ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) | ทก | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาในคราวเดียวกันด้วย สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ เพิ่มเติมให้ครบตามจำนวน ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องปรับแผนจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้วไปดำเนินการ รวมทั้งดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย และที่ดเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอเพิ่มเติมว่า การเสนอเรื่องของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติในหลักการไว้แล้ว และสอดคล้องกับความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบในรายละเอียดการดำเนินการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอได้ ๒. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ๒.๒ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้นักเรียน และครูผู้สอน รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ สำรองกรณีจำเป็น ของโรงเรียนในสังกัดส่วนราชการต่าง ๆ รวมจำนวนประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินงบประมาณ ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ และวงเงินงบประมาณที่จะจัดซื้อจะสูงกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติไว้แล้ว ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และงบประมาณเพื่อจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ได้ตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ใหม่ สำหรับการจัดหาดังกล่าวให้รวมกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เพิ่มเติมจากหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) ๒.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา) เฉพาะการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ลงนามความตกลง/สัญญาซื้อขายเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาตรวจสอบแล้วกับบริษัทจีนที่ได้รับคัดเลือก โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒.๔ เห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผูกพันสัญญาฯ ได้ตามวงเงินงบประมาณที่ส่วนราชการได้ดำเนินการโอนเบิกจ่ายแทนกันให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรียบร้อยแล้ว สำหรับเงินงบประมาณที่โอนมาภายหลังให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษแบบ Repeat Order ตามความเหมาะสมต่อไป ๓. ให้แก้ไขข้อความว่า “ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕” เป็น “ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
642 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
643 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. .... | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีสภาการสาธารณสุขชุมชนเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษาวิจัยและการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน การควบคุมกำกับและกำหนดมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และการควบคุมดูแลความประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน การช่วยเหลือ แนะนำและเผยแพร่ในเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณสุขชุมชน และการให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมและผดุงรักษาไว้ซึ่งความสามัคคี สิทธิ ความเป็นธรรม และสวัสดิการของสมาชิกสภาสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งเป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน และกำหนดสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาการสาธารณสุขชุมชน ได้แก่ ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน แสดงความเห็นเป็นหนังสือเกี่ยวกับกิจการของสภาการสาธารณสุขชุมชนต่อคณะกรรมกรรสภาการสาธารณสุขชุมชน รวมทั้งเลือก รับเลือกตั้ง หรือรับแต่งตั้งเป็นกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและนายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองของคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ หรือหัวหน้าภาควิชาที่ผลิตบัณฑิตด้านการสาธารณสุขในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากสถาบันพระบรมราชชนกหนึ่งคน กรรมการซึ่งเป็นผู้แทนจากแพทยสภา สภาเภสัชกรรม และสภาการพยาบาล กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองของผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการซึ่งมาจากการเลือกกันเองขององค์กรเอกชนที่ดำเนินการโดยมิใช่เป็นการหาผลกำไรซึ่งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับคุ้มครองผู้บริโภค กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการซึ่งได้รับเลือกตั้งโดยสมาชิกสภาการสาธารณสุข ๑.๔ กำหนดกระบวนการกล่าวหาผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่ประพฤติผิดข้อจำกัด เงื่อนไข และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิในการกล่าวหา ได้แก่ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายเพราะการประพฤติผิดของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน บุคคลอื่น และกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน และให้บุคคลดังกล่าวยื่นหรือแจ้งเรื่องกล่าวหาต่อสภาการสาธารณสุขชุมชน ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชนมีอำนาจหน้าที่บริหารและดำเนินกิจการสภาการสาธารณสุขชุมชน แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ กำหนดแผนการดำเนินงานและงบประมาณของสภาการสาธารณสุขชุมชน และออกข้อบังคับสภาการสาธารณสุขชุมชนในเรื่องต่างๆ ๑.๖ กำหนดโทษอาญาสำหรับกรณีของบุคคลที่ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาการสาธารณสุขชุมชน กรณีของผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่ทำการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กรณีบุคคลที่สมาชิกภาพแห่งสภาการสาธารณสุขชุมชนสิ้นสุดลงแต่ไม่ส่งคืนใบอนุญาตต่อเลขาธิการสภาการสาธารณสุขชุมชน กรณีบุคคลที่ไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ และบุคคลที่ไม่มาให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสาร หรือวัตถุใด ๆ ตามที่คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณและคณะอนุกรรมการสอบสวนเรียกหรือแจ้งให้ส่ง ๑.๗ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสภาการสาธารณสุขชุมชน คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขชุมชน และการประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้แก้ไขร่างมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. .... โดยเพิ่มความวรรคสองเป็น “เงินอุดหนุนตาม (๑) ให้เสนอตั้งไว้ตามความจำเป็นในงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข” ตามความเห็นของผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
644 | สรุปผลการดำเนินการโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ | มท | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานโครงการปีแห่งการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการได้ก่อให้เกิดการรับรู้และตื่นตัวในเรื่องของการสวมหมวกนิรภัย มีการบังคับใช้กฎหมาย ว่ากล่าวตักเตือนและจับปรับ เพิ่มขึ้นมา ๓ เท่า (เพิ่มจาก ๘๕๐,๐๖๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๒,๗๐๗,๔๔๐ ราย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔) และผลจากการสำรวจการสวมหมวกนิรภัยทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวน ๑,๒๓๐,๑๙๗ คน พบว่า สัดส่วนการสวมหมวกนิรภัยในภาพรวมของประเทศเพิ่มสูงขึ้นเพียง ๒ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น โดยเพิ่มจาก ๔๔ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็น ๔๖ เปอร์เซ็นต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ แนวทางที่จะดำเนนการในระยะต่อไป ๑.๒.๑ ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อไปอีก ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) เพื่อให้มีการเพิ่มสัดส่วนของผู้สวมหมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเร่งรัดให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ในแต่ละปี ๑.๒.๒ ให้คณะอนุกรรมการด้านผู้ใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (เสาหลักที่ ๔ ตามแนวทางทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก พร้อมทั้งมีการติดตามกำกับ การรายงานความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคต่อศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ๑.๒.๓ รัฐบาลควรมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นและกลางคืน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อจำกัดในด้านบุคลากรและงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว ๑.๒.๔ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนประสานงานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลและตรวจจับหมวกนิรภัยที่ไม่ได้มาตรฐานในสถานประกอบการและในท้องตลาด รวมทั้งเร่งรัดและหามาตรการในการส่งเสริมมาตรฐานหมวกนิรภัยที่จะประกาศใช้ ให้มีกลไกที่เอื้อต่อการผลิตในราคาที่ถูก เช่น การใช้มาตรการด้านภาษี หรือการอุดหนุนผู้ประกอบการที่ผลิตหมวกนิรภัยที่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะหมวกนิรภัยสำหรับเด็ก ๑.๒.๕ ให้คณะอนุกรรมการด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการติดตามประเมินผลในคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตามสถานการณ์การบาดเจ็บศรีษะและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ (ที่ไม่สวมหมวกนิรภัย) พร้อมทั้งนำเสนอข้อมูลให้กับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเป็นประจำทุก ๒ เดือน ๑.๒.๖ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัด โดยเฉพาะในสถานประกอบการ สถานศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งกำหนดให้มีการนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย และข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านที่ประชุมจังหวัดทุกเดือน ๑.๒.๗ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนขยายความร่วมมือกับภาคีภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ หน่วยงาน องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการรณรงค์ประชาสัมภันธ์ในรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการรณรงค์ผ่านสื่อศิลปิน เพลง ภาพยนตร์ เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ เด็ก/เยาวชนเพิ่มมากขึ้น ๑.๒.๘ ให้กระทรวงคมนาคมวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้สภาพถนนและสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การออกแบบจุดกลับรถที่ปลอดภัยสำหรับรถจักรยานยนต์ เช่น การทำทางลอดใต้สะพาน การทำสะพานลอยรถจักรยานยนต์ การหาแนวทางการเพิ่มช่องทาง/เลนรถจักรยานยนต์ในถนนที่กำลังออกแบบใหม่ หรือถนนที่มีปริมาณรถจักรยานยนต์สัญจรเป็นจำนวนมาก โดยควรมีการจัดทำมาตรฐานช่องทางรถจักรยานยนต์และจัดโครงการถ่ายทอดความรู้ให้กับหน่วยงานด้านงานทางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อนำไปวางแผนให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และการสนับสนุนให้กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนเข้าร่วมในการรณรงค์ส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเล็งเห็นถึงความปลอดภัยที่จะได้รับจากการสวมหมวกนิรภัยโดยให้มีการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องทุก ๆ ปี และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังด้วย รวมทั้งเห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินผล วิเคราะห์สาเหตุและเสนอแนะมาตรการที่รัดกุม เพื่อให้ทราบถึงประเด็นปัญหาที่สำคัญที่ทำให้การรณรงค์ไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ และเพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบพร้อมทั้งตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติอันจะทำให้การณรงค์นั้นมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัย ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
645 | ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยแจ้งให้จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก เร่งดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง โดยให้มีการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ดังนี้
๑. ให้มีการบูรณาการแผนการทำงานทั้งระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และตามยุทธศาสตร์/มาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง ๒. ให้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันตระหนักในผลกระทบที่มีต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกายของประชาชน รวมถึงบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ๓. มีการกำหนดโซนให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและร่วมกันดูแลป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาป่าอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ๔. ให้ปรับแนวทางปฏิบัติโดยให้อำเภอประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนฉีดพ่นน้ำในพื้นที่บ้านเรือนและพื้นที่ปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ สวนหย่อม บริเวณทางลอด ทางร่วม ทางแยก และแหล่งก่อให้เกิดมลพิษทางด้านอากาศอื่น ๆ ๕. ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์หมอกควันต่อนายกรัฐมนตรีทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ๖. สำหรับการรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่าและหมอกควันในพื้นที่ และการรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของจังหวัด จังหวัดยังคงต้องรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบทุกวันจันทร์ของสัปดาห์เช่นเดิม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
