหนด โดยประกาศคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุในภายหลัง |
.....