ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 4 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 74 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน - เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด พ.ศ. .... | คค | 28/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๒ สายทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และอำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๒ สายทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย ที่ชุมชนวัดสะแกงาม และที่บ้านหลังวัด เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ก่อนการก่อสร้างทางหลวง กระทรวงคมนาคมควรให้ความสำคัญกับแนวทางการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ รวมทั้งควรคำนึงถึงผลกระทบจากการระบายน้ำภายหลังการก่อสร้างด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และกรมทางหลวงควรปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๕๙ โดยดำเนินการโครงการได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติตามขั้นตอนแล้ว พร้อมทั้งดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... | คค | 21/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะมาย และตำบลปากแพรก อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๑๐ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๓ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับแนวทางการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวง โดยเฉพาะการก่อสร้างที่กีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติ และให้คำนึงถึงผลกระทบจากการระบายน้ำภายหลังการก่อสร้าง และให้กรมทางหลวงชนบทประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองเพื่อให้การดำเนินการตามโครงการมีความสอดคล้องกับผังเมืองรวมเมืองทุ่งสงฉบับใหม่ รวมทั้งพิจารณาออกแบบโครงสร้างถนนของโครงการในบริเวณจุดตัดทางรถไฟกับถนนเสมอระดับภายใต้รูปแบบโครงสร้างทางรถไฟที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกแบบไว้ในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี 2562 และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูง ในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) | พณ | 21/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ (Special 301) ประจำปี ๒๕๖๒ และการจัดทำรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้า (Notorious Markets) โดยเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative : USTR) ได้จัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทย โดยปรับสถานะจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (Priority Watch List : PWL) มาอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List : WL) และเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ USTR ได้ประกาศสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศคู่ค้าฯ ประจำปี ๒๕๖๒ โดยประเทศไทยยังคงสถานะอยู่ในบัญชี WL สำหรับรายงาน Notorious Markets เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๑ USTR ได้ประกาศรายชื่อ Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๐ ไม่ปรากฏชื่อย่านการค้าหรือศูนย์การค้าในประเทศไทยเป็น Notorious Markets แต่รายงาน Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๑ ได้มีการระบุช่อตลาดในประเทศไทย ๒ แห่ง เป็นการละเมิดในท้องตลาด ๑ แห่ง คือ ย่านพัฒน์พงษ์ และตลาดออนไลน์ ๑ แห่ง คือ www.shopee.co.th ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงพาณิชย์ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อเร่งรัดการแก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์และกฎหมายสิทธิบัตรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานพิจารณากลั่นกรองการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานด้วยความรอบคอบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ๒.๓ ในส่วนของรายงาน Notorious Markets ประจำปี ๒๕๖๑ ที่ได้มีการระบุชื่อตลาดในประเทศไทย ๒ แห่ง คือ ย่านพัฒน์พงษ์ และ www.shopee.co.th ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในตลาดดังกล่าวต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในการจัดซื้อคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของหน่วยงานภาครัฐที่มีความรัดกุมและได้มาตรฐานเดียวกัน การผลักดันให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่องเพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ภาคเอกชนและประชาชน การแสดงออกถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาดังกล่าว การจัดทำรายงาน Notorious Markets ควรมีการติดตามและสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการรณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการและดำเนินการตรวจสอบตลาดและช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (กรณีกล่าวอ้างว่านักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐคุกคาม ทำให้ได้รับความหวาดกลัวและเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย) | สม | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (กรณีกล่าวอ้างว่านักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐคุกคาม ทำให้ได้รับความหวาดกลัวและเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบด้วย ดังนี้
๑. นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหรือนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันเช่นเดียวกับประชาชนทุกคนในประเทศไทย ๒. กรณีที่มีการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ควรมีการจัดสมดุลระหว่างการเรียกร้องสิทธิและการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของสาธารณะ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนโดยจะต้องมีการย้ำเตือนเจ้าหน้าที่รัฐให้มีความเข้าใจการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกของประชาชน ซี่งที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อแจ้งแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยจากการคัดค้านการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ รวมทั้งกระทรวงกลาโหมได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนในการดูแลผู้ชุมนุม นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ครอบคลุมถึงกรณีการถูกข่มขู่ คุกคามพยานที่ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ความคุ้มครองกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ๓. กรณีที่มีการแจ้งความเท็จหรือฟ้องร้องซึ่งปรากฏว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง กระบวนการยุติธรรมมีมาตรการควบคุมการใช้สิทธิดังกล่าว โดยการลงโทษบุคคลที่แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ หรือมาตรา ๑๗๒ เป็นต้น รวมทั้งกรณีที่มีการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต บุคคลนั้นย่อมได้รับการคุ้มครอง โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ขออนุมัติจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล | มท | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยมีปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน ๑๒ เมกะวัตต์ ตามข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย โดยขอให้เร่งรัดการเข้าร่วมกิจการโดยชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการฯ และพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการเข้าร่วมกิจการดังกล่าวในระยะต่อไปตามความเหมาะสม ๒. อนุมัติให้บริษัท พีอีเอฯ จัดตั้ง/ร่วมทุนบริษัทในเครือ จำนวน ๓ บริษัท ได้แก่ (๑) บริษัท ประชารัฐชีวมวล นราธิวาส จำกัด (จังหวัดนราธิวาส) (๒) บริษัท ประชารัฐชีวมวล แม่ลาน จำกัด (จังหวัดปัตตานี) และ (๓) บริษัท ประชารัฐชีวมวล บันนังสตา จำกัด (จังหวัดยะลา) เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐสำหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยให้บริษัท พีอีเอฯ ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๔๐ ของส่วนทุน และภาคเอกชน/วิสาหกิจชุมชน ลงทุนในสัดส่วนร้อยละ ๖๐ ของส่วนทุน (วิสาหกิจชุมชนสามารถเข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในขั้นตอนการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยบริษัท พีอีเอฯ ประสานงานกับกระทรวงพลังงานเพื่อดำเนินการเชิญชวนและสรรหาชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ โดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๑๑) เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ทั้งนี้ การร่วมลงทุนของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนเมื่อเริ่มต้นโครงการฯ ให้เป็นไปตามความพร้อมและความสามารถของชุมชนประชารัฐ/วิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ และให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในระยะต่อไปได้ตามความเหมาะสม ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมุ่งดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าจากการรับซื้อวัตถุดิบเชื้อเพลิงในพื้นที่ และสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมถือหุ้น รวมทั้งควรมีการจัดการน้ำเสียและกลิ่นรบกวนจากลานกองเชื้อเพลิง การจัดการน้ำหล่อเย็นและฝุ่นละอองจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และควรพิจารณาทบทวนสัดส่วนการถือครองหุ้นในบริษัท พีอีเอฯ เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับทิศทางและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกำกับให้บริษัท พีอีเอฯ เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนและชุมชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ วิธีการบริหารจัดการ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่จะได้รับ รวมทั้งแนวทางการป้องกันมลพิษด้านต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.) | ยธ | 18/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด (กพยจ.) ที่แต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อเป็นกลไกการอำนวยความยุติธรรมและประสานความร่วมมือในระดับจังหวัด ประกอบด้วย อัยการจังหวัด เป็นที่ปรึกษา ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการในระดับจังหวัด จำนวน ๑๒ คน มียุติธรรมจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานยุติธรรมจังหวัดที่ยุติธรรมจังหวัดมอบหมาย จำนวน ๒ คน เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ เช่น เสนอแผนการดำเนินการไปสู่แผนยุทธศาสตร์ของจังหวัด บูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน กำหนดแนวทางในการเสริมสร้างให้ประชาชนในจังหวัดเข้าถึงการบริการในกระบวนการยุติธรรม กำหนดแนวทางการป้องกัน เฝ้าระวังปัญหาอาชญากรรม การทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำผิดกฎหมายต่าง ๆ ในจังหวัด รวมถึงการแจ้งเบาะแสข้อมูลการกระทำผิดกฎหมาย เป็นต้น และให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงบประมาณดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ กพยจ. กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า หากการแต่งตั้ง กพยจ. ดังกล่าวเป็นผลให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด ก็เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี สำหรับงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีแรงงานต่างด้าวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ระนอง สมุทรสาคร โดยอาจพิจารณาจัด Zoning พื้นที่ที่พักอาศัย รวมทั้งสวัสดิการต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป นั้น ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งรัดการจัด Zoning พื้นที่ที่พักอาศัยแรงงานต่างด้าว และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการ โดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับผิดชอบการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดทางภาคใต้และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนตามความเร่งด่วนของสถานการณ์ การเตรียมการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการกำหนดแนวทางการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะการซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาเร่งรัดการจัดทำแผนการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่หลังน้ำลด การให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมทั้งจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนโดยให้แล้วเสร็จก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในสัปดาห์หน้า ๒.๒ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) นั้น ให้ทุกกระทรวงแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ ป.ย.