646 | ข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย | พม | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย และให้คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) นำไปดำเนินการโดยประสานงานกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยข้อเสนอแนวทางการพัฒนางานอาสาสมัครไทย มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ส่งเสริมการเป็นอาสาสมัคร โดยการเสริมสร้างให้เกิดจิตสำนึกในการเป็นอาสาสมัครในทุกระดับ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนในสถาบันการศึกษา บุคลากรในหน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจและภาคเอกชน ให้มีกลไกความร่วมมือระหว่างองค์การอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว การเพิ่มจำนวนอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสาธารณภัย และในงานเฉพาะทาง เช่น การดูแลคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้รับบริการในสถานสงเคราะห์ การให้สวัสดิการ ส่งเสริมขวัญกำลังใจ และยกย่องให้เกียรติอาสาสมัครอย่างเท่าเทียมกัน เป็นระบบและครบวงจร ๑.๒ พัฒนาความรู้ความสามารถของอาสาสมัคร โดยการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดทำจริยธรรมในงานอาสาสมัคร การถอดบทเรียนค้นหาต้นแบบที่ดีในการทำงานอาสาสมัคร การจัดทำหลักสูตรอบรมอาสาสมัครและการบริหารจัดการงานอาสาสมัคร การจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม การส่งเสริมมาตรฐานการปฏิบัติงานของอาสาสมัคร การส่งเสริมงานวิจัยงานอาสาสมัคร รวมทั้งให้มีการจัดทำรายงานการประเมินมูลค่างานอาสาสมัครที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ๑.๓ พัฒนาองค์กรและบุคลากร โดยการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานอาสาสมัครและกับทุกภาคส่วน การส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาส่งเสริมงานอาสาสมัคร และให้มีแหล่งทุนที่เพียงพอ หรือจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ๑.๔ สร้างเครือข่าย โดยการส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกันของอาสาสมัครในทุกประเภทและทุกระดับ จัดตั้งศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด โดยให้มีกลไกการบริหารจัดการอาสาสมัครและมีรูปแบบคณะกรรมการในการบริหารจัดการที่ชัดเจน และให้มีผู้แทนอาสาสมัครเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกและเวทีการพัฒนาด้านต่าง ๆ ๑.๕ ส่งเสริมการสื่อสารและรณรงค์สาธารณะ โดยการพัฒนาระบบฐานข้อมูลอาสาสมัคร เพิ่มช่องทางการเผยแพร่และการสื่อสารข้อมูลกิจกรรมงานอาสาสมัครและระหว่างอาสาสมัครด้วยกันเอง และการส่งเสริมให้มีการสื่อสารเผยแพร่งานอาสาสมัครในสื่อกระแสหลัก ๑.๖ ส่งเสริมความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยพัฒนาความร่วมมือระหว่างอาสาสมัครไทยกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครในประเทศไทย การส่งเสริมให้คนไทยไปเป็นอาสาสมัครในต่างประเทศ สร้างกลไกความร่วมมือด้านอาสาสมัครระหว่างประเทศทั้งในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีอาเซียน ๒. สำหรับการจัดตั้งสถาบันการจัดการและการอบรมอาสาสมัครเพื่อสังคม ศูนย์อาสาสมัครแห่งชาติและจังหวัด และการจัดตั้งกองทุนในการสนับสนุนการดำเนินงานอาสาสมัคร ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านอาสาสมัคร ควรเป็นการทำงานในภาพกว้าง โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต้องมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่แล้ว และเป็นการเสริมงานในภาพกว้างที่แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการอยู่แล้วให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
647 | แผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ และให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและเป็นเจ้าภาพร่วมในการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยแผนงานส่งเสริมการปกครองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักเกิดแรงบันดาลใจ จิตสำนึก และร่วมกันในการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และเกิดความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข ปรองดองและสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑. เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกหวงแหนความเป็นชาติในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ๑.๑ จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจไปสู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ๑.๒ ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรการฝึกอบรมประชุมสัมมนาในทุกระดับที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐจัดขึ้น ๒. การสร้างความตระหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในด้านต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในชาติมีความตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย โดยจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ๒.๑ ร่วมเผยแพร่และสร้างความตระหนักให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัด ๒.๒ ส่งเสริมและขยายผลการดำเนินการตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๒.๓ ให้มีศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกอำเภอเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเกิดความตระหนักในคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในทุกพื้นที่ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
648 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน จำแนกตามช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวน ๑๗,๓๕๙ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๒๙๙ เรื่อง โดยมีประเด็นเรื่องที่ร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ ขอความช่วยเหลือกรณีประสบอุทกภัย รองลงมาคือ ขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า กับการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของหน่วยงาน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๔,๖๑๙ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ยาเสพติดและบ่อนการพนัน และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ) รองลงมาคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีขอความอนุเคราะห์นำเข้าเส้นไหม และลดภาษีการนำเข้าเส้นไหม กับแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ การแก้ไขปัญหาและแนวทางป้องกันปัญหาอุทกภัย) และกระทรวงการคลัง (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ กรณีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กับขอให้แก้ปัญหาหนี้สินในระบบและนอกระบบ) ๑.