ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 1462 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
601 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
602 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 | สว | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ความยากลำบากในการดำเนินคดี ควรหามาตรการ แนวทางในการพิจารณาช่วยเหลือ หรือกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งแนะนำแนวทางในการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ๒. ขาดงบประมาณด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ การเรียกร้องสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายต้องผ่านขั้นตอนการได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่คล่องตัว และควรผลักดันกฎกระทรวงให้มาตรา ๓๗ ดำเนินการปฏิบัติได้ ๔. ภาษาและการสื่อสารกับผู้เสียหายที่คลาดเคลื่อน ควรมีระบบการสนับสนุนล่ามให้พอเพียงกับความต้องการของหน่วยงานในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ๕. การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเร่งรัดดำเนินการฝึกอบรมและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๖. ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาอบรม สัมมนาให้กับผู้ปฏิบัติทุกพื้นที่ รวมทั้งอบรมพนักงานสอบสวนโดยตรง ๗. ความไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดแยกผู้เสียหาย ควรจัดทำเอกสารแนวทางการพิจารณาองค์ประกอบของความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแจกจ่าย รณรงค์ และให้ความรู้ ๘. ความล่าช้าในการดำเนินคดี ควรเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็วขึ้นโดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาแนวทางมาตรการ และควรส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีนันทนาการ และมีรายได้ ๙. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าวให้เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป หรือผลิตคู่มืออธิบายพระราชบัญญัติฯ ๑๐. การสร้างกลไกและทีมสหวิชาชีพ ควรทบทวนการดำเนินงานเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทีมสหวิชาชีพ การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระดับพื้นที่หรือระดับภาค ๑๑. ระดับนโยบาย ควรจัดตั้งคณะติดตามและประเมินผลการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้คำแนะนำ ปรึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายต่าง ๆ ๑๒. การศึกษาในอนาคต ควรทำการศึกษาใน ๒ ประเด็น คือการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้เสียหายในพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และศึกษาระบบการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ |
||||||||||||||||||||||||
603 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในรูปแบบวิทยาลัยชุมชนเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา โดยให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความประสงค์ของท้องถิ่นได้ โดยควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสามารถศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับปริญญาได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยรายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากที่ราชพัสดุเป็นรายได้ของสถาบันที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยเห็นควรเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการใช้ที่ราชพัสดุด้วย ส่วนการกำหนดให้สภาสถาบันมีอำนาจออกข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการเงินของสถาบันนั้น ซึ่งในหลักการ การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ และโดยที่สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีสถานะเป็นส่วนราชการจึงไม่เห็นสมควรให้สภาสถาบันมีอำนาจดังกล่าว และเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนบริหารการใช้จ่ายเงินโดยถือปฏิบัติเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น รวมทั้งควรบัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากไว้กับกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน และในกรณีที่ปรากฏว่า เงินรายได้ของสถาบันวิทยาลัยชุมชนเหลือเกินความจำเป็น กระทรวงการคลังจะกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ รายได้อื่นของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่มาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรให้ใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนค่าก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
604 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา | สว | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมขาติ วุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ โดยมีกรอบการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรน้ำ รวมทั้งกำหนดแนวทางที่ครบถ้วนและชัดเจนในการแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำยมเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้ง กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำคู่มือการบริหารจัดการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรเพื่อให้การปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรมีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และถูกต้องตามระเบียบราชการ เป็นต้น ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำเสนอการจัดการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและพื้นที่ชายฝั่งทะเลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว การจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและพัฒนากลไกการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ รวมทั้งแผนการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ แผนพัฒนาโครงข่ายน้ำ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรลุ่มน้ำ เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนการพัฒนากลไก กฎ ระเบียบ ระบบข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ำ การวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ และการรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ เป็นต้น ๓. สำนักงบประมาณได้จัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน การฝึกซ้อมด้านสาธารณภัยและด้านความมั่นคง การจัดทำเครือข่ายข้อมูลด้านความมั่นคงของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และการดำเนินการระบบงานเตรียมความพร้อมของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๓) ๔. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พิจารณาปรับปรุงการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจ ๔ คณะ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม และได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องรับไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป ซึ่งคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ๕. กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้ดำเนินการด้านกฎหมาย โดยใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ ด้านแผน ได้จัดทำแผนเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการฝึกซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับ (กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอ) การดำเนินโครงการฟื้นฟู บูรณะแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