ป. ขึ้นภายในสำนักงานปลัดกระทรวง โดยให้กำหนดผู้รับผิดชอบในภาพรวมและในแต่ละยุทธศาสตร์ชาติทั้ง ๖ ด้านด้วย ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการจัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดับชาติและระดับนานาชาติประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม วิชาชีพเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ พร้อมทั้งให้การสนับสนุนกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยจัดทำเป็นฐานข้อมูลด้วย นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานนำร่องในการดำเนินการให้การสนับสนุนผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่าง ๆ เช่น การให้ทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม แล้วรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และขาดการควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU) เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง สรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ที่ให้ดำเนินการเพื่อขยายความร่วมมือด้านการทำประมงร่วมกับประเทศต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เนการาบรูไนดารุสซาลาม ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ ๑.๒ ให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานในกิจการประมงทะเลและแรงงานในกิจการแปรรูปสัตว์น้ำ ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) หากพบปัญหาให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขเพื่อให้สามารถใช้การได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำน่านน้ำของเรือประมงให้มีความเหมาะสมโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อพิพาทกับต่างประเทศ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมได้เปิดการทดลองเดินเรือเฟอร์รี่เชื่อมอ่าวไทยตอนบน ระหว่างพัทยา-หัวหิน ไปแล้ว นั้น ให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการเดินเรือในเส้นทางดังกล่าวให้มีความปลอดภัยสูงสุด และเร่งรัดให้มีการนำเรือขนาดใหญ่มาใช้ในการเดินเรือ รวมทั้งให้พิจารณาเชิญชวนให้เอกชนรายใหม่มาร่วมดำเนินการเพื่อให้เกิดการแข่งขันในการให้บริการด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ โดยเน้นการทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการนำที่ดินว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร รวมทั้งให้เร่งรัดการจัดทำ “เกษตรประชารัฐ” ที่เน้นการทำการเกษตรที่มีสัญญาแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันที่เป็นธรรมระหว่างเกษตรกรและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมปลูกและดูแลรักษาป่า โดยอาจนำแนวทางประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการ เช่น การสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลรักษาป่าควบคู่ไปกับการเพาะปลูกไม้โตเร็ว การกำหนดมาตรการจูงใจเพื่อให้ภาคเอกชนสนับสนุนการปลูกและดูแลรักษาป่าของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าที่เสื่อมสภาพ เช่น เขาหัวโล้น ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาในแต่ละระดับให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีข้างหน้า เช่น การเน้นการจัดการสะเต็มศึกษา (Science Technology Engineering and Mathematics Education : STEM Education) และความรู้ด้านภาษาอังกฤษ การปรับปรุงแบบเรียนและแบบทดสอบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันโดยเพิ่มเรื่องจริยธรรมอยู่ในแบบทดสอบ การให้ครูผู้สอนที่มีศักยภาพถ่ายทอดความรู้ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสร้างสื่อการเรียนการสอนนำไปเผยแพร่ในโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล การพัฒนาระบบประเมินผลคุณภาพการศึกษาให้เทียบเท่าระดับสากล รวมทั้งการจัดทำเส้นทางการศึกษา (Education Path) เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นข้อมูลในการเลือกเส้นทางการศึกษาที่เหมาะสมกับตนเอง ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการจัดกลุ่มโรงเรียนสอนศาสนา เช่น โรงเรียนตาดีกา โรงเรียนปอเนาะ ให้เป็นระบบและครบถ้วนเพื่อให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณสนับสนุนแก่กลุ่มโรงเรียนดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมและนำไปสู่การจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของการสอนศาสนาและวิชาสามัญ ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ประสบอุทกภัยและทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและความเสียหายจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ ได้เร่งรัดดำเนินการให้การช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว นั้น เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันและการกำหนดมาตรการป้องกันในอนาคตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๔.๑.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับผิดชอบการกำกับดูแลการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนตามความเร่งด่วนของสถานการณ์ การเตรียมการฟื้นฟูหลังน้ำลด และการกำหนดแนวทางการป้องกันอุทกภัยในอนาคต โดยมีเป้าหมายเพื่อมิให้น้ำท่วมชุมชน สถานที่ราชการ และเส้นทางคมนาคม ๔.๑.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับผิดชอบการกำกับดูแลการรับบริจาคสิ่งของจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงด้วย ๔.๑.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชน เช่น การซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย พร้อมทั้งสำรวจผังเมืองในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยที่มีลักษณะเป็นการกีดขวางทางระบายน้ำ ขุดลอกคูคลอง รวมทั้งเร่งรัดกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาผังเมืองเพื่อมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอีกในอนาคต และประสานให้กรุงเทพมหานครเตรียมมาตรการรองรับน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานครที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ๔.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมสำรวจเส้นทางคมนาคมที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ เช่น ถนนเพชรเกษม โดยเร่งรัดการซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่ได้รับความเสียหายเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ในการสัญจร รวมทั้งให้พิจารณาดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในอนาคต เช่น การปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงเส้นทางคมนาคมที่กีดขวางทางระบายน้ำ การสร้างช่องทางระบายน้ำ (Box Culvert) โดยให้ดำเนินการในพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ก่อนเป็นลำดับแรก ๔.