๔ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้ขยายเขตการให้บริการไฟฟ้า และติดตั้งระบบจำหน่ายกระแสไฟฟ้า กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง) รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอให้พิจารณาเพิ่มจำนวนและขยายเส้นทางเดินรถโดยสารประจำทาง กับการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของพนักงาน) และการประปาส่วนภูมิภาค (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาน้ำประปาไม่ไหล และคุณภาพน้ำประปา กับขอให้ตรวจสอบการเรียกเก็บค่าน้ำประปาสูงเกินจริง) ๑.๕ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในไตรมาสที่ ๑ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓,๒๕๕ เรื่อง โดย อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ การแจ้งเหตุเดือดร้อนรำคาญ กับขอให้แก้ไขปัญหาการวางจำหน่ายสินค้าบนบาทวิถี จัดเก็บขยะ กำจัดผักตบชวา และขอให้ขุดลอกท่อระบายน้ำเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง) รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดนนทบุรี (ประเด็นที่มีการร้องทุกข์มาก ได้แก่ ขอความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภค - บริโภค เพื่อการยังชีพ ขอให้เร่งระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัย กับขอให้พิจารณาเร่งการจ่ายเงินช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) ๒. รับทราบปัญหาความเดือดร้อนและข้อมูลความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาอุทกภัย ซึ่งมีประชาชนแสดงความคิดเห็นมายังศูนย์บริการประชาชน จำนวน ๑,๘๙๒ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ ขอให้พิจารณาเร่งรัดการจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ประสบอุทกภัยให้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และขอให้ขยายระยะเวลาการยื่นเรื่องขอรับความช่วยเหลือ ๒.๒ ขอให้พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานภาคครัวเรือนในพื้นที่ประสบอุทกภัย (โครงการสินค้าเบอร์ ๕ ช่วยเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย) โดยเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เพิ่มปริมาณสินค้า และขยายระยะเวลาการใช้คูปองมูลค่า ๒,๐๐๐ บาท เพื่อนำไปใช้แทนเงินสดเป็นส่วนลดในการซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ที่ได้รับฉลากประสิทธิภาพสูง ๒.๓ ขอให้ผ่อนผันการชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับประชาชนและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม และขอให้ลดค่าไฟฟ้า น้ำประปา ๒.๔ ขอให้พิจารณาเร่งจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกรที่พืชผลทางการเกษตร พื้นที่ทำการเกษตรได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย กับให้มีมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ๒.๕ ขอให้สร้างคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ประสบอุทกภัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
649 | แผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2555 - 2559 | ทส | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้ทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการจัดการมลพิษของประเทศไทยในอีก ๕ ปีข้างหน้า และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ลดและควบคุมการระบายมลพิษอันเนื่องมาจากชุมชนเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ยานพาหนะ และการคมนาคมขนส่ง โดยให้มีการจัดการมลพิษตั้งแต่ต้นทาง ระหว่างทาง จนถึงปลายทาง และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การกำกับ ติดตาม ส่งเสริม และสนับสนุนให้แหล่งกำเนิดมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งดำเนินการเปิดเผยและเข้าถึงข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษและผลกระทบที่เกิดขึ้น ๑.๒ จัดการมลพิษในระบบพื้นที่ตามลำดับความสำคัญของปัญหา เช่น พื้นที่ลุ่มน้ำในการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในพื้นที่วิกฤต กลุ่มจังหวัดที่ประสบปัญหาหมอกควันและไฟป่าเขตควบคุมมลพิษ พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ พื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ พื้นที่ที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น ๑.๓ สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินงานจัดการน้ำเสีย ขยะมูลฝอย มูลฝอยติดเชื้อและของเสียอันตรายชุมชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการจัดการขยะอันตรายและสารอันตรายอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งจัดให้มีระบบป้องกันและเตรียมความพร้อมรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติภัย และการคมนาคมขนส่งที่ก่อให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมีหรือสารอันตรายต่าง ๆ ๑.๔ ประยุกต์ใช้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย (Polluter Pays Principle, PPP) การวางหลักประกันและการชดเชยค่าเสียหายจากการแพร่กระจายมลพิษ การนำมาตรการทางเศรษฐศาสตร์และสังคมเป็นแรงจูงใจทางบวกเพื่อส่งเสริมการลดมลพิษหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตที่ปราศจากมลพิษ การสนับสนุนการผลิตและการบริการ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ๑.๕ พัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษให้เกิดเป็นเอกภาพทั้งทางด้านกฎหมาย กฎระเบียบ แผน และแนวทางปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน โดยประสานความร่วมมือในการจัดการมลพิษทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ๑.๖ ส่งเสริมให้ภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา โดยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และเข้ามาร่วมดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการจัดการมลพิษภายใต้แผนจัดการมลพิษบางแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนงานฯ อาจไม่สามารถดำเนินการเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของแผนงานที่ได้ตั้งไว้ และเห็นควรเพิ่มประเด็นสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศทั้งในภาพรวมและรายภาคผลิตที่สำคัญ ๆ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีความสำคัญและมีการติดตามสถานการณ์กันมากขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเชื่อมโยงกับการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันและมีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต รวมทั้งเพิ่มเติมประเด็นและแนวทางการจัดการมลพิษทางทัศนียภาพ หรือปัญหามลทัศน์ (Visual Pollution) ซึ่งมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาความเป็นเมืองซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ภูมิทัศน์เมืองขาดความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจนถึงระบบนิเวศน์ของพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเริ่มเก็บภาษีมลพิษหรือภาษีสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อให้เกิดมลพิษ และใช้เป็นมาตรการในการเพิ่มรายรับของประเทศเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วยว่า แผนจัดการมลพิษควรดำเนินการจัดทำให้ครอบคลุมถึงการเตรียมการป้องกันก่อนเกิดเหตุ รวมทั้งการจัดการมลพิษบางประเภท เช่น หมอกควันและขยะมีพิษ เป็นต้น ควรต้องมีการประสานงานและขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหากับต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า นอกเหนือจากแผนจัดการมลพิษดังกล่าวแล้ว ควรมีแผนจัดการมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาให้ครอบคลุมถึงมาตรการทางกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