605 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยกำหนดมาตรการในการฟื้นฟูและช่วยเหลือเป็น ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการระยะสั้น ระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน และมาตรการระยะยาว ระยะเวลา ๑-๓ ปี เน้นประเด็นเรื่อง อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร สิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ๑.๑ ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การดำเนินการในระดับพื้นที่มีโครงการที่หลากหลาย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ด้านการรวบรวมองค์ความรู้ เช่น จัดทำข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวกะเหรี่ยง และด้านการเพิ่มพูนทักษะชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ฝึกอบรมการทำอิฐ ๑.๒ ประเด็นการจัดการทรัพยากร การดำเนินการในระดับพื้นที่มีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องการจัดการทรัพยากร ได้แก่ กิจกรรมด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการสำรวจการถือครองที่ดิน เช่น โครงการจัดทำโฉนดชุมชน กิจกรรมด้านการยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น นโยบายยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกิจกรรมการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง เช่น การให้ความรู้ทางการเกษตรชีวภาพ ๑.๓ ประเด็นสิทธิในสัญชาติ ได้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนและการให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ทำบัตรประจำตัวให้กับชาวกะเหรี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกะเหรี่ยงนำเอกสารหลักฐานมาขอลงทะเบียนผู้มีสิทธิประกันสุขภาพ รวมถึงสำรวจและทำทะเบียนประวัติบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๑.๔ ประเด็นการสืบทอดมรดกวัฒนธรรม การดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กิจกรรมการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชุมชนชาวกะเหรี่ยง เช่น จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนกะเหรี่ยง กิจกรรมส่งเสริมและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมเวทีลานวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในวันสำคัญ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้การประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริ ๑.๕ ประเด็นการศึกษา มีการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพชาวกะเหรี่ยง/บุคลากร/ครู/คณะกรรมการสถานศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษา เช่น อบรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและด้านอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เช่น พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยปรับสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๒. ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ การไม่มีเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน ความไม่เข้าใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมาตรการการฟื้นฟู การไม่มีงบประมาณดำเนินงาน เนื่องจากไม่ได้เสนอไว้ล่วงหน้า และบางหน่วยงานไม่สามารถเจียดจ่ายเงินจากงบปกติได้ การยึดถือกฎระเบียบของหน่วยงานของตนที่มีอยู่แล้วและไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการขาดแนวคิดและทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการในระดับต่าง ๆ ๓. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการทำงานฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๓.๑ ควรตั้งหน่วยงานสำหรับการผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งการจัดสรรงบประมาณพิเศษ โดยหน่วยงานนี้มีบทบาทในการทำงานเชิงบูรณาการ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการหลัก (Master plan) ที่มีเป้าหมาย แผนการดำเนินการและการประเมินผลอย่างชัดเจนที่ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติการได้ และมีงบประมาณสนับสนุน เพื่อประกันว่ามติคณะรัฐมนตรีจะได้ผลในระยะ ๓ ปีภายหน้า ๓.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการระดับจังหวัดควรมีทิศทางที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีมากขึ้น มีการกำหนดแผนงานการดำเนินงาน ติดตามแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยวางแผนให้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติ และได้รับงบประมาณสนับสนุน ๓.๓ ดำเนินแผนการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกับสังคม รวมทั้งการอบรม และการสร้างความเข้าใจในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน นักเรียนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ มรดกทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร ระบบไร่หมุนเวียน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ๓.๔ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอคติที่มีต่อกันทั้งในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวางแผนการทำกิจกรรม และการติดตามประเมินผลร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||
606 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 | พม | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติแล้ว โดยสาระสำคัญของรายงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และขอบเขตรายงาน เนื้อหารายงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบายฯ มีดังนี้