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้สำนักงาน ก.พ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการให้ทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งใน (ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก) และต่างประเทศร่วมกันบูรณาการการจัดสรรทุนการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน นั้น ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับทุนการศึกษาในสาขาที่ตอบสนองต่อความต้องการของประเทศ เช่น สาขาที่สอดคล้องกับ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ สาขาที่สอดคล้องกับการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ (ประเทศไทย ๔.๐) ให้พิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการในการจูงใจให้ผู้ได้รับทุนการศึกษากลับไปทำงานในส่วนราชการหรือในภูมิลำเนาของตน โดยไม่โยกย้ายไปอยู่ส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนน | มท | 22/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะนโยบายการคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตอย่างปลอดภัยบนท้องถนนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนได้จัดซื้อเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จำนวน ๒,๙๓๐ เครื่อง เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน รวมทั้งให้นำนโยบาย “ประชารัฐ” เป็นแนวทางในการสร้างความตระหนักจิตสำนึกและวัฒนธรรมความปลอดภัยให้กับประชาชน และมีการจัดเก็บข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนน โดยบูรณาการข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน ๓ ฐาน ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดทำแผนงานในภารกิจหลักของหน่วยงานระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ให้ดำเนินการโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง (SEP for SDGs) กรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และประเด็นการปฏิรูปของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้วย นั้น ในการจัดทำแผนงานดังกล่าวให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเพิ่มข้อมูลในประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย ๑.๑ วิสัยทัศน์ ๑.๒ วัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องสอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ และเป้าหมายประเทศไทย ๔.๐ ๑.๓ แหล่งที่มาของงบประมาณ เช่น งบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ เงินรายได้ การร่วมลงทุนกับภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ๑.๔ ผลผลิตและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นและสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับ ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง สรุปรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม) ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีความชัดเจน โดยควรระบุพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ราชการ และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐเมื่อเกิดน้ำท่วม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ที่ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เป็นหน่วยงานหลักจัดทำแผนการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยให้ครอบคลุมการจัดทำผังเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังรอการระบายเมื่อเกิดฝนตกหนัก ทั้งนี้ ให้นำเสนอแผนดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วน นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการและมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และให้รายงานแผนการบริหารจัดการน้ำและแผนการระบายน้ำต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 - 2564) | ปช | 11/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ ๒ มีเป้าหมายหลักที่จะยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตให้สูงกว่าร้อยละ ๕๐ ประกอบด้วย (๑) สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต (๒) ยกระดับเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต (๓) สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย (๔) พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก (๕) ปฏิรูปกลไกและกระบวนการการปราบปรามการทุจริต และ (๖) ยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย และให้หน่วยงานภาครัฐแปลงแนวทางและมาตรการตามยุทธศาสตร์ชาติฯ ไปสู่การปฏิบัติ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติราชการ ๔ ปี และแผนปฏิบัติราชการประจำปี ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ โดยให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการโดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติฯ และจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยการใช้กลไกการดำเนินการตามร่างยุทธศาสตร์ชาติฯ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและเครือข่ายระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เพื่อให้การดำเนินงานตามร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของรัฐบาล ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับกลไกการดำเนินการให้สอดคล้องกับกลไกการดำเนินงานของรัฐบาลที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งระดับชาติและระดับปฏิบัติการตามข้อเสนอของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้วย เช่น ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เป็นต้น และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือล่ม บริเวณหน้าวัดสนามไชย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๙ และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการและผู้ควบคุมเรือ รวมทั้งพิจารณาแก้ไข ปรับปรุง กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือในน่านน้ำไทยให้มีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล โดยเฉพาะการกำกับดูแลผู้ประกอบการและผู้ควบคุมเรืออย่างเคร่งครัด การปรับปรุงบทลงโทษให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการพิจารณาการออกใบอนุญาตให้กับเจ้าของเรือและผู้ควบคุมเรืออย่างเข้มงวด ตลอดจนการปลูกจิตสำนึกทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการ ผู้ควบคุมเรือ และประชาชนผู้ใช้บริการในการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดกรณีการเกิดอุบัติเหตุ การใช้ถนนของรถจักรยานยนต์และรถสาธารณะ การกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการชำระค่าปรับก่อนการขอต่อใบอนุญาตขับขี่และการชำระภาษีประจำปี รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกเรื่องการรักษาวินัยจราจรแก่ผู้ใช้รถและประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง ๓. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง สรุปรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงผ่านช่องทางต่าง ๆ ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำ ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ โดยระบุพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ราชการ และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐเมื่อเกิดน้ำท่วม นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวและนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๔. โดยที่ในขณะนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังมีปริมาณน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขื่อนลำตะคอง จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ดังกล่าว ให้มีปริมาณเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และการทำการเกษตรของประชาชนในพื้นที่ในช่วงระยะเวลาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | สรุปรายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม | กษ | 17/08/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์) และอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำน่านและยม ดังนี้ ๑.๑ รองอธิบดีกรมชลประทาน (นายทองเปลว กองจันทร์) รายงานว่า ในช่วงวันที่ ๑๓-๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ทำให้เกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะจังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน และจังหวัดพะเยา ทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสิริกิติ์ประมาณ ๓๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางในพื้นที่สามารถรองรับน้ำได้อีก ๓๙,๐๕๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๒ ทั้งนี้ น้ำจากจังหวัดแพร่จะไหลลงสู่จังหวัดสุโขทัยสูงสุดในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ แต่ระดับน้ำจะไม่ล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เนื่องจากกรมชลประทานได้กำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำรองรับไว้แล้ว รวมทั้งได้ลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ลงเพื่อให้แม่น้ำน่านรองรับปริมาณน้ำที่จะผันจากแม่น้ำยมก่อนที่จะเข้าเขตเมืองสุโขทัยได้อีกทางหนึ่ง และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ปลูกข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวในเขตอำเภอเมือง อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย และอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ๑.๒ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) รายงานว่า ๑.๒.๑ ในช่วงระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ทำให้เกิดฝนตกหนัก มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบรวม ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงราย จังหวัดตาก (สถานการณ์ในพื้นที่ได้คลี่คลายลงแล้ว) จังหวัดน่าน และจังหวัดพะเยา (ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง) ส่วนจังหวัดที่ต้องเตรียมรับสถานการณ์น้ำท่วม คือ จังหวัดสุโขทัย ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ รวม ๒ จังหวัด คือ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดน่าน ๑.๒.๒ กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น แจ้งเตือนข้อมูลไปยังจังหวัดและอำเภอเพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชน จัดเตรียมชุดเผชิญเหตุเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัด และชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและสื่อมวลชนโดยการให้ข้อเท็จจริงของเหตุการณ์เพื่อลดความตื่นตระหนก รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำให้มีความชัดเจน เข้าใจง่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์หรือชี้แจงผ่านช่องทางต่าง ๆ ให้ประชาชนทราบถึงสถานการณ์น้ำ ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ โดยควรระบุพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ราชการ และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐเมื่อเกิดน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. 2559) | ทก | 07/06/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติด ตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยผลการสำรวจความคิดเห็นฯ พบว่า ประชาชนร้อยละ ๖๐.๘ ระบุว่ายังมีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยมีสาเหตุเกิดจากการมีผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง รองลงมาคือปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งประชาชนร้อยละ ๕๘.๔ ระบุว่ามีปัญหา และปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ประชาชนร้อยละ ๓๒.๐ ระบุว่ามีปัญหา โดยพบว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุดในเรื่องการลักขโมย ปล้น จี้ ขณะที่ประชาชนเพียงร้อยละ ๘.๗ ระบุว่ามีปัญหายาเสพติดแพร่ระบาดในโรงเรียน/สถานศึกษา และประชาชนถึงร้อยละ ๘๒.๐ ระบุว่าไม่มีปัญหา นอกจากนี้ประชาชนให้ข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติดที่สำคัญ ๕ อันดับแรก คือ การปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (ร้อยละ ๖๑.๒) การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด (ร้อยละ ๕๓.๑) การให้ทหารช่วยดูแลปราบปรามอย่างจริงจัง (ร้อยละ ๑๖.๔) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด (ร้อยละ ๑๕.๙) และการลงโทษผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติดด้วยวิธีประหารชีวิต (ร้อยละ ๑๔.๙)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | ผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก ค.