650 | สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจาก กฟย. | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการพิจารณาทบทวนแผนงาน/โครงการฟื้นฟู เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกไม่ดำเนินการโครงการที่มีความซ้ำซ้อน ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นภารกิจปกติของหน่วยงานในงานทางที่มีวงเงินสูงและเป็นลักษณะปรับปรุงขนาดใหญ่ จำนวน ๓,๘๘๖.๐๘๓๒ ล้านบาท ๒. โครงการที่เห็นควรนำไปเสนอเพื่อใช้เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๗,๘๔๔.๒๒๖๙ ล้านบาท ได้แก่ โครงการลักษณะก่อสร้างใหม่ หรือปรับปรุงให้มีสถานะดีขึ้น และโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาลักษณะยั่งยืน ๓. โครงการที่เห็นควรใช้จากโครงการช่วยเหลือฟื้นฟูความเสียหายจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และสาธารณภัย วงเงิน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ตั้งงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๑,๕๗๑.๔๗๕๓ ล้านบาท ได้แก่ โครงการที่ดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. โครงการที่ขอให้จังหวัดพิจารณาทบทวน วงเงิน ๕,๐๒๐.๐๔๒๒ ล้านบาท ได้แก่ งานด้านน้ำที่มีลักษณะดำเนินการเป็นจุด ๆ ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบายน้ำในภาพรวมของลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำย่อย และโครงการที่มีลักษณะดำเนินการในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
651 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 3/2555 | นร | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีตามผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ จังหวัดภูเก็ต และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม และรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๘ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ โครงการขยายถนนฝั่งอันดามัน (ทางหลวงหมายเลข ๔) ให้เป็นถนน ๔ ช่องทางจราจรทั้งระบบ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเร่งรัดดำเนินการโครงการดังกล่าว ตั้งแต่แยกปฐมพร จังหวัดชุมพร - ระนอง - พังงา - ตรัง เชื่อมทางหลวงหมายเลข ๔๐๔ - หมายเลข ๔๑๖ และหมายเลข ๔๑๘๔ - ด่านวังประจัน จังหวัดสตูล โดยให้ยึดเส้นทางเพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคำนึงถึงหลักความปลอดภัยในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและประชาชน ๒.๑.๒ โครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการพัฒนาเร่งรัดระบบโครงการรถไฟทางคู่ภาคใต้ (เส้นทางกรุงเทพฯ - ชุมพร - สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์) ให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาระบบรางและรถไฟความเร็วสูงที่กระทรวงคมนาคมได้ศึกษาไว้ รวมทั้งเร่งรัดการดำเนินการตามแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๒.๑.๓ โครงการ “ทางรถไฟสายอันดามัน” ที่ประชุมมีมติให้ สทท. ศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายละเอียดของโครงการทั้งปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารและสินค้า ความคุ้มค่าในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๔ การศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ในการพัฒนาสนามบินในกลุ่มพื้นที่อันดามัน (สนามบินนานาชาติภูเก็ต สนามบินกระบี่ และสนามบินตรัง) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อศึกษาแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยานทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาความแออัดและการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร การจัดเตรียมอัตรากำลังของภาครัฐที่เหมาะสม การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของท่าอากาศยาน รวมทั้งการบริหารจัดการของท่าอากาศยาน และความเป็นไปได้ในการจัดจ้างหน่วยงานภายนอกมาให้บริการ โดยให้ สทท. จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการดำเนินงานของคณะทำงานต่อไป ๒.๑.๕ การอำนวยพิธีการตรวจคนเข้าเมือง เข้า - ออก ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) ซึ่งมีมติให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และ สทท. แก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพิจารณาภาพรวมการปรับปรุงการให้บริการ ณ จุดตรวจคนเข้าเมือง โดยพิจารณารูปแบบ เทคโนโลยี และกำลังพลที่เหมาะสม และให้หารือกับกระทรวงคมนาคมในเรื่องความเพียงพอของพื้นที่กายภาพที่จะให้บริการ ๒.๑.๖ โครงการบ้านปลาเฉลิมพระเกียรติทะเลไทย (ปะการังเทียม) ฝั่งอันดามัน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการโครงการดังกล่าวและข้อเสนอของภาคเอกชนทั้งในเรื่องการกำหนดพื้นที่ เทคนิคการวางปะการัง งบประมาณที่เหมาะสม และการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒.๑.๗ การเร่งรัดดำเนินการ เรื่อง แนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔) เกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกใบอนุญาตและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมเร่งรัดการพิจารณาการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๒.๑.๘ กลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ปัญหาที่สามารถปฏิบัติและหวังผลได้ในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยการจัดตั้ง “คณะกรรมการการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวจังหวัดเชิงปฏิบัติการ” ทำหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของงานด้านต่าง ๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และเสนอโครงการต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ที่ประชุมมีมติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบของกลไกที่สามารถขับเคลื่อนการบูรณาการการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวม และระดับพื้นที่/กลุ่มจังหวัด ๒.๒ ข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๒.๑ การแก้ปัญหาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๒.๒.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับจังหวัดในการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอและคุณภาพการให้บริการ ๒.๒.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาความแออัดของสนามบินภูเก็ต การให้บริการ และการบริหารจัดการสนามบิน ๒.๒.๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดรับไปดำเนินการในเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียและกำจัดขยะ รวมทั้งเรื่องน้ำประปาไม่เพียงพอ ๒.