ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 4 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 74 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การติดตามประเด็นมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.04 | 18/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหา สถานะปัจจุบันของการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
(Mekong River Commission Secretariat
: MRCS) ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ
ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทราย ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒.๓
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ
และสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าประเด็นปัญหาชายฝั่งทลายและแนวทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลง
ควรมีการสำรวจศึกษาเพิ่มเติมในประเด็น
แผ่นดินทรุดเกิดความสูญเสียและความเสียหายในเขตพื้นที่ชุมชน
แก่งหินและดอนทรายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายจะส่งผลต่อแนวเขตแดนของประเทศ
และพื้นที่สบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางเกิดการกัดเซาะพังทลาย และควรมีการศึกษาและจัดทำมาตรการลดผลกระทบจากการกัดเซาะตลิ่งที่ส่งผลให้พื้นที่ตลิ่งริมน้ำโขงฝั่งไทยลดลง
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึก
และควรศึกษาผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศสมาชิกและการลดลงของปริมาณตะกอนในแม่น้ำโขงด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการผันน้ำและการระบายน้ำ
ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงในภาพรวมเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งนำแผนที่พื้นที่เสี่ยงด้านอุทกภัย และข้อมูลการผันน้ำและระบายน้ำของแม่น้ำโขงเพื่อประกอบการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำ
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา
กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง - ล้านช้าง มาปรับใช้ในการวางแผนรับมือ และการแก้ไขปัญหาการดูดทราย
ควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดูดทรายในระดับประเทศ
โดยมีการระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพและเหมาะสมในการดูดทราย
รวมทั้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการดูดทราย
เพื่อใช้ประกอบการอนุญาตให้ดำเนินการดูดทราย ซึ่งจะสามารถป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและช่วยให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตการดูดทรายในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | ผลการพิจารณา เรื่อง ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล | มท. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง
ญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการจัดตั้งเมืองหลวงแห่งที่
๒ ของประเทศไทย หรือการสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ที่ประสบปัญหากำลังจะจมบาดาล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้ ๑. ในส่วนของแผนการจัดน้ำที่ดี กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการจัดหาพื้นที่รองรับน้ำและกักเก็บน้ำเพิ่มเติมสำหรับแผนการจัดการน้ำในระยะกลางแล้ว
และมีแผนสร้างคันกั้นน้ำด้านตะวันออก และตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อการจัดการน้ำระยะยาวอีกด้วย ๒. ในส่วนของโครงสร้างการป้องกันชายฝั่ง กรุงเทพมหานครได้จัดทำโครงสร้างแบบแข็ง
(เขื่อนกันคลื่น/กำแพงกันคลื่น) และแบบอ่อน (เนินทราย/ป่าชายเลน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร
และกระทรวงคมนาคมได้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยโดยเฉพาะระบบระบายน้ำ ๓. การย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครราชสีมา
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นว่า การสร้างแนวป้องกันกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล หรือดำเนินการเพิ่มเมืองศูนย์กลางระดับภาคและศูนย์กลางรองระดับภาคน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกว่า ๔. การศึกษาในเรื่องน้ำทะเลที่สูงขึ้นอันเกิดจากภาวะโลกร้อน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการศึกษาเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหา เช่น การจัดทำ Sea barrier การขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการศึกษาแนวทางการป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา
และการศึกษาการคาดการณ์อนาคต (Foresight) ระดับน้ำที่สูงขึ้นในแต่ละช่วงปี
เพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาและควรศึกษาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ๕. ความเหมาะสมของจังหวัดนครราชสีมาที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ของประเทศไทย
โดยปัจจุบันกรมโยธาธิการและผังเมืองและกระทรวงคมนาคม ได้ศึกษาและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
ทั้งนี้ ควรมีการศึกษาด้านทรัพยากรน้ำในทุกมิติและศึกษาแนวทางการย้ายเมืองหลวงของประเทศอื่น
เป็นแนวทางและเทียบเคียงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู | ศธ. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | การเร่งรัดการดำเนินการและการบูรณาการการทำงานร่วมกันของกระทรวงต่าง ๆ | นร.04 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
มีประเด็นหารือหลายเรื่องที่กระทรวงต่าง ๆ
จะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุผลตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณของทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุน และให้สำนักงาน ก.พ.ร.