ศ. 2016 (United Nations General Assembly Special Session 2016 - UNGASS 2016) และการเสนอวิดีทัศน์สรุปผลการประชุมฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | ยธ | 10/05/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลกหรือ UNGASS 2016 ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมใหญ่ของหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศระดับสูงที่กำกับดูแลงานด้านยาเสพติด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่าไทยไม่เห็นด้วยกับการทำยาเสพติดให้ถูกกฎหมาย และการลดทอนความเป็นอาชญากรรมโดยเฉพาะผู้กระทำผิดรายสำคัญ พร้อมทั้งสนับสนุนการนำแนวปฏิบัติสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาทางเลือกไปใช้โดยบูรณาการเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกช่วยกันสกัดกั้นสารตั้งต้นเข้าสู่แหล่งผลิตโดยดำเนินการตาม “แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย” และแสดงความพร้อมของไทยที่จะทำงานร่วมกับนานาประเทศบนพื้นฐานของการแบ่งปันความรับผิดชอบและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันและเชิญประเทศที่มีศักยภาพสนับสนุนการแก้ไขปัญหายาเสพติด ๑.๒ การประชุมโต๊ะกลม ประกอบด้วยหัวข้อหลัก คือ ยาเสพติดและสุขภาพ ยาเสพติดและอาชญากรรม ยาเสพติดและสิทธิมนุษยชน ยาเสพติดและความท้าทายใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเลือก โดยแนวโน้มการแก้ไขปัญหายาเสพติดจะยึดมุมมองทางสาธารณสุขมากขึ้นควบคู่ไปกับการป้องกันและปราบปราม สอดคล้องกับทิศทางการแก้ไขกฎหมายในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอย่างครอบคลุมทั้งสตรี เด็ก และเยาวชน เน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การติดตามและเฝ้าระวังวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทชนิดใหม่ ๆ ทั้งนี้ ประเทศและองค์การระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ได้ยกย่องให้ไทยเป็นผู้นำในเรื่องการพัฒนาทางเลือกและนำตัวแบบไปใช้ในการทำงาน ๑.๓ การประชุมทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านยาเสพติดได้มีการหารือกับ UNODC ร่วมกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อินเดีย เวียดนาม จีน ลาว เมียนมา และออสเตรเลีย โดยได้ผลักดันความร่วมมือในการควบคุมเคมีภัณฑ์กับอินเดีย แลกเปลี่ยนมุมมองในการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดกับออสเตรเลีย ส่งเสริมความร่วมมือด้านยาเสพติดและความร่วมมือตามแนวพรมแดนและการเหย้าเยือนระดับสูงระหว่างลาว เมียนมา และเวียดนาม และได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ๑.๔ การจัดกิจกรรมคู่ขนาน ๔ กิจกรรม ได้แก่ (๑) ร่วมกล่าวถ้อยแถลงกับประเทศภาคีสมาชิกกรอบความร่วมมือ ๗ ฝ่ายว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงร่วมกับจีน เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (The United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เพื่อประชาสัมพันธ์ความสำเร็จความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (๒) ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและนโยบายการแก้ไขปัญหาสารเสพติดชนิดกระตุ้นประสาทกับนักวิชาการต่างประเทศ (๓) ผลักดันความเชื่อมโยงงานพัฒนาทางเลือกกับวาระของโลกเรื่องเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ (๔) ผลักดันแนวทางการพัฒนาทางเลือกให้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการแก้ไขปัญหายาเสพติดในระยะยาว ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประสานความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในการจัดทำ Road Map เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/04/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหลักในการปราบปรามการลักลอบนำสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี เช่น กากถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม หรือสินค้าที่ผิดกฎหมาย เข้าประเทศตามแนวชายแดน รวมทั้งดำเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางการป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าดังกล่าวด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ ให้กระทรวงยุติธรรมพิจารณากำหนดให้มีกลไกในลักษณะคณะทำงานหรือกลุ่มงาน ประกอบด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและมีศักยภาพเพื่อทำหน้าที่ติดตามคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยเฉพาะในขั้นตอนการดำเนินการของพนักงานสอบสวน เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ๒.๒ ตามที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับการนำตัวผู้กระทำผิดกฎหมายที่หลบไปพำนักในต่างประเทศกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นั้น ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามข้อสั่งการข้างต้น และสร้างความเข้าใจแก่สังคมว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการร่วมดำเนินการให้ “ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งธรรมมาภิบาล” โดยให้การปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล นั้น ให้ทุกส่วนราชการเริ่มต้นปีแห่งธรรมาภิบาลตั้งแต่วันสงกรานต์ (วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป โดยให้ทุกส่วนราชการประกาศใช้หลักธรรมาภิบาลในการดำเนินภารกิจสำคัญของหน่วยงาน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี ๒๕๕๙ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการตามแผนอำนวยความสะดวก โดยให้วิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งแนวทางที่จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนให้คณะรัฐมนตรีทราบภายหลังเทศกาลสงกรานต์ด้วย ๓.๓ ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีแนวทางในการให้ความช่วยเหลือดูแลครอบครัวของผู้ต้องขังให้มีความเหมาะสมตามหลักมนุษยธรรม และพัฒนาปรับปรุงกระบวนการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวแล้วสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ ๓.๔ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลความคืบหน้าการปฏิรูปการศึกษาในด้านต่าง ๆ เช่น ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครูและเด็กนักเรียน ประโยชน์ที่จะได้รับจากการประเมินผลการศึกษารูปแบบใหม่ เสนอต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งนำเสนอผลความคืบหน้าในลักษณะที่เข้าใจง่ายเพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (สิงหาคม พ.