๒.๒ การแก้ไขปัญหาหลอกลวงเอาเปรียบนักท่องเที่ยวและปัญหาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นคุกคามผู้ประกอบการ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาดำเนินการ โดยเร่งพัฒนายกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๒.๒.๓ การแก้ปัญหาการบุกรุกของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และคุณภาพของชายหาดและน้ำทะเลของชายหาดสาธารณะที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของกลุ่มจังหวัดอันดามัน ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพื้นที่ (จังหวัด ท้องถิ่น และสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว) ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาในการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ๒.๒.๔ การสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดอันดามันเพื่อตอบสนองแนวโน้มการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ โดยเห็นควรส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวทางทะเลในกลุ่มจังหวัดสามเหลี่ยมอันดามัน (ภูเก็ต - กระบี่ - พังงา) เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวระดับบน และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง ๒.๒.๕ การแก้ปัญหาพื้นที่ป่าชายเลนเริ่มเสื่อมโทรม ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันดำเนินกิจกรรมการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และมาตรการดูแลและป้องกันผลกระทบที่มีต่อพื้นที่ป่าชายเลนในพื้นที่ ๒.๓ เรื่องอื่นที่ ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ การเร่งรัดการขยายด่านศุลกากรสะเดา ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกระบวนการเจรจาความตกลงกับประชาชนและจ่ายค่าผลอาสินโดยเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาบริการของด่านศุลกากรสะเดาต่อไป ๒.๓.๒ การขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการใช้มาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๓.๓ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ โดยคำนึงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒.๓.๔ การจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้อย่างเต็มรูปแบบในระยะที่ ๒ ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
652 | การเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาการเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และเห็นว่า หากมีร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยทั่วไป ให้ส่วนราชการผู้รับผิดชอบหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้พิจารณาถึงความสอดคล้องกับแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
653 | หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ | กค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่กรมบัญชีกลาง โดยคณะกรรมการกำกับหลักเกณฑ์และตรวจสอบราคากลางงานก่อสร้าง คณะอนุกรรมการกำกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง คณะทำงานจัดทำและปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง และหน่วยงานหลักด้านการก่อสร้าง (กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และกรมชลประทาน) ได้ดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขึ้นใหม่ทั้งระบบ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างอาคาร หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างทาง สะพาน และท่อเหลี่ยม หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างชลประทาน รวมทั้งแนวทาง วิธีปฏิบัติ และรายละเอียดประกอบการคำนวณราคากลางงานก่อสร้าง โดยให้ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐถือปฏิบัติเมื่อพ้นกำหนด ๓๐ วันนับแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ๑.๒ ในวันที่หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่มีผลใช้บังคับ ให้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ยกเลิกหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดราคากลางงานก่อสร้าง) รวมทั้งหลักเกณฑ์ รายละเอียดประกอบ แนวทาง และวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตามประกาศและหนังสือเวียนอื่นใด แล้วใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่แทน ๑.๒.๒ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ก็ให้ดำเนินการต่อไป ๑.๒.๓ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ๑.๒.๔ โครงการ/งานก่อสร้างใดที่ได้คำนวณราคากลางตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน และยังไม่เริ่มดำเนินการจัดจ้างก่อสร้าง ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐเจ้าของโครงการ/งานก่อสร้างนั้น ที่จะพิจารณาให้คำนวณราคากลางใหม่โดยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่หรือไม่ ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องใช้หลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างที่ทบทวนและปรับปรุงใหม่ ประกอบการพิจารณาจัดสรรหรือตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ/งานก่อสร้างของทางราชการด้วย ๒. การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการที่จะใช้ในการดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างนั้น ให้คำนวณราคาตามความเป็นจริง โดยไม่นำวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดร้อยละ ๕ มารวมคำนวณเป็นราคากลางด้วย ๓. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงบประมาณติดตามผลการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางงานก่อสร้างของโครงการต่าง ๆ ภายใต้โครงการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ และโครงการป้องกันปัญหาอุทกภัยต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
654 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | คค | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย ๒. ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงซึ่งออกตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากปัจจุบันการจัดสรรเงินภาษีรถประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น กฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๒๓)ฯ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินภาษีประจำปีให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่มีผลใช้บังคับโดยปริยาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