เร่งรัดติดตามผลการปฏิบัติงานตามตัวชี้วัด (KPI) ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดังกล่าวในเรื่องเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งจะเป็นกลไกในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ประการหนึ่ง
แล้วรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย ๒.
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐระหว่างกันให้แล้วเสร็จ
ครบถ้วนโดยเร็ว เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัยในระบบดิจิทัล (Digital Government) ของรัฐบาลต่อไป ๓.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาและพิจารณากำหนดมาตรการรองรับการขยายตัวของเมืองและการปรับผังเมืองของพื้นที่จังหวัดต่าง
ๆ รวมถึงพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วย เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสมต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู | ศธ. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู)
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู)
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู | ปช. | 13/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากการติดตามข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับประกาศนียบัตรวิชาชีพครู
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | แนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน | นร.10 | 20/02/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน
ตามผลการดำเนินการตามมาตรา
๗๖ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ของสำนักงาน ก.พ.
ตามนัยมติ ก. พ. ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๖
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | รายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล | ตช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีการกำหนดมาตรการเพื่อบูรณาการในการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง
(Peer-to-Peer) ภายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต
และผู้ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามแนวชายแดน
ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนออกไปยังต่างประเทศ
โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับผิดชอบ เช่น
ตั้งคณะทำงานศึกษาเรื่องแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง (Peer-to-Peer)
เป็นผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖
มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมที่ต้องสงสัยต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หากพบว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด
และให้ดำเนินการประกาศพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำธุรกรรมการโอนไปยังต่างประเทศจากพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางป้องกันและแก้ไขการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 13/09/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางป้องกันและแก้ไขการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส
วุฒิสภา
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
สรุปได้ ดังนี้ (๑) แนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์
โดยปัจจุบันได้มีการดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนไทยในศตวรรษที่
๒๑ เช่น การอบรมหลักสูตร ID-Sign เพื่อเป็น “ผู้พิทักษ์สิทธิทางเพศวัยรุ่น”
และ (๒) แนวทางแก้ไขการตั้งครรภ์ เช่น ยกระดับให้เป็นวาระสำคัญเร่งด่วน
โดยมีการจัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็กในรูปแบบ Day Care Night Care เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อแม่วัยรุ่น
ระบบความช่วยเหลือในรูปแบบผู้จัดการรายกรณี โดยระบบสามารถระบุพื้นที่เกิดเหตุ
ภาพถ่าย
และติดตามให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานได้ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังระบบการจัดการรายกรณี
การให้คำปรึกษาทางเลือกที่จะท้องต่อหรือทำแท้ง โดยมีศูนย์รับแจ้งเรื่องราวข่าวสาร
และให้คำปรึกษาแนะนำตลอด ๒๔ ชั่วโมง การบังคับใช้กฎหมาย
ดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้วัยรุ่นและประชาชนทั่วไปรับรู้เรื่องกฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนครอบครัว
การให้คำปรึกษาทางเลือก และยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย
การปรับปรุงข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์
การดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิในระดับชุมชน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | ยธ. | 26/07/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๑๖
ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
งบเงินอุดหนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) ๑.๒ ให้เลขาธิการ ป.ป.ส.
มีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน
รายการโครงการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศเพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
ตามที่ได้รับจัดสรร ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑)
การสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านควรมุ่งเน้นไปที่การควบคุมสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์จำเป็นในการผลิตยาเสพติดที่มีการนำเข้าไปยังแหล่งผลิตต่าง
ๆ รวมถึงการตรวจสอบต้นทางว่ามาจากแหล่งและวิธีการใด (๒) พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ยาเสพติดในภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงไป
อันมีผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
และสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเพื่อนบ้านด้วย และ (๓)
พิจารณากำหนดตัวชี้วัดของโครงการฯ
ที่จะสามารถสะท้อนผลสำเร็จของการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
เพื่อความคุ้มค่าของการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค กระบือ | กษ. | 12/07/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อควบคุมโรคลัมปี สกินในโค
กระบือ ประกอบด้วย ค่าจัดซื้อวัคซีนโรคลัมปี สกิน จำนวน ๖,๓๐๐,๐๐๐ โด๊ส เป็นเงิน
๒๒๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท และค่าจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์เพื่อการแพทย์ในการฉีดวัคซีน
เป็นเงิน ๕,๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ กำกับดูแลการขนส่ง การเก็บรักษา
และการใช้งานวัคซีนโรคลัมปี สกินในโค กระบือ ให้ถูกต้อง เหมาะสม
เป็นไปตามมาตรฐานทางวิชาการ โดยให้กระจายวัคซีนตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน
และดำเนินการอย่างทั่วถึง ๑.๒ ตรวจสอบ ติดตาม
และประเมินผลของการฉีดวัคซีนโรคลัมปี สกิน
เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงแนวทางการป้องกันโรคให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ | คค. | 18/01/2565 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ
ปัญหาสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ และแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 09/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM๒.๕
ของคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปได้ว่า
การกำหนดหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
PM๒.๕ นั้น คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เห็นชอบให้การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองเป็นวาระแห่งชาติ
และให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเป็นกลไกหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ประกอบกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองได้กำหนดให้กระทรวงมหาดไทย
จังหวัด และกรุงเทพมหานครเป็นหน่วยงานหลักตามมาตรการที่ ๑
การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่
จึงควรถือเป็นหลักในการดำเนินการต่อไป สำหรับการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
PM๒.๕
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมอุตุนิยมวิทยาควรผลักดันและขยายผลให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป
ส่วนระบบการวัดค่าการพยากรณ์คุณภาพอากาศ และการแจ้งเตือนฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM๒.๕ ได้มีการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำหรับการวิจัยและพัฒนาระบบการตรวจอย่างต่อเนื่อง
และได้มีการแจ้งเตือนสถานการณ์ผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และสื่อสังคมออนไลน์
นอกจากนี้ การประกาศเขตควบคุมมลพิษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ แทนการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.
๒๕๓๕ นั้น ควรต้องมีข้อมูลประกอบเหตุผลในการประกาศที่ชัดเจน
และการส่งเสริมอาชีพในชุมชน
โดยให้ชุมชนเป็นผู้ผลิตหน้ากากอนามัยในราคาที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจากการผลิตหน้ากากอนามัยมีขั้นตอนการผลิตที่ยากกว่าหน้ากากผ้า
รวมถึงต้องพิจารณาประเด็นต้นทุนการผลิตด้วย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อย่างเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 23/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM๒.๕ อย่างเป็นระบบ
ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
PM๒.๕ อย่างเป็นระบบ
สภาผู้แทนราษฎร โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นว่า
รายงานและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
สอดคล้องกับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ
“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก
PM ๒.๕
ซึ่งแบ่งตามแหล่งกำเนิดของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM ๒.๕
เช่น สนับสนุนให้มีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่
รถยนต์ของหน่วยราชการควรเป็นรถยนต์มลพิษต่ำ ควรสนับสนุนส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศโดยใช้มาตรการหรือแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์
ให้ความสำคัญกับมาตรการจัดการเชื้อเพลิง
และบริหารจัดการเศษซากวัสดุจากเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง
จัดสรรงบประมาณและบุคลากรเพิ่มเติมเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่อนุรักษ์
ประสานงานเลขาธิการอาเซียนและกลุ่มประเทศสมาชิกเพื่อสนับสนุนเสริมสร้างศักยภาพในการติดตาม
เฝ้าระวังสถานการณ์คุณภาพอากาศ
รวมทั้งการพิจารณาใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมือระดับทวิภาคี เป็นต้น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ
ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศ
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า
ปัญหาการข่มขืนกระทำชำเราและการล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องกำหนดแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาให้เป็นวาระแห่งชาติ
และต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันก่อนการกระทำความผิด
การดำเนินการของภาครัฐเมื่อเกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศ การแก้ไข ฟื้นฟู
และเยียวยาหลังเกิดเหตุและการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ปี 2563/64 | กษ. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม
ปี ๒๕๖๓/๖๔ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยคณะทำงานป้องกันและเฝ้าระวังการเผาเศษซากพืชหรือวัชพืช
และเศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่การเกษตร มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน ได้จัดทำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม
ปี ๒๕๖๓/๖๔
เพื่อเป็นแนวทางการเฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดมาตรการดำเนินการแบ่งเป็น ๓ มาตรการ ได้แก่
มาตรการป้องกัน มาตรการยับยั้ง/เผชิญเหตุ และมาตรการแก้ไข/ฟื้นฟู
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2563 | ดศ. | 10/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการสอบถามประชาชนที่มีอายุตั้งแต่
๑๘ ปีขึ้นไป ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายในการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั่วประเทศ จำนวน
๔๖,๐๐๐ คน ระหว่างวันที่ ๑-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑. การพบเห็นปัญหายาเสพติด
ประชาชนร้อยละ ๕๑.๖ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่าในชุมชน/หมู่บ้านมีปัญหายาเสพติด ร้อยละ
๔๒.๕ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่าในชุมชน/หมู่บ้านมีปัญหายาเสพติด และร้อยละ ๕.๙
พบเห็นปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้านด้วยตนเอง ๒. การพบเห็นการซื้อขายยาเสพติด
ประชาชนร้อยละ ๖๕.๐ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด ร้อยละ ๓๒.๒
ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด ร้อยละ ๒.๕
พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ง่ายเพราะมีการซื้อขายแบบเปิดเผยและไม่เกรงกลัวกฎหมาย
และร้อยละ ๐.๓ พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ยากเพราะเจ้าหน้าที่เข้มงวดและต้องออกไปซื้อนอกชุมชน/หมู่บ้าน ๓. การพบเห็นผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด
ประชาชนร้อยละ ๕๒.๕ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ร้อยละ ๔๒.๑
ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และร้อยละ ๕.๔ พบเห็นด้วยตนเอง ๔. ความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
ประชาชนร้อยละ ๕๕.๖ พึงพอใจในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๓๘.๐ พึงพอใจปานกลาง
ร้อยละ ๖.๐ พึงพอใจน้อย-น้อยที่สุด และร้อยละ ๐.๔ ไม่พึงพอใจ ๕. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากสถานการณ์ปัญหายาเสพติด
ประชาชนร้อยละ ๖๖.๘ มีความปลอดภัยในระดับมาก-มากที่สุด ร้อยละ ๒๙.๗
มีความปลอดภัยปานกลาง ร้อยละ ๓.๓ มีความปลอดภัยน้อย-น้อยที่สุด และร้อยละ ๐.๒
ไม่มีความปลอดภัย ๖.
แนวทางการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ประชาชนเห็นว่าควรมีการปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด
การตั้งจุดตรวจหรือจุดสกัดเพื่อเฝ้าระวังในชุมชน/หมู่บ้าน
การเฝ้าระวังในชุมชน/หมู่บ้าน และการปลูกฝังให้ครอบครัวช่วยกันสอดส่องดูแล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Centre) ของทางการเมียนมา | รง | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Centre) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก ๑ ปี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน จังหวัดสมุทรสาคร โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับทางการเมียนมาให้ดำเนินการตามมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเรื่องรัฐบาลเมียนมาขอขยายเวลาการดำเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวที่จังหวัดสมุทรสาคร ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๑.๒ จังหวัดสมุทรสาคร โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานพิจารณากำหนดวัน เวลา ในการเริ่มเปิดดำเนินการ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ๒. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน | นร | 15/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ถึงแม้สถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือในภาพรวมจะลดความรุนแรงลง โดยเจ้าหน้าที่และทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา และสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้มากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาไฟป่าก็ยังคงเกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อให้การจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น จึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพภาคที่ ๓ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคเอกชน เครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ อาสาสมัครและจิตอาสา เร่งรัดดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในทุกพื้นที่ ดังนี้
๑. ด้านการป้องกันและแก้ไข ให้ระดมสรรพกำลังและเครื่องมือในการดับไฟป่าให้รวดเร็ว โดยอาจพิจารณาใช้วิธีการดับไฟทางอากาศ เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการประทุของไฟซ้ำในพื้นที่เดิมอีก จัดให้มีชุดดับไฟป่าและชุดพิทักษ์ป่าประจำหมู่บ้าน โดยอบรมให้ความรู้ที่จำเป็นและเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ให้ชัดเจน ๒. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ให้กวดขัน จับกุม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดแก่ผู้กระทำความผิดและมีเจตนาเผาป่า ๓. ด้านความร่วมมือระดับภูมิภาค ให้สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันข้ามแดนด้วย ๔. ถอดบทเรียนจากสภาพปัญหาและการดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่าในช่วงที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการในครั้งต่อ ๆ ไปให้เหมาะสม สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ในจังหวัด เพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | รายงานประจำปี 2561 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ | ยธ | 04/06/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การประเมินผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) (๒) การจัดทำ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) (๓) การขับเคลื่อนกรอบแนวทางการป้องกันอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพ และ (๔) การขับเคลื่อนศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center : DXC) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธาน กพยช. เสนอ
|