ศ. 2558) | ทก | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดตามยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนซึ่งเป็นการสำรวจภายหลังการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปี ๒๕๕๘ มาแล้ว ๑๑ เดือน (ตุลาคม ๒๕๕๗-สิงหาคม ๒๕๕๘) ผลการสำรวจความคิดเห็นพบว่า ในพื้นที่ภาค ๙ (ภาคใต้) มีปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด ปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด อยู่ในระดับที่มากที่สุด ส่วนปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในโรงเรียน/สถานศึกษา พบว่า ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาค ๙ อยู่ในระดับที่สูงกว่าภาคอื่น ๆ ในด้านความพึงพอใจต่อผลการทำงานของรัฐบาล พบว่า ประชาชนร้อยละ ๗๒.๘ มีความพึงพอใจมากที่สุดต่อผลการทำงานของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และร้อยละ ๙๙.๘ มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้แก่ การปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด การจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างจิตสำนึก และการจัดตั้งเวรยาม/จุดตรวจเฝ้าระวัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/05/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flight) จากเมืองสำคัญในประเทศต่าง ๆ มายังประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความพร้อมและขึ้นทะเบียนสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตและการสนับสนุนปัจจัยการผลิตผ่านการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรที่มีความพร้อมและมีความเข้มแข็ง รวมทั้งกำหนดแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์การเกษตรที่ยังไม่มีความพร้อม ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำหนดรูปแบบและวิธีการในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย ลำดับชั้นกฎหมาย ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเหตุผลความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในอุทยาน เช่น การทุจริตการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน การเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่อุทยาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการพิจารณาจัดทำแผนเตรียมการรองรับภัยพิบัติในเมืองใหญ่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อจะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามแผนดังกล่าว ทั้งนี้ แผนดังกล่าวควรบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไปด้วย ๓.๓ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการรองรับน้ำฝนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น การขุดสระรองรับน้ำในบริเวณที่ฝนตกแล้วจัดทำทางส่งน้ำไปยังแหล่งกักเก็บน้ำใกล้เคียง รวมทั้งวางแผนการส่งน้ำให้แก่ประชาชนรอบ ๆ แหล่งน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ๓.๔ โครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะต้องผ่านการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งหากการจัดทำรายงานดังกล่าวล่าช้าก็จะทำให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ ล่าช้าออกไป และอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรับไปพิจารณาแนวทางดำเนินการเร่งรัดขั้นตอนการพิจารณารายงานดังกล่าวให้เร็วขึ้น ๓.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดโครงการศึกษาดูงานในต่างประเทศสำหรับเกษตรกรระดับรากหญ้าเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาด้านการตลาด การผลิต และการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร เป็นต้น ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานคร และส่วนราชการที่มีพื้นที่สาธารณะปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น รวมทั้งให้ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เป็นต้น ให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมสันทนาการของประชาชนด้วย ๓.๗ ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) เร่งรัดการก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกบริเวณสี่เสาเทเวศร์ เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมขนาดใหญ่และศูนย์แสดงสินค้า โดยให้ศึกษารูปแบบและแนวทางการใช้ประโยชน์จากศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ของต่างประเทศที่มีความสวยงามและทันสมัย ทั้งนี้ ต้องแสดงถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของไทยด้วย ๓.๘ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนด และในส่วนของการให้บริการของศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) และศูนย์ดำรงธรรมจะต้องคำนึงถึงการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างกัน รวมทั้งกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการด้วย ๓.๙ ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ขับขี่รถจักรยานประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดช่องทางเดินรถจักรยาน โดยเร่งดำเนินการในพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุเป็นลำดับแรก และขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้อีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | รายงานความก้าวหน้าการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี 2556 | กษ | 03/09/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสถานการณ์และผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ โดยสถานการณ์ผลไม้ ปี ๒๕๕๖ พบว่า ผลไม้ในฤดูกาลมีการกระจุกตัวและออกสู่ตลาดมากในระยะเวลาอันสั้น จำเป็นต้องเตรียมการรองรับในการป้องกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรหากราคาผลผลิตตกต่ำ อีกทั้งปริมาณผลผลิตมากเกินกว่าที่กลไกตลาดปกติสามารถรองรับและกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่ได้ทันเวลา ซึ่งจากปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ได้เตรียมการและดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดกรอบแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ เพื่อใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่ โดยให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการและกำกับดูแลการป้องกันและแก้ไขปัญหาของจังหวัดเป็นอันดับแรก โดยไม่แทรกแซงระบบกลไกตลาดปกติ ๑.