655 | การลงนามข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามในข้อตกลงร่วมโครงการสนับสนุนเทคนิคการบำบัดน้ำเสียให้แก่ท้องถิ่นในประเทศไทยระหว่างองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) กับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerageworks ซึ่งเป็นหน่วยงานระบายน้ำของจังหวัด Saitama ประเทศญี่ปุ่น และองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาเทคนิคการจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย และการพัฒนาบุคลากรร่วมกันทั้งด้านการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์และวัสดุบำบัดน้ำเสีย ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงร่วมฯ ไม่ควรก่อให้เกิดภาระผูกพันต่อรัฐบาล หรือ อจน. รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะยาวในการพึ่งพิงเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียของประเทศ นอกจากนี้ อจน. ซี่งเป็นผู้ได้รับฝึกอบรมและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียจากประเทศญี่ปุ่นควรพิจารณาถ่ายทอดเทคโนโลยีเหล่านี้ต่อไปให้กับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกำลังคนที่มีความรู้และความสามารถในการบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียในประเทศให้มีจำนวนมากเพียงพอ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการน้ำเสียของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
656 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๕ (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) และเขตตรวจราชการที่ ๑๖ (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ได้จัดประชุมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ลดลงโดยเร็วในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่ ๖ - ๗, ๑๐ และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาหมอกควัน “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” (NO BURN) ในทั้ง ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน และกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควัน ซึ่งหลังจากการดำเนินกิจกรรมและมาตรการเร่งด่วนแล้ว พบว่าปริมาณการเผาและหมอกควันสามารถควบคุมได้และเริ่มทรงตัว ยกเว้นจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณหมอกควันเพิ่มขึ้นสูงถึง ๔๓๗ ไมโครกรัม จึงได้จัดให้มีการประชุมแผนปฏิบัติการกับจังหวัดเชียงรายเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และสามารถลดปริมาณการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้ทั้งหมดจนกระทั่งลดปริมาณหมอกควันเหลือ ๓๒๙ ไมโครกรัม สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีปริมาณหมอกควันลดลงจาก ๓๕๙ ไมโครกรัม เหลืออยู่ที่ ๒๓๔ ไมโครกรัม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นพื้นที่กว้างยากต่อการติดต่อสื่อสาร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าทำให้มีปริมาณหมอกควันถูกพัดพาเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปริมาณหมอกควันยังอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) จะได้ติดตามและแก้ไขปัญหาต่อไป ๒. ภาพรวมทุกจังหวัดจะมีมาตรการ ดังนี้ ๒.๑ ห้ามมิให้มีการเผาวัชพืช ขยะมูลฝอยทุกชนิด ฝ่าฝืนปรับ ๒,๐๐๐ บาท ๒.๒ ห้ามมิให้มีการเผาป่า ฝ่าฝืนปรับสูงสุดไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และจำคุกสูงสุด ๑๕ ปี ๒.๓ ให้ศูนย์เฉพาะกิจควบคุมและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัด ประชาสัมพันธ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) และคุณภาพอากาศ (AQI) ทุกวัน ค่าที่เกินมาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนดำเนินการฉีดพ่นน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ๒.๔ ให้ส่วนราชการทุกส่วนทั้งราชการบริหารส่วนกลางที่มีที่ทำงานตั้งอยู่ในจังหวัด ราชการส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการดับไฟ ๒.๕ ให้สถานีวิทยุและวิทยุชุมชนทุกสถานีออกข่าวประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูฝน โดยออกอากาศทั้งภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น รวมทั้งขอความร่วมมือสถานศึกษาให้จัดทำประกาศจังหวัดเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทุกภาษา เพื่อครอบคลุมการประชาสัมพันธ์มาตรการของจังหวัดดังกล่าว ๒.๖ ให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลจัดเตรียมแพทย์และเวชภัณฑ์ให้เพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชนกรณีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะหมอกควันและไฟป่า ตลอดจนให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตหมอกควันและไฟป่า ๒.๗ จัดชุดประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่รณรงค์และแจ้งเตือนประชาชนขอความร่วมมือในการงดเผาทุกชนิด ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมและในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ๒.๘ จัดให้มีหน่วยงานและผู้บริหารราชการรับผิดชอบเป็นรายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน รวมถึงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ๒.๙ จัดให้มีอาสาสมัครรณรงค์และช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดับไฟป่าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
657 | มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย | กค | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม - ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ และการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติที่ประชุม กวพ. ดังกล่าวไปใช้บังคับในการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษโดยอนุโลม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ หน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐต้องดำเนินการอย่างรัดกุมและปฏิบัติต่อคู่สัญญาภาครัฐทั้งหมดให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
658 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย | นร | 06/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามดูแลการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนืออย่างใกล้ชิด โดยให้บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งในระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น เพื่อตรวจสอบติดตามปัญหาและประสานงานการเข้าแก้ไขและระงับปัญหาไฟป่าหรือพื้นที่ที่มีการเผาทำลายวัชพืชและสิ่งของต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ให้จังหวัดประสานงานและให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วย และให้มีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำผิดโดยเจตนาอย่างเคร่งครัดทั้งในส่วนของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่วนจังหวัดใดจะประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ให้พิจารณาดำเนินการได้ในกรณีปัญหามีความรุนแรงจนควบคุมไม่ได้และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหายและสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่แต่ละจังหวัดที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม แล้วประสานงานกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการเร่งรัดติดตามและดำเนินการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานและจังหวัดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรายงานข้อมูลความเสียหายและการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็วต่อไป ๓. ให้รัฐมนตรีทุกท่านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือดำเนินการตรวจติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดที่รับผิดชอบอีกทางหนึ่ง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร) เร่งรัดการจัดทำฝนหลวง เพื่อลดความรุนแรงของปัญหามลพิษหมอกควันด้วย ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งสำรวจและให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากปัญหาหมอกควัน และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ๖. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่าและการเผาพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านบริเวณชายแดนติดกับประเทศไทย อันเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