๑. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดู เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา มีความพอเพียง มีสำนึกความเป็นพลเมือง มีวิถีประชาธิปไตย เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีจิตสาธารณะ รักสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และสนับสนุนให้ชุมชน สังคม ภาคีเครือข่ายเข้าใจปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและเยาวชน ๒. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ด้านโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยให้หญิงมีครรภ์และเด็กเล็กได้รับสารไอโอดีนอย่างทั่วถึง ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ป้องกันปัญหาโรคอ้วน รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไม่ให้เกิดความเครียด ปรับปรุงคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการดูแลเด็กเล็กในโรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ และให้ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเรื่องเพศศึกษาเมื่อถึงวัยอันควร ๓. ด้านการศึกษา ควรสนับสนุนภาคีอื่นเข้าร่วมจัดการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการศึกษา หรือชุมชน ฯลฯ เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และต้องเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสรุนแรงด้วยมาตรการที่หลากหลาย ดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง รวมทั้งสร้างความหลากหลายของแนวทางและช่องทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือกทุกระดับ ๔. ดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ทั้งในด้านโภชนาการ การศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ การมีงานทำ ครอบครัวที่อบอุ่น รวมทั้งสร้างทุนทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่จะมีส่วนช่วยการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นสภาพด้อยโอกาส ภาครัฐควรสร้างฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังมีความคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส ระหว่างเครือข่ายพันธมิตรและชุมชน และทำการปรับแก้หรือบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ๕. ปรับปรุงการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ด้วยการสร้างความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชน พร้อมกับที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของสภาเด็กและเยาวชนไปในตัวด้วย ในขณะที่ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชนควรทำการปรึกษาอย่างกว้างขวางกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ในการจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินจากภาครัฐได้มากขึ้น ๖. ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ชุมชน หรือครอบครัว จึงควรมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคส่วนเหล่านี้ตระหนักและมีการเพิ่มบทบาทของตนเองในเรื่องนี้มากขึ้น มาตรการที่อาจทำได้ เช่น การสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) เพิ่มอัตราจ้างเด็กและเยาวชนในการทำงาน สนับสนุนให้อาสาสมัครมีบทบาทต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีฝ่ายงานด้านเด็กและครอบครัว ๗. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
|
||||||||||||||||||||||||
607 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการหลังการประกาศ “สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ” โดยคาดหวังว่า หากสหกรณ์ได้รับการพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ จะมีผลในทางปฏิบัติในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ปัญหาจากผลของ AFTA สหกรณ์สามารถรองรับการตลาดผลผลิตการเกษตรได้ นโยบายส่งเสริมการออมภาคประชาชน การแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยสหกรณ์เป็นแหล่งการออมที่สำคัญของภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๒ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคโดยการขับเคลื่อนและพัฒนาการรวมกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชนบทที่มีความหลากหลายให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการสหกรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อน สร้างความชัดเจน และความเป็นเอกภาพแก่ระบบการส่งเสริมกลุ่มของรัฐ รวมถึงเป็นการปฏิรูประบบการออมของประเทศที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ๑.๓ เป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ วิถีแห่งประชาธิปไตยในระยะยาว โดยปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะทำให้เกิดการซึมซับวิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในข้อเสนอระเบียบวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจนเพื่อจะได้มีขอบเขตทิศทางและจุดมุ่งหมายร่วมของทุกภาคส่วนที่จะนำไปดำเนินการ การศึกษาโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ผลกระทบ รวมทั้งผลดีผลเสีย ที่ผู้รับบริการจะได้รับ และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์มาประกอบการพิจารณา การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจน การปลูกฝังและวางรากฐานการสหกรณ์ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการให้มีหลักสูตรการสหกรณ์เป็นวิชาบังคับในโรงเรียน และนำระบบการสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในพื้นที่ และสหกรณ์ในระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ การเชื่อมโยงสหกรณ์เครือข่ายการผลิต และการตลาด ที่มีอยู่หลากหลายประเภทในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนทางวิชาการและให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่สหกรณ์ทุกประเภท ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
608 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 และตอนล่าง 2 | นร | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และยโสธร) รวม ๘ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๑.๓ ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ผลจากการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ พบว่า ถนนสายรองและสะพานในพื้นที่หลายแห่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ขาดการซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีและใช้สัญจรไปมาได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสายทางผิวจราจรเสียหายเป็นหลุมบ่อทั้งที่ก่อสร้างเสร็จไม่นานและอยู่ในระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างของผู้ประกอบการ จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับไปกำกับสั่งการเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งการตรวจสอบความชำรุดเสียหายของถนนภายหลังก่อสร้างเสร็จและใช้งานแล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเร่งปรับปรุงแก้ไขและซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีภายในกรอบระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