๒ เสนอโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ ปี ๒๕๕๖ เพื่อช่วยสนับสนุนระบบกลไกตลาดการดำเนินการของจังหวัด โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร รวม ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคตะวันออก ปี ๒๕๕๖ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาลิ้นจี่ ปี ๒๕๕๖ โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาลำไย ปี ๒๕๕๖ และโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาผลไม้ภาคใต้ ปี ๒๕๕๖ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการทบทวนมาตรการต่าง ๆ อย่างครบวงจร เพื่อให้เป็นการพัฒนาระบบการเกษตรอย่างยั่งยืน เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการวางแผน การผลิต การส่งเสริมและจำหน่าย และเห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานภายใต้โครงการบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับสินค้าการเกษตรที่สำคัญ (Zoning) ตามยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่และสินค้าเกษตรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจให้ได้สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและปริมาณสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งพิจารณาวางแนวทางการบริหารจัดการผลไม้ให้เป็นระบบในระยะยาว โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่และความเป็นไปได้ในการกำหนด Zoning ผลไม้ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัย การเชื่อมโยงผลผลิตกับความต้องการบริโภคในประเทศและต่างประเทศ และความต้องการของโรงงานแปรรูป ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการในระยะสั้น เพื่อดูแลรักษาเสถียรภาพราคาผลไม้อย่างยั่งยืนและต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มีนาคม พ.ศ. 2556) | ทก | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดในพื้นที่เป้าหมาย (มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ร้อยละ ๖๕.๓ ระบุว่ามีปัญหายาเสพติด ในจำนวนนี้เห็นว่ามีปัญหารุนแรงที่สุดร้อยละ ๑.๔ รุนแรงร้อยละ ๖.๕ และค่อนข้างรุนแรงร้อยละ ๑๒.๓ โดยปัญหายาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง-รุนแรงที่สุดพบในกรุงเทพมหานครมากกว่าภาคอื่นร้อยละ ๑๘.๕ ๒. การแพร่ระบาดยาเสพติดในปัจจุบัน (เดือนมีนาคม ๒๕๕๖) เทียบกับช่วงก่อนเดือนกันยายน ๒๕๕๕ พบว่า ปัญหาลดลงร้อยละ ๔๐.๖ เท่าเดิมร้อยละ ๔๗.๗ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้นมีร้อยละ ๑๑.๗ ในจำนวนนี้เห็นว่าสาเหตุเกิดจากการเพิ่มขึ้นของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด และการไม่ปราบปรามอย่างจริงจัง ๓. ปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ร้อยละ ๔๑.๑ ระบุว่ามีปัญหา ในจำนวนนี้เห็นว่ามีปัญหารุนแรงที่สุดร้อยละ ๐.๙ รุนแรงร้อยละ ๔.๗ และค่อนข้างรุนแรงร้อยละ ๙.๕ โดยปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง-รุนแรงที่สุดพบในกรุงเทพมหานครมากกว่าภาคอื่นร้อยละ ๑๖.๕ ๔. ปัญหาด้านผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดในปัจจุบัน (เดือนมีนาคม ๒๕๕๖) เทียบกับช่วงก่อนเดือนกันยายน ๒๕๕๕ พบว่า มีปัญหาลดลงร้อยละ ๓๐.๘ และเท่าเดิมร้อยละ ๕๓.๒ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้นมีร้อยละ ๑๖.๐ โดยปัญหาผู้ค้า/ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ในเรื่องการลักขโมย ปล้น จี้ มากที่สุด ร้อยละ ๖๔.๑ รองลงมา ได้แก่ สุขภาพจิตเสียจากความหวาดกลัวร้อยละ ๒๙.๗ ผู้มีอิทธิพลร้อยละ ๒๘.๐ และการทำร้ายร่างกายร้อยละ ๑๖.๑ เป็นต้น ๕. ปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ร้อยละ ๖๑.๒ ระบุว่ามีปัญหา ในจำนวนนี้เห็นว่ามีปัญหารุนแรงที่สุดร้อยละ ๑.๕ รุนแรงร้อยละ ๕.๖ และค่อนข้างรุนแรงร้อยละ ๑๑.๗ โดยปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง-รุนแรงที่สุดพบในภาค ๘ มากกว่าภาคอื่นร้อยละ ๑๗.๒ ๖. ปัญหาด้านผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในปัจจุบัน (เดือนมีนาคม ๒๕๕๖) เทียบกับช่วงก่อนเดือนกันยายน ๒๕๕๕ พบว่ามีปัญหาลดลงร้อยละ ๔๑.๔ และเท่าเดิมร้อยละ ๔๒.๕ ส่วนผู้ที่เห็นว่าเพิ่มขึ้นมีร้อยละ ๑๖.๑ โดยปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ในเรื่องการลักขโมย ปล้น จี้ มากที่สุดร้อยละ ๗๔.๕ รองลงมา ได้แก่ แก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่งร้อยละ ๓๓.๓ คนเมายาอาละวาดร้อยละ ๑๖.๖ และการทำร้ายร่างกาย ร้อยละ ๑๔.๗ เป็นต้น ๗. ประชาชนร้อยละ ๕๘.๑ ระบุว่าในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ มีโรงเรียน/สถานศึกษา ในจำนวนนี้เห็นว่ามีปัญหาการแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดร้อยละ ๐.๓ รุนแรงร้อยละ ๑.๓ และค่อนข้างรุนแรงร้อยละ ๒.๕ โดยการแพร่ระบาดยาเสพติดในโรงเรียน/สถานศึกษาที่มีปัญหารุนแรง-รุนแรงที่สุดพบในภาค ๙ มากกว่าภาคอื่นร้อยละ ๕.๓ ๘. การหาซื้อยาเสพติด พบว่าประชาชนร้อยละ ๑๘.๐ ระบุว่าหาซื้อได้ง่าย ส่วนที่หาซื้อไม่ได้ และหาซื้อยาก มีร้อยละ ๒๗.๔ และร้อยละ ๑๐.๔ ตามลำดับ ขณะที่มีร้อยละ ๔๔.๒ ที่ไม่แน่ใจ/ไม่ทราบ โดยการหาซื้อยาเสพติดได้ง่ายพบในกรุงเทพมหานคร และภาค ๙ มากกว่าภาคอื่น คือ ประมาณร้อยละ ๓๓.๐ ๙. ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ร้อยละ ๑๒.๑ ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปสนับสนุน/กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และร้อยละ ๕๒.๐ ระบุว่าไม่มี โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปสนับสนุน/กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในระดับมาก-มากที่สุดพบในกรุงเทพมหานครมากกว่าภาคอื่นร้อยละ ๖.๕ ๑๐. ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ สูงถึงร้อยละ ๙๙.๑ ระบุว่ามีความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาล ในจำนวนนี้มีความพึงพอใจมากที่สุดร้อยละ ๑๔.๗ มากร้อยละ ๒๒.๗ และค่อนข้างมากร้อยละ ๕๓.๕ ขณะที่ผู้มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อยและน้อยมีร้อยละ ๖.๙ และ ๑.๓ ตามลำดับ ๑๑. ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน/หมู่บ้านเป้าหมายฯ ร้อยละ ๘๔.๒ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการป้องกัน/แก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรม ได้แก่ การปราบปรามอย่างจริงจัง/ต่อเนื่องร้อยละ ๖๑.๔ การใช้กฎหมายลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาดร้อยละ ๔๗.๙ และการประชาสัมพันธ์/เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดร้อยละ ๑๘.๐ เป็นต้น
|
.....