659 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 28/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๑ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๒ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนของแต่ละหน่วยงาน ๑.๒ การเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๓ ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๓ การเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของส่วนราชการ รวมทั้งงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ๑.๔ ให้ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันรายลงทุนทั้งในส่วนของโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓ เดือน หลังจากได้รับจัดสรรงบประมาณ ๑.๕ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๖ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจ ๒.๑.๑ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยเร่งดำเนินการโอนจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของแผนงบประมาณ แผนงบประมาณในเชิงบูรณาการ ผลผลิตหรือโครงการ ประเภทงบรายจ่าย และรายการในงบรายจ่ายที่ต้องดำเนินการในเขตพื้นที่จังหวัด ยกเว้นงบบุคลากรประเภทเงินเดือนและค่าจ้างประจำ ไปยังสำนักเบิกส่วนภูมิภาคนั้น ๆ อย่างช้าไม่เกิน ๑๕ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ๒.๑.๒ ให้ส่วนราชการและจังหวัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด ภายใต้วงเงินงบประมาณที่ได้รับตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาก่อนพระราชบัญญัติฯ ประกาศใช้ ประมาณ ๑๕ วัน ๒.๑.๓ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการดำเนินโครงการ/รายการ ในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ที่ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินของแต่ละหน่วยงาน ๒.๑.๔ การโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ส่วนราชการเร่งดำเนินการ กรณีรายการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณที่ต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ โดยส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๒.๑.๕ การเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงิน ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดให้ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด และให้ส่วนราชการ จังหวัด และรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานในการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือการปรับแผนต่อคณะกรรมการหรือคณะทำงานดังกล่าวอย่างช้าก่อนสิ้นไตรมาส รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้คลังจังหวัดดำเนินการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานในจังหวัดเพื่อให้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ๒.๒ หน่วยงานกลาง ๒.๒.๑ ให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รายงานผลการใช้จ่ายเงินและปัญหาอุปสรรคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเป็นรายไตรมาส ๒.๒.๓ ให้นำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณและแผนการใช้จ่ายเงินเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการงบประมาณ เร่งรัดการปฏิบัติงานและการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ รวมทั้งนำผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเทียบกับแผนการใช้จ่ายเงินให้สำนักงบประมาณใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
660 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ อนุมัติการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศใช้รายละเอียดครุภัณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เป็นหลักในการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีการเปลี่ยนแปลง ให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงร่วมกันเพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จัดวางระบบเครือข่าย Wi-Fi และจัดทำระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร และสร้างความเข้าใจ เพื่อการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ๑.๔ อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของส่วนราชการต่าง ๆ จำนวนเงิน ๑,๗๙๔,๘๓๒,๘๐๐ บาท ยกเว้นงบประมาณของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาก่อน สำหรับงบประมาณที่ยังขาดอยู่เพื่อการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และการวางระบบสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรของส่วนราชการดำเนินงานโครงการ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการตามผลการเจรจาและข้อตกลงในการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐที่จะจัดทำขึ้น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการทำสัญญาที่จัดหาในรูปแบบรัฐต่อรัฐ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควรส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในการเจรจาควรแต่งตั้งผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วมในคณะเจรจาด้วย ส่วนการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนการดำเนินงานแก่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในทุกขั้นตอนของโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณและการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเนื้อหาสาระที่จะบรรจุในคอมพิวเตอร์พกพา เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์พกพาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความรู้และการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเร่งเตรียมความพร้อมในการสร้างความรู้ ความเข้าใจการใช้คอมพิวเตอร์พกพาให้กับบุคลากรทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับผู้ปกครองควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาทั้งหมด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนต่อไป |
.....