609 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล" | สสป | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๑ รัฐควรให้ความสำคัญกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลเพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๒ รัฐควรสนับสนุนให้สภาเกษตรกรแห่งชาติมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจศูนย์ฯ ให้บรรลุเป้าหมายเป็นไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๑.๓ หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ให้ความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีไปยังชุมชนควรลดความซ้ำซ้อนในการจัดตั้งกลุ่มประชาชนเพื่อให้เป็นตัวแทนของหน่วยงานโดยอาศัยศูนย์ฯ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชุมชนด้านการเกษตรในลักษณะจุดบริการเพียงจุดเดียว ๑.๑.๔ รัฐควรเอาภารกิจการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีของศูนย์ฯ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ๑.๒. การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน ๑.๒.๑ พัฒนาให้เป็นศูนย์รวมข้อมูลองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรของชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพสร้างแรงจูงใจก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรม ๑.๒.๒ เพิ่มบทบาทและหน้าที่ของศูนย์ฯ ในการส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างพอเพียงจากพันธุกรรมพืช พันธุกรรมสัตว์ ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ๑.๒.๓ จัดให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรด้านต่างๆ ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีการที่เหมาะสมกับพื้นที่และชุมชน เช่น การจัดฝึกอบรม การจัดตั้งศูนย์สาธิต เป็นต้น ๑.๒.๔ จัดให้มีการถ่ายทอดผลงานและประสบการณ์บริหารงานระหว่างศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๑.๓. งบประมาณ ๑.๓.๑ รัฐพึงจัดสรรงบประมาณสนับสนุนศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยระบุงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานให้ชัดเจน ๑.๓.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรบูรณาการแผนงานด้านการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีการเกษตรของหน่วยงานในระดับต่างๆ ให้กับเกษตรกร ๑.๓.๓ รัฐส่งเสริมและสนับสนุนให้ศูนย์ฯ สามารถดำเนินกิจกรรมโดยไม่ต้องรองบประมาณจากรัฐเพียงอย่างเดียว ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๒.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน โดยมอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นประสานความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้นำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลให้ชัดเจนในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้ทุกส่วนราชการบูรณาการแผนการถ่ายทอดความรู้ โดยให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติสนับสนุนข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ๒.๒ การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มอบกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการประสานข้อมูลองค์ความรู้ เอกสาร นิทรรศการ จากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลมีบทบาทในด้านการอนุรักษ์ เป็นศูนย์กลางการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรระดับตำบล โดยให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ความสำคัญจะต้องสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้และงบประมาณให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๒.๓ งบประมาณ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในลักษณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการตามภารกิจถ่ายโอนทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเห็นควรให้ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในฐานะที่กำกับดูแลต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
610 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดพังงา ร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง ขยายเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเสนอให้ทันกำหนดการบังคับใช้ ๒. เห็นชอบแนวทาง/มาตรการในการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการพิจารณาให้กู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการปลอดการชำระคืนเงินต้น และระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการด้านการจัดการมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๘๔,๐๖๙,๑๑๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เรื่อง การปรับแก้พระราชบัญญัติการประปานครหลวงและพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำคำขอตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่ยังชำรุดเสียหาย และไม่สามารถส่งมอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมืองสระบุรี เทศบาลเมืองชุมพร และเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อให้ระบบอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน ก่อนส่งมอบให้ อปท. และให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อกำกับ ติดตาม ประสานงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสุกร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ (แปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น) ตามหลักเกณฑ์ของกิจการที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย และการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอื่น ๆ เสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียและของเสียต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการยื่นขอหรือต่อใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบหลักเกณฑ์ของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก่อนให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป ๖. เห็นชอบการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ อปท. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามความในมาตรา ๒๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษจัดทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ อปท. และรัฐวิสาหกิจ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๗. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎกระทรวงการสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมกำจัดมูลฝอยและของเสียอันตรายของชุมชน ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานของท้องถิ่นต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎระเบียบ มาตรการ และเกณฑ์การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท. ในเรื่องการจัดการมูลฝอย การควบคุมมลพิษจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเหตุเดือดร้อนรำคาญด้านมลพิษ และร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างสมรรถนะให้กับ อปท. ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม) เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน (Joint KPI) โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๘. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งที่จังหวัดตรัง ของกรมเจ้าท่า โดยให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และปะการัง ใกล้แนวเส้นทางเดินเรืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และแนวปะการัง ตลอดอายุโครงการ ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๙. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยให้กรมทางหลวงพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงสร้างระบบระบายน้ำของโครงการให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านบริเวณแนวเส้นทางโครงการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๑๑. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพู ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๒. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๓. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบรถไฟสายสีแดงผ่านบริเวณสถานีรถไฟจิตรลดา และการออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน ของ รฟท. โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่แวดล้อมจากการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๔. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแ
|
||||||||||||||||||||||||
611 | รายงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย อย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด วงเงิน ๑,๕๕๕.๖๓๓๙ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ได้เพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วันแล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งาน เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ และหากเป็นงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง ให้หน่วยงานถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยให้ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
612 | แผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายใช้แผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดนร่วมกัน และเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ประกอบด้วย ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ : สถานบริการสุขภาพทุกระดับผ่านเกณฑ์มาตรฐานและมีเพียงพอต่อการให้บริการ, ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจ, มีระบบการส่งต่อและติดตามผู้ป่วยข้ามแดนและผู้ป่วยจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค, มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดน และมีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิผลในพื้นที่ชายแดน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน : มีระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อรองรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ, ขยายการประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสม, ขยายบริการสาธารณสุขเชิงรุกในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ และมีข้อมูลการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างด้าวทุกกลุ่ม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน : มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดนทุกระดับที่เข้มแข็ง และความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารจัดการ : มีนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดน, มีกลไกการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการกำกับ ติดตาม และประเมินผล, มีโครงสร้างและอัตรากำลังที่มีเพียงพอและมีศักยภาพในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน, มีระบบสารสนเทศด้านสุขภาพชายแดน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้อง และสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการนำผลการประเมินความสำเร็จของแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ ปัญหาและอุปสรรคมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ การเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับแผนอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพในกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การจัดระบบบริการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มคนต่างด้าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดูแลคน ชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การพัฒนากรอบความร่วมมือทางสุขภาพกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขชุมชน และการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพเชิงรุกในชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับชายแดนไทย รวมทั้งการส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคธุรกิจในพื้นที่ (เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาสาธารณสุขชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
613 | กำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่เทศบาลตำบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี พื้นที่เทศบาลเมืองพะเยา และพื้นที่เทศบาลนครสงขลา ๑.๒ พื้นที่ที่ อจน. ได้มีการทำบันทึกความเข้าใจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจะได้พัฒนาไปสู่การทำข้อตกลงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองกระบี่ พื้นที่เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่ในแนวท่อระบายน้ำเสีย และที่ตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ พื้นที่เทศบาลนครนครสวรรค์ พื้นที่เทศบาลนครลำปาง พื้นที่เทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ พื้นที่เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ และพื้นที่เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู ๑.๓ พื้นที่ตามเขตควบคุมมลพิษตามที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนด ประกอบด้วย พื้นที่จังหวัดภูเก็ต พื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พื้นที่อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พื้นที่หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี และพื้นที่ตำบลมาบตาพุด ตำบลห้วยโป่ง ตำบลเนินพระ ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ๒. ให้ อจน. รับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้พื้นที่เทศบาลเมืองมาบตาพุดอยู่ในเขตพื้นที่ที่ อจน. ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ และพิจารณาเพิ่มเติมพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังให้ครอบคลุมพื้นที่จัดการน้ำเสียด้วย โดยให้ประสานการดำเนินงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเสียในระดับชุมชนโดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง การประชาสัมพันธ์และรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดการก่อมลพิษจากแหล่งกำเนิดน้ำเสีย การส่งเสริมให้มีการต่อยอดภูมิปัญญาเพื่อการลดการก่อมลพิษของแต่ละชุมชน การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง อจน. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นั้น อจน. ควรประสานงานและหารือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่งใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการจัดสรรแล้ว หรือใช้เงินรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่นเอง เนื่องจากการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียถือเป็นภารกิจของท้องถิ่นจะต้องรับถ่ายโอนไปดำเนินการตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการจัดตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้น ต้องพิจารณาไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน |
||||||||||||||||||||||||
614 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
615 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
616 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ดังนี้ นายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๕๕,๕๓๐ บาท/เดือน รองนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน เลขานุการนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ประธานที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๖,๖๕๐ บาท/เดือน และที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ ปรับปรุงอัตราเงินประจำตำแหน่งของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ดังนี้ ประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน รองประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๒๔,๙๙๐ บาท/เดือน สมาชิกสภาเมืองพัทยา ๒๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน และผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒.๒ ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินค่าเบี้ยประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา ดังนี้ พนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๕๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๔๐๐ บาท ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๖๐๐ บาท และบุคคลอื่นนอกจากพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท และอนุกรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรตัดคำว่า “ลูกจ้าง” ออกจากร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากกรรมการและอนุกรรมการของส่วนราชการที่ตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุม พ.ศ. ๒๕๔๗ ไม่มีการแต่งตั้งลูกจ้างเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการ ส่วนค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการของสภาเมืองพัทยา ให้เบิกจ่ายในอัตราไม่เกินอัตราที่กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินค่าตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนในครั้งนี้ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของเมืองพัทยา |
||||||||||||||||||||||||
617 | ขออนุมัติใช้วงเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ กรณีเสียหายเนื่องจากประสบอุทกภัย และกรณีจำหน่ายผลผลิตไปก่อนเริ่มโครงการรับจำนำผลผลิตข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยเป็นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม จำนวน ๕๕๐.๓๘๙ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สำหรับในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสำรองจ่ายไปก่อน เห็นควรชดเชยในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องและความซ้ำซ้อนของเกษตรกรก่อนจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับไปกำกับติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบปัญหาอุทกภัยให้รวดเร็ว ครบถ้วน และเป็นธรรม โดยประสานสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับระเบียบหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวให้ชัดเจนถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
618 | รายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล | พม | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลนับตั้งแต่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรวมทั้งสิ้น ๒,๘๒๒ แห่ง จำนวนชุมชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้งรวม ๕๓,๔๑๘ องค์กร จำนวนสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลรวม ๗๕,๔๑๖ คน ๒. การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๙๑ ได้บัญญัติไว้ โดยร้อยละ ๙๕.๓ ของจำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่จัดส่งรายงาน สามารถดำเนินการตามภารกิจข้อ ๑๒ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดมากที่สุด รองลงมาร้อยละ ๗๙ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ๓. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๖๘.๔ ของจำนวนที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงานสามารถจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้ ด้านการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดบทบาทภารกิจของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวน ๕ ด้าน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลมากที่สุดถึงร้อยละ ๗๐.๑ ของที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงาน รองลงมาร้อยละ ๖๕ คือ การให้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และร้อยละ ๔๙.๑ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนระดับจังหวัดเพื่อไปร่วมประชุมในระดับชาติ ตามลำดับ ๔. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นประจำทุกปี เพื่อรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบลในทุกระดับต่อที่ประชุมในระดับชาติฯ รวมถึงสนับสนุนให้ที่ประชุมในระดับชาติ ฯ ดำเนินการตามภารกิจตามมาตรา ๓๒ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติฯ จำนวน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณารับรองข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้มาจากการประมวลความเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชนตำบลผ่านที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประกอบด้วยข้อเสนอ ๕ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย โครงสร้างและวิธีปฏิบัติราชการ ด้านคุณภาพชีวิต และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจการเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนตำบล การรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัย และพัฒนางานของสภาองค์กรชุมชนตำบล การประสานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนกลาง ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติจัดตั้งและดำเนินการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
|
||||||||||||||||||||||||
619 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และผลการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๒ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑.๒.๑ เห็นชอบแนวทางการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประมาณการเบิกจ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติและรายงานผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๑.๒.๒ รับทราบการขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสภากาชาดไทย ๑.๒.๓ อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำรองจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ อนุมัติการขยายเวลาลงนามในสัญญา จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มศักยภาพโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๔.๕๔๘ ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๓.๑๖๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๑.๒.๕ ให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาของโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑,๓๙๐,๒๖๐ บาท ได้แก่ เครื่องวัดการเปล่งแสงฟลูออเรสเซนซ์ วงเงิน ๑,๓๗๑,๐๐๐ บาท และเตาให้ความร้อนพร้อมชุดกวนสารละลาย วงเงิน ๑๙,๒๖๐ บาท ๑.๒.๖ อนุมัติการยกเลิกโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ วงเงินรวม ๕๓๓.๓๒๐ ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๑.๐๒๗ ล้านบาท กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๘๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๗๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และให้นำวงเงินดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๒.๗ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้แก่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๙,๘๖๖,๕๒๘.๗๘ บาท และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง วงเงิน ๓๒,๕๒๓.๐๐ บาท วงเงินรวม ๑๙,๘๙๙,๐๕๑.๗๘ บาท ๑.๒.๘ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ดังนี้ ๑.๓.๑ อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย เป็นวงเงิน ๘๓๖.๓๒๘๒ ล้านบาท โดยจัดสรรจากเงินกู้ DPL สำหรับการจัดหาครุภัณฑ์ วงเงิน ๗๘๙.๕๐๑๑ ล้านบาท และสภากาชาดไทยรับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นเอง วงเงิน ๔๖.๘๒๗๑ ล้านบาท ๑.๓.๒ อนุมัติการยกเลิกรายการครุภัณฑ์โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วงเงิน ๒.๓๖๖๔ ล้านบาท ๑.๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนและแจ้งยืนยันโครงการเงินกู้ DPL มายังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. ยกเว้นในส่วนของโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท มอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
620 | สรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดดูแลและเร่งรัดให้มีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากบ้านเรือนเสียหายอันเนื่องมาจากน้ำท่วมโดยเร็ว รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามดูแลในเรื่องของการเยียวยา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่ใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้ดูแลในภาพรวมของทุกโครงการที่ดำเนินการอยู่ในจังหวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการของหน่วยงานใด หากพบว่าเรื่องใดมีปัญหาอุปสรรค หรือมีสิ่งใดที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการเพิ่มเติมให้แจ้งส่วนกลางเพื่อร่วมกันแก้ไขต่อไป ๑.๓ ให้จังหวัดรายงานความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยผ่านทางระบบ PMOC Flood Recovery โดยปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลพื้นที่สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงพื้นที่ตรวจติดตาม โดยหากมีระบบ GPS ให้รายงานข้อมูลพิกัดของพื้นที่ที่ดำเนินการ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงแผนที่ GPS ของส่วนกลาง ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับแผนการขอใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนของโครงการที่จะต้องดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ๑.๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจความสมบูรณ์และความพร้อมของระบบเตือนภัยในท้องถิ่น โดยให้มีการเชื่อมโยงไปถึงชุมชน และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการการติดตั้งระบบให้ครอบคลุมไปยังชุมชนให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมขังเป็นประจำ ๑.๕ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันมิให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอกคูคลอง แล้วให้รายงานข้อมูลผ่านระบบ PMOC Flood Recovery และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม (กองทัพไทย) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการบำรุงรักษาคูคลองที่ขุดลอกแล้วให้คงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ๑.๗ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลเรื่องการรักษาแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงพื้นที่เพื่อการเกษตรด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปพิจารณาในการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดให้มีขึ้น ซึ่งจะพิจารณาในภาพรวมของการเกษตรทั้งในเรื่องของ Zoning การใช้น้ำ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ในชั้นนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจและให้ผลผลิตที่ดี เนื่องจากต่อไปนี้จะไม่ส่งเสริมให้ปลูกพืชล้มลุกตามเชิงเขา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณากำหนดให้ชัดเจนในเรื่องการใช้น้ำในระบบชลประทานเพื่อการเกษตรของแต่ละจังหวัดอย่างเต็มประสิทธิภาพตามแนวพระราชดำริ เนื่องจากต่อไปรัฐบาลจะจัดทำแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรของแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับสินค้าที่มีศักยภาพในการที่จะสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นไปในลักษณะเชิงรุก โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยเพื่อให้การดูแลประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง และให้กระทรวงมหาดไทยใช้กลไกท้องถิ่นเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เพื่อมิให้มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินการ ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและมีการชุมนุมเรียกร้อง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียกร้อง ตลอดจนหาทางช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเพื่อมิให้การชุมนุมลุกลาม หากผู้ชุมนุมเรียกร้องใช้วิธีการปิดถนน ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ๑.๙ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านภัยพิบัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยใช้ศาลากลางจังหวัดเป็นศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าในการรวบรวมและประมวลข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้ส่วนกลาง ๑.๑๐ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก โดยให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงภัยและอันตรายของยาเสพติด รณรงค์ให้มีการแจ้งเบาะแส การป้องกัน และให้ความสำคัญในการแยกแยะกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในสถานศึกษาและชุมชน ๑.๑๑ รัฐบาลจะใช้เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในจังหวัด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องชี้วัดประเมินผลการปฏิบัติงาน ดังนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๒. ในกรณีเกิดสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในพื้นที่ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม เป็นต้น และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่จะต้องดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เห็นชอบเป็นหลักการให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป
|
.....